บทที่ 1237 ไม่เคยคิดทรยศ
บทที่ 1237 ไม่เคยคิดทรยศ
ทันทีที่เจ้าหน้าที่พูดจบ เขาก็ยิ้มเยาะให้พวกคนเขลาที่ถูกหลอกไปขาย แล้วยังช่วยคนขายนับเงิน
เสี่ยวเหลียงจื่อขมวดคิ้วแน่น สายตาจับจ้องเจ้าหน้าที่ที่กำลังพูดพร่ำไม่หยุด โดยที่ไม่คิดจะเชื่อคำพูดเหล่านั้นแม้แต่น้อย “ข้าไม่มีวันเชื่อเจ้า เถ้าแก่ไม่ใช่คนเช่นนั้น พวกเจ้าอย่าไปเชื่อเขา เถ้าแก่ต้องมาช่วยเราแน่ ๆ”
จู่ ๆ เสี่ยวเหลียงจื่อก็ร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังหวาดกลัวบางสิ่งในห้องขังที่ว่างเปล่านี้ เสียงร้องน่ากลัวดังอยู่นานสองนาน
แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ผู้ซึ่งเคยเห็นนักโทษร้องโวยวายอยู่เป็นนิจ ก็ยังตกใจที่เห็นเสี่ยวเหลียงจื่อแผดเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งออกมา
เมื่อเห็นว่าจนป่านนี้แล้วเขาก็ยังไม่หยุดร้อง เจ้าหน้าที่รู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังท้าทายเขาอย่างมาก สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นทันใด “ร้องหาบิดาเจ้าหรืออย่างไร!”
เจ้าหน้าที่เอื้อมมือไปหยิบเหล็กร้อนสีแดงฉานออกมาจากเตา ผู้ใดเลยจะล่วงรู้ว่าเขาจะกดมันลงบนหน้าอกของเสี่ยวเหลียงจื่อทันใด
ฉ่า!
เนื้อหนังเปลือยเปล่าปะทะเข้ากับความร้อนบนแผ่นเหล็ก เกิดการเผาไหม้ทันใด
ทั่วทั้งห้องขังตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้
เจ้าหน้าที่กดเหล็กลงบนหน้าอกของเสี่ยวเหลียงจื่ออย่างไร้ความปรานี เสี่ยวเหลียงจื่อร้องลั่นปานจะขาดใจ จากนั้นก็สลบไปเพราะความเจ็บปวดเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มข้าง ๆ
ลูกจ้างคนอื่น ๆ มองเขาด้วยความสยดสยอง บางคนถึงกับทนดูไม่ได้จนต้องหลับตาไว้แน่น
โหดร้ายเกินไปแล้ว!
ผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในที่สุดเสี่ยวเหลียงจื่อก็ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ยามนี้สหายที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็สลบไสลไม่ได้สติกันหมด พวกเขาถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็ก และยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ข้างหน้าเสี่ยวเหลียงจื่อ
เสี่ยวเหลียงจื่อสีหน้าซีดเซียวเพราะความเจ็บปวด เหงื่อเย็น ๆ ผุดออกมาเต็มหน้าผาก ริมฝีปากขาวซีด
เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวด เห็นสหายทั้งหลายยืนอยู่ข้างหน้าตน ทุกคนมองมาที่เขาอย่างปวดใจ
เสี่ยวเหลียงจื่อรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง แม้เขาจะตำหนิคนเหล่านี้ว่าเป็นผู้ที่ไร้ซึ่งมโนธรรมในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย
แต่ที่ผ่านมา คนเหล่านี้ล้วนเป็นสหายที่ดี เขาจึงไม่อาจทนดูสหายถูกลงโทษต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ได้
และรู้ดีว่าที่พวกเขาทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อความอยู่รอด
เมื่อเห็นว่าพวกเขายังสบายดี เสี่ยวเหลียงจื่อก็ยกยิ้มเศร้า ๆ ให้พวกเขาหนึ่งที “พวกเจ้าไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว”
“เสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้าสารภาพไปเถอะ จะได้ไม่ต้องถูกทรมานเช่นนี้” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น
“ใช่ ๆ เสี่ยวเหลียงจื่อ พวกเราเป็นแค่เด็กกำพร้า ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ที่พึ่งพิง หากคนที่ถูกจับเป็นเถ้าแก่ นางจะต้องเอาตัวรอดได้แน่ แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมสารภาพ เจ้าก็คงต้องตายอยู่ที่นี่ ฮือ ๆ”
คนพวกนั้นเริ่มร้องไห้อีกแล้ว
เด็กหนุ่มที่ถูกลงโทษไปคราวนั้นกำลังกอดกับสหายเนื้อตัวสั่นเทาเอ่ยถามเช่นกัน “เสี่ยวเหลียงจื่อ เถ้าแก่จะใช้ชีวิตเราเพื่อชดใช้ชีวิตคนผู้นั้นจริง ๆ นะ เหตุใดเจ้ายังปกป้องนางงูพิษนั่นอยู่อีกเล่า?”
“ที่ผ่านมานางมีจิตใจเมตตาก็จริงอยู่ ทว่าเพื่อเอาตัวรอด นางกลับผลักไสเราเข้าไปในกองไฟ เราอุตส่าห์หวังดีเสนอตัวมาที่ห้องขังนี่เพื่อนาง แล้วนางล่ะ นางทำสิ่งใดเพื่อเราบ้าง เสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้าคิดให้ดีสิ เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเถ้าแก่อย่างนาง” เด็กหนุ่มอีกคนพูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น
เสี่ยวเหลียงจื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของคนผู้นั้นก็พลันหัวเราะเยาะเขาอย่างเวทนา
“เสี่ยวเหลียงจื่อ คนโหดร้ายเช่นนั้นไม่คุ้มค่าที่เราจะเสี่ยงชีวิตปกป้องนาง”
“ใช่ เสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้าสารภาพเถอะ”
คราวนี้สหายทั้งหลายพยายามโน้มน้าวให้เขายอมสารภาพว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนสั่งให้ฆ่าคน แต่ละคนต่างมองมาที่เขาอย่างทุกข์ใจ
เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เริ่มเหนื่อยใจ จึงเดินไปนั่งดื่มชาอยู่อีกด้านหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ตาสว่างแล้วหรือยัง? เพียงเจ้ายอมสารภาพว่ากู้เสี่ยวหวานฆ่าคน ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป อย่างมากก็จะขังเจ้าไว้ในคุกนี้ต่อไปอีกไม่เกินสองสามวัน จากนั้นก็จะปล่อยเจ้าออกไปทันที”
คำพูดของเจ้าหน้าที่เปรียบเสมือนเหยื่อล่อ บรรดาผู้ที่ไม่เคยถูกทรมานต่างก็ดีใจจนเนื้อเต้น คนทั้งหลายพยายามเกลี้ยกล่อมเสี่ยวเหลียงจื่อให้เป็นพยานว่ากู้เสี่ยวหวานฆ่าคน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยของสหายพวกนี้ เสี่ยวเหลียงจื่อถึงกับหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
คนพวกนี้เมื่ออยู่ต่อหน้ากู้เสี่ยวหวานล้วนแต่มีท่าทีเคารพนอบน้อม สนิทสนมจริงใจ
กู้เสี่ยวหวานเป็นเถ้าแก่ที่ดี นอกจากลูกจ้างที่อยู่มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแล้ว ลูกจ้างส่วนใหญ่ในร้านจิ่นฝูเป็นเด็กวัยสิบขวบกว่าที่กู้เสี่ยวหวานรับมาจากทางตะวันตกของเมืองหลิวเจียในภายหลัง นางไม่เพียงให้ที่หลบภัยแก่พวกเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขากล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เสี่ยวเหลียงจื่อยังเคยได้ยินพวกเขาพรรณนาถึงสิ่งดี ๆ ที่กู้เสี่ยวหวานมอบให้แก่พวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ยังบอกอีกว่ามีเจ้านายเช่นนี้ ต่อให้ทำงานหนักเป็นวัวเป็นม้าก็จะทำไปจนชั่วชีวิต
แต่นี่ยังไม่ทันได้ครึ่งชีวิตด้วยซ้ำ
หรือว่าพูดจบยังไม่ถึงปี คนพวกนี้ก็ลืมสิ้นไปเสียแล้ว
เสี่ยวเหลียงจื่อใช้ดวงตาที่กำลังฉายแววสมเพชเวทนากวาดมองหน้าคนพวกนี้ไปมา
“อู่จื่อ ข้ารู้ว่าบิดามารดาเจ้าจากไปเร็ว ชีวิตนี้ของเจ้าเติบใหญ่มาได้เพราะมีย่าของเจ้าเลี้ยงดู ต่อมาเถ้าแก่รับเจ้ามาดูแล ไม่เพียงแต่มอบเงินห้าตำลึงให้เจ้าล่วงหน้าเพื่อไปจ่ายค่ารักษาอาการป่วยของย่าเจ้า หากไม่นับเรื่องเงินทองของนอกกาย ก็ยังมีเรื่องเนื้อตุ๋นนุ่มเปื่อยจากร้านอาหารที่นางมักจะให้เจ้าเอากลับไปให้ย่าเจ้าได้กินอิ่มนอนหลับ ข้าไม่เห็นว่าเถ้าแก่จะทำสิ่งใดให้เจ้าขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย”
“ตงกวา บิดามารดาเจ้าตาบอด ทั้งสองมองสิ่งใดไม่เห็น เจ้าได้แต่พาน้องสาวออกไปขอทาน หากเถ้าแก่ไม่รับเจ้ามาดูแล ทั้งยังให้ค่าแรงแก่เจ้า เจ้าจะเอาเงินจากที่ใดไปให้ครอบครัวเจ้าเช่าบ้านอยู่ ทุกวันก่อนเจ้าจะกลับบ้าน เถ้าแก่ยังบอกให้เจ้าเอาอาหารดี ๆ ที่เหลือในร้านจิ่นฝูกลับไปด้วย อาหารที่คนในบ้านเจ้าได้กินอยู่ทุกวันล้วนมาจากร้านจิ่นฝู แล้วเจ้ามีสิ่งใดให้หมางใจต่อเถ้าแก่”
“เจ้าก็อีกคน”
เสี่ยวเหลียงจื่อฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลบนหน้าอก เพื่อเล่าสิ่งที่ตนเคยได้รับรู้ออกมาทีละคำ ๆ เพื่อร้อยเรียงออกมาเป็นประโยคแล้วประโยคเล่า ดวงตาหนึ่งคู่กวาดมองผู้คนตรงหน้าด้วยความเศร้าใจ สุดท้ายพวกเขาก็ทรยศต่อผู้เป็นนาย
ทว่าผ่านไปเพียงไม่นาน ยังไม่ทันได้กล่าวถึงพวกเขาให้ครบทุกคนด้วยซ้ำ
เสี่ยวเหลี่ยงจื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมหลับตาลงช้า ๆ เขารู้สึกได้ถึงความตายที่มารออยู่ตรงหน้า จึงได้เปล่งเสียงเด็ดเดี่ยวออกมาว่า “ข้าเสี่ยวเหลียงจื่อ แม้ไม่ใช่วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในโลกหล้า แต่ตัวข้าคือผู้ที่ระลึกอยู่เสมอว่าบุญคุณที่เถ้าแก่แห่งร้านจิ่นฝูมีต่อข้านั้นยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา ข้าจึงไม่มีเหตุอันใดต้องทำร้ายนาง ส่วนพวกเจ้า… อยากมีชีวิตอยู่ก็จงอยู่ต่อไปให้ดี ตัวข้าเสี่ยวเหลียงจื่อนี้ แม้ต้องตายก็จะไม่ทรยศต่อผู้เป็นนายเด็ดขาด”
บทที่ 1238 เสี่ยวหวานฆ่าคน
บทที่ 1238 เสี่ยวหวานฆ่าคน
เสี่ยวเหลียงจื่อผู้ชอบธรรมและน่าเกรงขาม ท่าทีดูพร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อตอบแทนความเมตตานี้ทำให้คนอื่น ๆ ก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด
“ในเมื่อเส้นทางที่เลือกเดินมันไม่เหมือนกัน ก็ไม่สามารถที่จะร่วมงานกันได้ ในเมื่อพวกเจ้าเลือกเส้นทางนี้แล้ว เราก็ไม่ใช่พี่น้องกันอีกต่อไป ถ้าพวกเจ้าต้องการอยู่รอด ก็มีชีวิตต่อไปเสีย แต่จากนี้ไปอย่าพูดว่าเป็นพี่น้องกับข้าเสี่ยวเหลียงจื่อ และอย่าบอกว่าเป็นลูกจ้างของร้านจิ่นฝูอีก เพราะพวกเจ้าไม่คู่ควรที่จะรับใช้เสี้ยนจู่” คำพูดของเสี่ยวเหลียงจื่อเหมือนกับมีดทิ่มแทงหัวใจของพวกเขา บางคนรู้สึกอายมากจนแทบจะมุดศีรษะลงดิน ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น ทำหน้ามุ่ยและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อพวกเขานึกถึงท่าทางของเสี่ยวเหลียงจื่อในขณะนี้ เมื่อคำพูดนั้นมาถึงริมฝีปาก เขาก็ต้องกลืนมันกลับลงไปอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้
“เสี่ยวเหลียงจื่อ ถ้าเจ้าต้องการปกป้องกู้เสี่ยวหวานจริง ๆ เจ้าก็คงไม่กลัวความตาย” เจ้าหน้าที่ได้พักผ่อนเพียงพอ เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเหลียงจื่อเป็นเหมือนก้อนหินที่อยู่ตรงขอบบ่อส้วม ทั้งแข็งกระด้างและมีกลิ่นเหม็น เขาจึงถือแส้หนาซึ่งยังคงเปียกด้วยน้ำ เขาตบมันกับมือแล้วเดินไปที่ด้านข้างของเสี่ยวเหลียงจื่อ
เขายกคางของเสี่ยวเหลียงจื่อขึ้นด้วยแส้ราวกับกำลังยั่วยุและพูดอย่างจองหอง “ข้าเป็นเจ้าหน้าที่มาหลายปีแล้ว และข้าได้สอบสวนนักโทษมามากมาย เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนดื้อรั้นเช่นนี้ ข้านับถือเจ้าในฐานะวีรบุรุษ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจแค่ไหน มาดูกันว่าเจ้าจะทนแส้ของข้าได้กี่ครั้ง”
เพี้ยะ!
แส้ยาวที่แช่ในน้ำเกลือพุ่งเข้าหาใบหน้าของเขาพร้อมกับลมแส้ที่หวีดหวิว เสี่ยวเหลียงจื่อรู้สึกเพียงว่าแส้นั้นมาทางเขา
ในชั่วพริบตา มันก็อยู่ต่อหน้าเขา
เพี้ยะ!
เสี่ยวเหลียงจื่อถูกแส้ฟาด เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาก็ถูกแส้ฟาดจนขาดวิ่น เผยให้เห็นรอยแส้สีแดงและคราบเลือด
เจ้าหน้าที่ฟาดแส้เส้นแรก เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเหลียงจื่อกัดฟันแน่นไม่ส่งเสียง เขาจึงรู้สึกตื่นเต้น “เอาล่ะ เจ้าเป็นคนแข็งแกร่ง ข้าจะดูว่าเจ้าจะทนแส้จากข้าได้กี่ครั้ง”
เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ! แส้ที่แช่ในน้ำเกลือตีเข้าที่ร่างกายของเขา เนื้อหนังบนตัวของเขาแตกซิบ ทำให้น้ำเกลือบนแส้กัดเซาะไปตามบาดแผลทีละนิด
ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่เฆี่ยนเขาไปกี่ที ในที่สุดเสี่ยวเหลียงจื่อก็ทนไม่ได้และกรีดร้องออกมาเสียงดัง
ร่างกายและหน้าอกของเสี่ยวเหลียงจื่อเต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดงสด ผิวหนังและเนื้อของเขาแยกจากกันทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็น
“เสี่ยวเหลียงจื่อ เจ้ายอมรับเสียเถอะ หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ เจ้าอาจจะต้องตาย” สหายคนหนึ่งทนไม่ได้อีกต่อไป จึงเอ่ยปากแล้วอุทานออกมา
เสี่ยวเหลียงจื่อเย้ยหยัน มองไปยังเจ้าหน้าที่ที่มือเจ็บจากการฟาดแส้เป็นเวลานาน และตะโกนสุดเสียงอย่างเย้ยหยัน “ให้ข้าตายเสียดีกว่าจะต้องทรยศเถ้าแก่”
เสี่ยวเหลียงจื่อกระอักเลือดออกมา ริมฝีปากเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง เจ้าหน้าที่ไม่เคยเห็นคนดื้อรั้นเช่นนี้มาก่อน เห็นท่าทีของเขาแล้วก็ใจสั่นด้วยความกลัวทันที
เขาไม่เคยเห็นคนดื้อรั้นเช่นนี้มาก่อน
กระดูกแข็งจริง ๆ
เขาอยากจะเฆี่ยนคนผู้นี้ให้ตายไปเสีย หากแต่ใต้เท้ากลับสั่งห้ามเอาไว้
เมื่อเห็นท่าทางหมดสภาพของอีกฝ่าย เจ้าหน้าที่ที่ได้ระบายความโกรธแล้วจึงวางแส้ลงในที่สุด “ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน และเมื่อกู้เสี่ยวหวานสารภาพผิด เจ้าจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของกู้เสี่ยวหวาน นางเป็นถึงเสี้ยนจู่ ดังนั้นโทษของนางอาจจะไม่ถึงตาย แต่เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา ดังนั้นโทษอาจจะมากกว่าของนาง”
แต่กระนั้นเสี่ยวเหลียงจื่อยังจ้องมองเจ้าหน้าที่อย่างหยิ่งผยอง ขบฟันแน่นแล้วพูดว่า “แม้ว่าข้าจะต้องตาย แต่ข้าก็จะไม่ทำอะไรที่ขัดต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของข้า”
ในที่สุด เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายของร่างกายเขาก็หมดลง หลังจากเอ่ยประโยคสุดท้ายจบ ก็ทรุดตัวลงไปทันที
เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่เช้าแล้ว เจ้าหน้าที่จึงมองไปยังคนที่นอนตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง และสั่งคนในห้องอย่างภาคภูมิ ชี้ไปพวกเขาและพูดว่า “ขังพวกเขาทั้งหมด”
หัวหน้าห้องขังพยักหน้า ชี้ไปที่เสี่ยวเหลียงจื่อซึ่งบนตัวเต็มไปด้วยเลือดและหมดสติไปแล้ว และถามว่า “แล้วเขาล่ะ”
กระดูกของผู้ชายคนนี้แข็งจริง ๆ
ผ่านมาหลายปีแล้ว ในห้องขังนี้ไม่มีคนใจแข็งอย่างนี้เลย
เจ้าหน้าที่ยิ้มอย่างมีชัย “ชายผู้นี้ได้รับการสงวนไว้เป็นพิเศษจากใต้เท้า ให้เขาอยู่ที่นี่ก่อนและอย่าทรมานเขา”
หัวหน้าห้องขังพยักหน้าแล้วพาคนอื่นเข้าไปด้านใน
เวลาในคืนนี้ดูเหมือนจะยาวนานมาก กู้เสี่ยวหวานกระสับกระส่าย นั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ตลอดทั้งคืน
ในเช้าตรู่ของวันต่อมา กู้เสี่ยวหวานสามารถหลับตาลงได้เพียงสักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบ “เถ้าแก่! เถ้าแก่”
ตอนนี้เหลือเพียงกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือ กู้หนิงผิง หลี่พ่างจื่อ และเกาจื่ออยู่ในร้านจิ่นฝู
เนื่องจากในเวลานั้นพบผงชีซิงในจอกเหล้าเท่านั้นและไม่มีผงชีซิงในอาหารอื่น ๆ ในเวลานั้นเจ้าหน้าที่จากทางการจึงไม่ได้จับกุมพ่อครัวทั้งสองไป
หลี่พ่างจื่อและเกาจื่อเป็นคนของหลี่ฝาน แม้ว่าหลี่ฝานจะมอบร้านจิ่นฝูให้กับกู้เสี่ยวหวาน แต่พวกเขายังคงทำงานให้กับกู้เสี่ยวหวานในร้านจิ่นฝูแห่งนี้
เมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นในร้านจิ่นฝู กู้เสี่ยวหวานขอให้พวกเขาออกไปจากร้านจิ่นฝู เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องมาลำบากกับเรื่องนี้ หากแต่พวกเขาก็ยืนกรานว่าพวกเขาต้องการผ่านความยากลำบากนี้ไปกับกู้เสี่ยวหวาน
ดังนั้นสองคนนี้จึงอยู่ที่ร้านจิ่นฝูตั้งแต่เมื่อคืน
ขณะที่กู้เสี่ยวหวานพักสายตา เมื่อได้ยินเสียงร้องของเกาจื่อ จึงรีบแต่งตัวให้เรียบร้อย และเมื่อออกไปข้างนอก พอมองลงไปชั้นล่างก็เห็นฉินเย่จือและกู้หนิงผิงยืนอยู่ที่ประตู หลี่พ่างจื่อและเกาจื่อยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปหมด
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ จึงรีบวิ่งปรี่ลงไปที่ชั้นล่าง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ฉินเย่จือก็หันศีรษะไปและเห็นสีหน้าประหม่าของกู้เสี่ยวหวาน เบ้าตาที่ดำคล้ำของนาง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืน
ดวงตาเรียวยาวของฉินเย่จื่อฉายแววเป็นกังวล ชายหนุ่มรั้งกู้เสี่ยวหวาเอาไว้ในอ้อมกอดและพูดอย่างเป็นทุกข์ “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดดวงตาถึงคล้ำเช่นนี้ เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนหรือ?”
เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็ส่ายศีรษะ “พี่เย่จือ ข้าสบายดี เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
เมื่อมองไปข้างหลังฉินเย่จือ ก็เห็นชายในเครื่องแบบถือไม้ยืนอยู่ที่ทางเข้าของร้านจิ่นฝูราวกับว่าพวกเขาได้ล้อมรอบร้านจิ่นฝูไว้แล้ว
ในเวลานี้มีคนปราฏตัวขึ้นด้านหลังเจ้าหน้าที่
เป็นลวี่เทาที่ออกมาด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคือง “กู้เสี่ยวหวาน เจ้ามีสถานะเป็นเสี้ยนจู่ระดับห้าที่ฮ่องเต้แต่งตั้ง ตามเหตุผล เจ้าควรอุทิศตัวเองเพื่อต้าชิง แต่เจ้ากลับอาศัยสถานะของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงชีวิตคนอื่น ครั้งนี้ข้าจะสะสางให้ฮ่องเต้ เพื่อให้ฮ่องเต้เห็นว่าเสี้ยนจู่ที่เขาแต่งตั้งเป็นสตรีใจดำ”
ยิ่งลวี่เทาพูดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งโกรธและไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากพูดจบก็โบกมือและตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้า เอาปีศาจสาวคนนี้ลงมาให้ข้า!”
กลุ่มเจ้าหน้าที่ก้าวขึ้นมาข้างหน้า ฉินเย่จือเห็นดังนั้นจึงปกป้องกู้เสี่ยวหวานไว้ด้านหลังเขาพลางมองไปที่ลวี่เทาอย่างขุ่นเคือง “ใต้เท้าลวี่ ท่านกล้าที่จะสงสัยในคำสั่งของฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ ท่านจะได้รับโทษ”
“แล้วมันเป็นความผิดของข้าหรือ” เห็นได้ชัดว่าลวี่เทาไม่ได้ให้ความสำคัญกับฉินเย่จือนัก เขาไม่ชอบชายคนนี้ เขาก็เป็นเพียงชายยากจน แต่กลิ่นอายของร่างกายนี้ไม่มีใครเทียบได้
นอกจากนี้ยังมีกู้เสี่ยวหวาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแค่สาวชาวนา แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นเสี้ยนจู่ นางเองก็เป็นคนจนเช่นกัน แต่กลับมีร้านจิ่นฝูอยู่ในมือและยังเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลิวเจียอีก เงินที่เข้าออกในร้านจิ่นฝูแต่ละวัน กลัวว่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ระดับแปดอย่างเขาคิดไม่ถึง
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ความไม่พอใจของลวี่เทาที่มีต่อกู้เสี่ยวหวานก็พุ่งเข้ามาในความคิด โดยหวังว่าคนทั้งสองจะหายไปต่อหน้าต่อตาเขาทันที
ถ้ากู้เสี่ยวหวานเสียชีวิตก็อาจจะไม่มีเจ้าของร้านจิ่นฝูนี้ก็เป็นได้ คิ้วและดวงตาของลวี่เทาขมวดแน่น และมีประกายแสงในดวงตาของเขา
ฉินเย่จือเห็นความปรารถนาในดวงตาของลวี่เทา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วลวี่เทาคิดอะไรอยู่ในใจ
“กู้เสี่ยวหวาน เมื่อวานลูกจ้างในร้านอาหารของเจ้าสารภาพหมดแล้ว พวกเขาได้รับคำสั่งจากเจ้าให้ใส่ผงชีซิงลงในจอกเหล้าของผู้ตาย” ลวี่เทาพูดพร้อมกับชี้ไปที่กู้เสี่ยวหวาน ราวกับว่าเขาได้หลักฐานการลงมือของนางแล้ว
ฉินเย่จือฟังและยิ้มออกมา “โอ้! ลูกจ้างเหล่านั้นยอมรับว่าหวานเอ๋อร์ของข้าเป็นฆาตกรอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าลวี่ ข้าอยากถามว่าถ้าท่านต้องการฆ่าใครสักคน ท่านจะแจ้งให้คนรอบตัวท่านทราบหรือไม่?”
ลวี่เทารู้สึกหายใจไม่ออกกับคำพูดของฉินเย่จือ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงและตอบสนองอย่างรุนแรงในทันที “ไร้สาระ ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีเกียรติของราชสำนัก ข้าจะทำสิ่งที่ด้อยกว่าหมูและสุนัขได้อย่างไร”
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ใต้เท้าลวี่เป็นเพียงขุนนางระดับแปดเท่านั้น แต่หวานเอ๋อร์ของข้าเป็นถือได้ว่าเป็นขุนนางระดับห้า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าหวานเอ๋อร์ของข้าจะทำสิ่งที่ด้อยกว่าหมูและสุนัขโดยไม่คำนึงถึงสถานะของนาง?” ฉินเย่จือโต้กลับ แต่ลวี่เทาไม่มีอะไรจะพูดหักล้าง