บทที่ 1235 เอาใจออกหาก
บทที่ 1235 เอาใจออกหาก
ลูกจ้างภายในร้านหลายคนที่ถูกมัดมือมัดเท้าต่างดิ้นขลุกขลักด้วยความหวาดกลัว สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่เจ้าหน้าที่อย่างหวาดระแวง
“หากพวกเจ้าไม่ยอมพูด ข้าก็ไม่อาจรับปากว่าเหล็กร้อนนี่จะไม่โดนผิวบาง ๆ บนกายของพวกเจ้า พวกเจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าของชิ้นเล็ก ๆ นี้ยังถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าสลายไปตามสายลม แต่ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะเจ็บสักเพียงใด พวกเจ้าอยากลองสักหน่อยหรือไม่?”
เหล็กด้ามยาวส่วนปลายคล้ายหอกแต่ไม่แหลมคมเท่า ถูกเผาด้วยเปลวไฟร้อนจนกลายเป็นสีแดง ทันทีที่เจ้าหน้าที่ยกมันขึ้นจากไฟ ไอควันน้อย ๆ พลันลอยขึ้นไปในอากาศ
ยามที่สายตาดุร้ายมองผ่านผู้ใด ร่างกายของผู้นั้นก็ต้องไหวสั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กหนุ่มคนใดขี้กลัวพลันสะอื้นไห้ด้วยความหวาดกลัว
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกรอบแกรบตามมาด้วยกลิ่นไหม้ เด็กหนุ่มหน้าซีดเหงื่อเย็นผุดซึมหันมองเจ้าหน้าที่ที่แสยะยิ้มอย่างน่าหวาดกลัวจับใจจนควบคุมสติไม่ได้
เจ้าหน้าที่หันไปมองจุดที่เกิดกลิ่นไหม้ทันที ด้านเด็กหนุ่มทั้งหลายยิ่งทวีความหวาดกลัวขึ้นไปอีก เพราะต่อมาชายผู้นั้นหันกลับไปด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนรอยยิ้มชั่วร้าย ก่อนจะคว้าเหล็กร้อนไว้ในมือแล้วนำมันใส่กลับเข้าไปในเตาถ่าน รอให้มันถูกเผาไหม้จนได้ที่ก่อนจะยกขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปหาบรรดาเด็กหนุ่ม ทำทียื่นเหล็กแดงเข้าไปใกล้ ๆ หมายให้พวกเขาหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
ระหว่างที่เดิน เขาก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไรว่า “บรรยากาศในห้องขังนี้ไม่สู้ดีเลย พวกเจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่? ดูพวกเจ้าสิ กลัวจนแทบเสียสติไปหมดแล้ว เช่นนั้นไม่สู้ลองเล่นกับเหล็กร้อนนี่สักหน่อย ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะเพลิดเพลินได้ไม่น้อย เหมือนกับคนก่อนหน้าอย่างไรล่ะ อีกอย่างห้องขังของข้าจะได้แออัดน้อยลงสักหน่อย”
เจ้าหน้าที่ยกยิ้มมุมปากพลางเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มผู้หนึ่งราวกับอสูรร้ายในขุมนรก เด็กหนุ่มผู้นั้นร้องลั่นอย่างหวาดกลัว หวังให้เขาหยุด แต่เจ้าหน้าที่ก็หาได้ฟังไม่ “เพียงพูดมาว่าผู้ใดฆ่าคน ข้าก็จะไม่ทำอันใดกับเจ้า!”
เด็กหนุ่มผู้นั้นเอาแต่กัดฟันแน่นไม่ยอมพูดสิ่งใดออกมา เจ้าหน้าที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบเหล็กร้อนขึ้นมาหมายจะใช้มันนาบลงไปบนเนื้อหนังเด็กหนุ่ม
ดวงตาของเด็กหนุ่มจับจ้องเหล็กร้อนที่กำลังจะนาบลงบนกายตน ในหัวพลันฉายภาพสหายคนเมื่อครู่ที่ดิ้นทุรนทุราย ปานจะขาดใจ เมื่อคิดว่าจะถึงคราวของตนจึงไม่อาจทนได้ และยอมจำนนทั้งน้ำตา “ยอมแล้ว ข้ายอมพูดแล้ว เป็นเถ้าแก่ที่ฆ่าคน เถ้าแก่ฆ่าคนผู้นั้น!”
การเคลื่อนไหวของเหล็กร้อนหยุดชะงักทันใด
เสี่ยวเหลียงจื่อได้ยินเช่นนั้นพลันพูดด้วยน้ำเสียงเดือดจัด “นี่เจ้าพูดบ้าอันใด เถ้าแก่ไปฆ่าคนยามใด? อย่าพูดไร้สาระ!”
เด็กหนุ่มผู้นั้นรีบหันใบหน้าที่ตื่นตระหนกระคนเสียใจมองไปทางเสี่ยวเหลียงจื่อ เขากลัวมากจริง ๆ
เพียงคิดว่าเหล็กร้อนนั่นจะเผาไหม้เนื้อหนังบนกายตน เขาแทบจินตนาการไม่ได้เลยความเจ็บปวดนั้นจะหนักหนาเพียงใด
ทันทีที่ได้ยินคำตำหนิจากเสี่ยวเหลียงจื่อ เด็กหนุ่มยิ่งหวาดกลัวจนลนลาน ทั้งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันใด
เสี่ยวเหลียงจื่อเป็นสหายของเขา ตัวเขานั้นไร้บิดามารดาเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก ต่อมาเสี่ยวเหลียงจื่อไปทำงานเป็นเด็กรับใช้ที่ร้านจิ่นฝู เขาจึงไม่อาจทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้คนเหลียวแล จึงเสี่ยวเหลียงจื่อตามมาทำงานที่ร้านจิ่นฝู
ร้านจิ่นฝูให้ชีวิตใหม่แก่เขา ให้ข้าวให้น้ำ ให้แม้กระทั่งเสื้อผ้าและที่ชุกหัวนอน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนฉุดจากนรกขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ในใจเขารู้สึกขอบคุณเสี่ยวเหลียงจื่อมาก ยิ่งกว่านั้นคือความซาบซึ้งที่มีต่อเถ้าแก่ที่เต็มใจรับเขาเข้าทำงาน
ด้วยเหตุนี้ ในยามที่เสี่ยวเหลียงจื่อบอกว่าจะมาที่ห้องขังนี้ เขาจึงได้ตามมาอย่างไม่ลังเลเพื่อตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายเคยช่วยเหลือ
แต่ทว่าการถูกขังคุกกับการถูกลงทัณฑ์นั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ในห้องขังจะต้องถูกทรมานเช่นนี้ หากเขารู้มาก่อน ต่อให้เขามีความกล้าหาญอยู่เต็มร้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าตามเข้ามาอยู่ดี
ไม่น่าตามเข้ามาเลย ไม่น่าเลย…เขาได้แต่นึกเสียใจภายหลังอยู่อย่างนั้น
หากเขาเลือกที่จะเป็นเพียงคนเร่ร่อน อยู่อย่างอดอยาก สวมเสื้อผ้าบาง ๆ หลับนอนอยู่ข้างทาง และเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนน ก็ยังดีเสียกว่าถูกทำเหมือนเป็นเนื้อบนเขียงอย่างตอนนี้
เด็กหนุ่มหวาดกลัวจนตัวสั่นเหมือนมดบนกระทะร้อน กลิ่นกายอันเหม็นอับก็ลอยออกมาจากร่างกายที่ไหวสั่นอย่างรุนแรง เขาหลับตาแน่นพลางพร่ำเพ้อออกมา “เถ้าแก่บอกว่าชายผู้นี้เป็นอันธพาล ปล่อยไว้ก็ขวางหูขวางตา เลยสั่งให้พวกเราวางยาให้เขาตายไปเสีย”
“เถ้าแก่ของพวกเจ้าเป็นถึงเสี้ยนจู่ที่ฮ่องเต้ทรงออกราชโองการด้วยตนเอง นางจะทำเรื่องโง่ ๆ อย่างการสั่งให้พวกเจ้าฆ่าคนในร้านจิ่นฝูได้อย่างไร”
เจ้าหน้าที่ไม่อาจเชื่อคำตอบที่ฟังดูไม่เข้าท่าของเด็กหนุ่มได้ในทันที จึงถามเสียงเข้ม
เดิมทีเด็กหนุ่มผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แต่เพื่อเอาชีวิตรอด เขากลับโพล่งออกมาโดยที่ไม่ได้ตรึกตรองให้ดีก่อน “คงเผลอใส่ยามากเกินไป จึงคิดไม่ถึงว่าเขาจะตายก่อนออกจากร้านจิ่นฝู”
“เจ้ามันสารเลว เสียแรงที่เถ้าแก่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าปั้นน้ำเป็นตัว ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่!” เสี่ยวเหลียงจื่อต่อว่าเด็กหนุ่มเสียยกใหญ่ แม้ทั้งมือทั้งเท้าจะถูกมัดด้วยเชือก และถูกแขวนไว้สูงเพียงใด แต่เขาก็ยังพยายามจ้องมองเด็กหนุ่มผู้ทำผิดต่อกู้เสี่ยวหวานอย่างโกรธเกรี้ยว
ด้านเด็กหนุ่มก็เอาแต่ก้มหน้าราวกับกลัวเสี่ยวเหลียงจื่อสุดใจ จริงอยู่ว่าเขาโกหก แต่นั่นก็เป็นเพราะสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด
“พี่เหลียงจื่อ ข้าขอโทษ ข้ากลัว ข้ายังไม่อยากตาย” เด็กหนุ่มพูดพร้อมร่ำไห้ น้ำตาไหลอาบแก้ม ใบหน้าเศร้าโศก
“หากเจ้าจะเอาชีวิตรอด ข้าก็ไม่โทษเจ้า แต่เจ้าจะเอาน้ำสกปรกสาดใส่เถ้าแก่ไม่ได้ เจ้าเพียงรักษาชีวิตตน หรือแท้จริงแล้วเจ้าจงใจใส่ร้ายเถ้าแก่กันแน่” เสี่ยวเหลียงจื่อผิดหวังในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้จริง ๆ เขาเคยคิดมาเสมอว่าสหายผู้นี้เป็นคนฉลาด จริงใจ ปากหวาน ขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ ผู้คนในร้านจิ่นฝูต่างก็ชื่นชมเขา
เสี่ยวเหลียงจื่อเห็นว่าร้านจิ่นฝูให้ชีวิตดี ๆ แก่เขา เขาเองก็พยายามทำงานให้ร้านจิ่นฝูอย่างเต็มที่เสมอมา จึงรู้สึกว่าตนคิดไม่ผิดที่พาเขาเข้ามาที่นี่
แต่มาคราวนี้ เขาได้รู้ซึ้งแล้ว
หากย้อนเวลากลับไปได้ เสี่ยวเหลียงจื่อคงปล่อยให้เขาอดตายยังดีเสียกว่าพาเขามาที่ร้านจิ่นฝู
ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นเพียงชายผู้หนึ่งที่ขี้ขลาดตาขาว รักตัวกลัวตาย
“ข้าไม่น่าพาเจ้ามาที่ร้านจิ่นฝูเลย ข้าควรปล่อยให้เจ้าขอทานอยู่อย่างนั้นต่อไป ร้านจิ่นฝูเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี ให้ที่อยู่ที่กินให้เสื้อผ้าดี ๆ ทั้งยังให้เงินค่าแรงแก่เจ้า เถ้าแก่เคยบอกเจ้าว่าอย่าใช้เงินตามอำเภอใจ ให้เก็บเงินไว้แต่งภรรยาบ้าง ยังบอกอีกว่าหากวันข้างหน้าเจ้าได้แต่งภรรยา จะให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่เจ้า บุญคุณท่วมท้นถึงเพียงนี้ เจ้ายังกล้าเนรคุณ เจ้ามันจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า!”
เสี่ยวเหลียงจื่อโกรธจนอยากจะกินเลือดกินเนื้อคนผู้นี้เสียให้สิ้น
สถานการณ์ตรงหน้าพาให้เหล่าเด็กรับใช้ที่เหลือเงียบกริบ ไม่อาจพูดสิ่งใด ได้แต่ก้มหน้าลงมองพื้น นึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปพลาง ๆ
เด็กหนุ่มที่พึ่งถูกเหล็กร้อนแผดเผาซึ่งอยู่ข้าง ๆ เสี่ยวเหลียงจื่อรู้สึกตัวขึ้นจากการโดนสาดน้ำเย็น เนื้อตัวหนาวสั่น ทว่าเจ้าหน้าที่กลับหัวเราะเยาะพร้อมถามเสียงเย็นว่า “ผู้ใดเป็นคนสั่งให้พวกเจ้าฆ่าคน!”
บทที่ 1236 แพะรับบาป
บทที่ 1236 แพะรับบาป
เด็กหนุ่มท่าทางหวาดผวาราวกับมีกองทัพมดนับแสนกำลังรุมกัดกินเนื้อตัวเขา สายตาจ้องมองไปยังเหล็กที่ถูกเผาจนเป็นสีแดง ความแสบร้อนบนร่างกายยังไม่ทันได้จางหาย ทว่าร่างกายอันเจ็บปวดกลับต้องสั่นไหวอีกครั้ง
“อย่า… อย่าทำข้า” เด็กหนุ่มหวีดร้องตัวสั่น จ้องมองไปที่เหล็กร้อนแดงฉาน แทบอยากสลบไปอีกครั้ง
“เจ้านี่ช่างไม่ฉลาดอย่างสหายของเจ้าเอาเสียเลย เพียงบอกมาว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนสั่งให้พวกเจ้าฆ่าคนหรือไม่ ข้าจะเลิกใช้เครื่องทรมานนี่” เจ้าหน้าที่จ้องมองด้วยดวงตาถมึงทึง ถือด้ามเหล็กร้อนไว้ในมือ ดูเหมือนจะสื่อว่า หากเจ้าไม่ยอมพูดสิ่งใด กายเจ้าจะต้องได้สัมผัสเหล็กร้อน ๆ นี่แน่นอน
เด็กหนุ่มผู้นี้เพิ่งได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดจากเหล็กร้อน เขารู้ดีว่ายามที่มันสัมผัสกาย มันช่างเลวร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีก
เขามองไปรอบ ๆ อย่างอ่อนแรง นอกจากตนที่ตื่นตกใจอยู่คนเดียว คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างก็ไม่มีทีท่าหรือร่องรอยว่าจะโดนทรมานเช่นเขาแต่อย่างใด ดูท่าพวกเขาคงสารภาพอย่างที่เจ้าหน้าที่บอกแล้ว
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าคำสารภาพนี้มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ อาจเพราะพวกเขากลัวการทรมานถึงได้พูดออกไปเช่นนั้น แต่เพื่อความอยู่รอด เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไหลตามน้ำไป
“ใช่ ๆ เถ้าแถ่เป็นคนสั่งให้วางยา นางเป็นคนสั่ง ใช่! ไม่ผิดแน่ เป็นนาง!” แรก ๆ เด็กหนุ่มลำบากใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องทำเช่นนี้ ทว่าต่อมาเขาก็เป็นเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ผลักความผิดทุกอย่างไปให้กู้เสี่ยวหวานเพื่อเอาตัวรอด
“พูดจาเหลวไหล!” เสี่ยวเหลียงจื่อผู้ที่ทั้งสองมือถูดมัดแล้วห้อยอยู่กลางอากาศ ร่างกายสั่นไหวด้วยความโกรธ อยากจะทุบไอ้เด็กขี้โกหกที่อยู่ข้าง ๆ ให้หลังหักเสียเหลือเกิน
เห็นท่าทางดุเดือดเลือดพล่านของเสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้าหน้าที่ก็ส่งเสียงหัวเราะน่ากลัวขนหัวลุกออกมาดังลั่นห้องขัง
จากนั้นก็ถือเหล็กร้อนไว้ในมือ แล้วค่อย ๆ ย่างก้าวเข้าไปหาบรรดาลูกจ้างที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น บางคนก็หวาดกลัวเกินกว่าจะอ้าปากพูด บางคนก็ตัวสั่นพร้อมพร่ำรำพันว่าได้รับคำสั่งจากกู้เสี่ยวหวาน
โชคดีที่มีบางคนยังคงยืนหยัดเช่นเดียวกับเสี่ยวเหลียงจื่ออยู่ คนอย่างพวกเขายอมตายไม่ยอมคด!
เจ้าหน้าที่ที่ยังคงถือเหล็กร้อนไว้ในมือเดินทีละก้าว ๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเสี่ยวเหลียงจื่อ ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วพูดบางสิ่งหวังขู่ให้คนตรงหน้าหวาดกลัว “บัดนี้เหลือเจ้าผู้เดียวที่ไม่ยอมสารภาพเสียที ว่าอย่างไร… พยานตั้งมากมาย เจ้ายังคิดจะเล่นลิ้นอย่างนั้นหรือ!?”
สิ้นประโยคนั้น เสี่ยวเหลียงจื่อก็ถ่มน้ำลายใส่เจ้าหน้าที่ที่กำลังแสยะยิ้มอย่างไม่คิดเกรงกลัว “เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าจะเป็นคนเนรคุณอย่างคนพวกนั้นเด็ดขาด! ให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่มีวันใส่ร้ายเถ้าแก่อย่างพวกนั้นแน่ จะทำอันใดก็เชิญเลย!”
เจ้าหน้าที่ผู้ถูกถ่มน้ำลายใส่หน้าค่อย ๆ ยกมือเช็ดมันออก ก่อนจะตะคอกสุดเสียงทรงพลังว่า “บัดซบ! เจ้านี่มันอวดดีเสียจริง ข้าอุตส่าห์ไม่อยากทำให้เจ้าต้องทรมาน อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้ตัวเจ้าลับคมดาบ!”
ก่อนหน้าที่เขาพึ่งกลับมาจากร้านจิ่นฝู ใต้เท้าลวี่บอกเขาด้วยตัวเองว่า ลูกจ้างผู้นี้ดูเหมือนจะสนิทสนมกันดีกับกู้เสี่ยวหวาน หากจะลงมือให้เริ่มจากคนผู้นี้ก่อน แต่อย่าใช้ตัวเขาลับคมดาบ เพียงแสดงให้เขาดูว่าการทรมานในห้องขังนั้นเป็นเช่นใด รอให้เขาสารภาพออกมาเอง
ทว่าจนป่านนี้ ทรมานคนก็แล้ว คนอื่น ๆ ก็ล้วนสารภาพแล้ว แต่คนผู้นี้กลับไม่มีวี่แววว่าจะสารภาพเสียที
คนอะไรช่างกระดูกแข็งเสียจริง!
“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะช่วยเจ้า หากเจ้าไม่ยอมสารภาพว่านางเป็นคนสั่งให้พวกเจ้าฆ่าคน พวกเจ้าเองนั่นแหละที่จะกลายเป็นฆาตกร ถึงเวลานั้น พวกเจ้าก็จะเป็นแพะรับบาปให้คนอื่นโดยที่ไม่ได้สิ่งใดตอบแทนอย่างไม่รู้ตัว”
เจ้าหน้าที่พยายามพูดจูงใจอีกครั้ง
“อย่าลืมสิว่านายของเจ้าเป็นถึงขุนนางระห้า เสี้ยนจู่ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยตนเอง แม้นางจะทำเรื่องไม่ดี แต่หากนางไปร้องไห้อยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ บางทีฮ่องเต้ก็อาจใจอ่อนยอมปล่อยนางไป เพียงเท่านี้นางก็ไร้เรื่องกวนใจแล้ว พวกเราหรือจะขัดได้ คงได้แต่ไว้หน้าไว้ตานางจำต้องยอมปล่อยนางไปเช่นกัน”
“หึ! ช่างเป็นคำกล่าวหาที่ลวงโลกเสียจริง อย่าคิดว่าข้าจะเชื่อคำที่เจ้าให้ร้ายเถ้าแก่” เสี่ยวเหลียงจื่อพูดอย่างหนักแน่น ใบหน้าแน่วแน่ “บุญคุณที่เถ้าแก่มีต่อข้านั้นยิ่งใหญ่ราวขุนเขา แม้แต่ชีวิต ข้าก็ให้นางได้!”
เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนบางคืนเขายังเก็บไปฝันว่าสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นหายไปราวกับถูกขโมย
“กู้เสี่ยวหวานมีบุญคุณอันใดกับเจ้านักหนา เจ้าถึงได้ปกป้องนางอย่างไม่คิดชีวิตขนาดนี้” ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าหน้าที่ยังพูดเย้ยหยันต่ออีกว่า “หึ! เจ้าอย่าเอาแต่คิดว่านายของเจ้าเป็นคนดีสิ ข้าจะเล่าบางสิ่งให้เจ้าฟังก็ได้ จะได้หูตาสว่างเสียที ตอนที่ข้ากำลังจะคุมตัวพวกเจ้ามาที่นี่ กู้เสี่ยวหวานแอบกระซิบกับใต้เท้าของข้า โยนความผิดทั้งหมดให้พวกเจ้า หากพวกเจ้าตายหรือไม่ก็ยอมรับผิด ร้านจิ่นฝูของนางก็จะไร้มลทินแล้ว วัน ๆ หนึ่งร้านจิ่นฝูทำรายได้มากกว่าร้อยตำลึง เจ้าคิดว่านางจะโง่เลือกช่วยพวกเจ้าเพื่อปิดช่องทางหาเงินของตน แทนที่จะปิดปากพวกเจ้าเพื่อเปิดทางหาเงินอย่างนั้นน่ะหรือ?”
“เหลวไหล! เจ้าหยุดพูดจาไร้สาระเดี๋ยวนี้!” เสี่ยวเหลียงจื่อกัดฟันกรอด ก่อนจะตอบโต้อย่างเกรี้ยวกราด
ทว่าคำพูดของเจ้าหน้าที่กลับทำให้คนอื่น ๆ ที่เคยลำบากใจในยามที่พูดใส่ร้ายกู้เสี่ยวหวานหวนคิดว่า การกระทำของตนในครานี้ช่างซื่อตรงและเที่ยงธรรม
แต่ละคนต่างก็ส่งเสียงด่าทอออกมาไม่หยุด “นังสารเลว! ข้าว่าแล้วเหตุใดนางถึงได้จิตใจดีมีเมตตาขนาดนี้ ที่แท้นางก็คิดจะใช้เราเป็นแพะรับบาป บางทีนางอาจจะวางแผนฆ่าคนไว้ตั้งนานแล้ว วัน ๆ นางจึงแสร้งทำดีกับเรา หวังให้เราซาบซึ้งในสิ่งดี ๆ ที่นางมอบให้ แล้วยอมรับผิดแทนนาง โธ่เว้ย! ข้าอยากจะหั่นนางออกเป็นชิ้น ๆ”
เสียงด่าทอยังคงเปล่งออกมาเป็นระยะ ๆ “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าจะต้องไม่ตายดี!”
เสี่ยวเหลียงจื่อใช้สายตากวาดมองบรรดาสหายที่กำลังเสียสติด้วยความตกใจ จนในที่สุดก็หยุดสายตาไว้ที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มแฝงความนัยของไอ้เจ้าหน้าที่จอมลวงโลก ดูก็รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงคำพูดยุแยงให้พวกเขาเข้าใจผิด จึงรีบร้องเตือนสติพวกพ้องทันใด “พวกเจ้าอย่าหลงเชื่อเขา เถ้าแก่ไม่มีวันทอดทิ้งพวกเรา อย่าไปหลงเชื่อคำพูดหลอกลวงของเขานะ”
“เจ้ายังไม่เชื่อข้าอีกหรือ?” เจ้าหน้าที่จ้องมองท่าทางโกรธเกรี้ยวของเสี่ยวเหลียงจื่ออย่างดูถูกเหยียดหยามพร้อมพูดยิ้ม ๆ ว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าสักหน่อย เกิดเรื่องขึ้นที่ร้านจิ่นฝู ก็ควรเป็นนายของเจ้าสิที่ต้องถูกจับ แต่เหตุใดถึงได้ให้ข้ามาจับพวกเจ้าที่เป็นเพียงลูกจ้างในร้านที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอันใด พวกเจ้าไม่สงสัยเลยหรือว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” พูดจบ เจ้าหน้าที่ก็เห็นว่าบางคนที่ก่อนหน้ายังไม่ยอมสารภาพค่อย ๆ เกิดความลังเล
เจ้าหน้าที่ยังพูดต่ออีกว่า “นางเป็นถึงขุนนางระดับห้า ตำแหน่งสูงส่ง แถมยังเปิดร้านจิ่นฝูที่ใหญ่โตโอ่อ่า มีทั้งเงินทั้งอำนาจ คราวนี้คนตายเป็นถึงรองหัวหน้ากลุ่มอันธพาลในเมืองหลิวเจีย ทว่าพวกอันธพาลก็ยังไม่กล้าทำอันใดกู้เสี่ยวหวานแม้แต่ปลายก้อย ต่างจากพวกเจ้าที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มตัวเล็ก ๆ หากกู้เสี่ยวหวานตกลงกับพวกอันธพาลว่านางยอมให้ชีวิตพวกเจ้าแลกกับชีวิตคนตาย พวกเจ้าคิดว่าคนพวกนั้นจะปล่อยพวกเจ้าไปหรือ? จุ๊ ๆ พวกเจ้าอย่าโง่เง่าไปหน่อยเลย คนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเจ้าคิดจะปลิดชีวิตตนเพื่อปูทางให้คนอื่นอย่างนั้นหรือ?”