บทที่ 1239 ผิงเอ๋อร์
บทที่ 1239 ผิงเอ๋อร์
“เจ้า… เจ้าอย่าทำให้ประชาชนสับสน” ลวี่เทาสาปแช่ง “กู้เสี่ยวหวาน ข้ารวบรวมหลักฐานการกระทำผิดของเจ้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปที่ศาลาว่าการเดี๋ยวนี้ และให้ความยุติธรรมกับผู้เสียชีวิต”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญ “ท่านตายอย่างน่าสังเวชมาก ท่านพี่รอง ท่านทำให้ข้าเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร ข้าจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร”
ผู้ตายไม่เคยแต่งงานมาก่อน คนเดียวที่มีความสัมพันธ์ที่ดีคือผู้หญิงในหอนางโลม ได้ยินมาว่าผู้ตายพาผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ด้วย เขามักจะเมามายอยู่ในหอนางโลมตลอด และชีวิตของเขาก็เป็นที่พอใจมาก
หญิงสาวกำลังถือสิ่งของบางอย่างอยู่ในมือ ด้านหลังตามมาด้วยจูเหล่าซานที่เมื่อวานนี้มาที่ร้านจิ่นฝูเพื่อยั่วยุ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอันธพาลตามมาด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นอันธพาลที่มาหาทางแก้แค้นกู้เสี่ยววาน
มีคนสองคนประคองหญิงสาวทั้งซ้ายและขวา ผู้หญิงคนนั้นกำลังร้องไห้อย่างหนักดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ท่าทางช่างดูน่าสงสาร
เมื่อลวี่เทาเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
ผู้หญิงคนนี้หน้าตาดีจริง ๆ
นางสวมชุดสีขาวทั้งตัว ผมของนางถูกมัดด้วยผ้าสีขาวที่ตัดเป็นริ้วยาว เมื่อลมพัดมา ผมบนหน้าผากของนางก็ปลิวไสวไปตามสายลม ช่างดูบริสุทธิ์ประกอบกับคลื่นที่ปั่นป่วนที่หน้าอก เอวคอด ความงดงามนั้น ความบริสุทธิ์นั้น ดวงตาของลวี่เทาเหยียดตรงเมื่อเขาเห็นมัน
ช่างงดงามอย่างหาได้ยากจริง ๆ
ส่วนล่างของลวี่เทามีปฏิกิริยาทันที และในตอนนั้นเองที่ลวี่เทาตระหนักว่านี่คือหน้าประตูของร้านจิ่นฝู ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก ถ้าเขาควบคุมตนเองไม่ได้ มันคงเป็นเรื่องที่น่าอับอาย
ดังนั้นลวี่เทาจึงรีบมองไปด้านล่างและเห็นว่าเสื้อคลุมของตัวเองคลุมส่วนกลางลำตัวไว้ได้และไม่มีใครมองเห็น ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและปรับสีหน้าเป็นปกติ
การกระทำทั้งหมดนี้ตกอยู่ในสายตาของฉินเย่จือ
เมื่อมองหญิงสาวที่ได้รับการสนับสนุนจากพวกอันธพาลสองคนซึ่งกำลังร้องไห้ฟูมฟาม จากนั้นมองไปที่ท่าทางของลวี่เทา เมื่อเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้ ฉินเย่จือก็ขมวดคิ้ว
กู้เสี่ยวหวานอยู่ด้านหลังของเขาตลอดเวลา ซึ่งสามารถพูดได้ว่านางได้รับการคุ้มครองจากเขา
ยังเห็นกลุ่มคนอยู่ไม่ไกล ทุกคนสวมชุดสีดำ แต่หญิงสาวเป็นเพียงคนเดียวที่สวมใส่ชุดสีขาว
กู้เสี่ยวหวานคิดว่ามันไม่ดี
หลังจากเห็นกลุ่มคนเข้ามา พวกเขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าลวี่เทา คนที่เป็นผู้นำกำลังถือบางอย่างอยู่ในมือและร้องไห้เสียงดัง “ใต้เท้าลวี่ ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้พี่รองจู”
แซ่ของผู้เสียชีวิตคือ จู เขาเป็นพี่รองและเป็นที่รู้จักในฐานะพี่รองจู
นางคร่ำครวญทั้งน้ำตา “ใต้เท้า ข้าเป็นเพียงหญิงผู้น่าสงสารจากหอนางโลมเหยียนฮวา เดิมทีข้าควรจะตามไปกับฝูงชนและเป็นโสเภณีต่ำต้อย แต่พี่รองจูรักข้าและพาข้ามาอยู่ข้างกาย ให้ข้ามีความสุขและความปลอดภัยในฐานะผู้หญิง แม้ว่าข้าจะยังไม่ได้ออกจากหอนางโลมเหยียนฮวา แต่ท่านพี่รองจูบอกว่าเขาต้องการหาเงินเพื่อไถ่ตัวข้า แต่ยังไม่ทันถึงวันที่เขาจะไถตัว ข้าก็ได้ยินข่าวการตายอันน่าสลดใจของเขา โอ้สวรรค์! ชีวิตของผิงเอ๋อร์ที่ลำบากมาตลอด ในที่สุดก็เจอชายคนหนึ่งที่ปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ เขารักข้าและคอยปกป้องข้า แต่สุดท้ายแล้วก็เกิดเหตุร้าย ผู้บริสุทธิ์อย่างเขาต้องเสียชีวิตอย่างน่าสังเวช ชีวิตของผิงเอ๋อร์ช่างน่าสงสาร! ไม่มีประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
ผู้หญิงที่อ้างว่าชื่อผิงเอ๋อร์กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร และท่าทางที่โศกเศร้าทำให้ทุกคนรู้สึกสะเทือนใจ
เมื่อได้ยินว่าคนที่มายั่วยุเมื่อคืนเป็นจูเหล่าซาน ชายคนหนึ่งจึงเดินมาหาผิงเอ๋อร์และปลอบโยนนาง “พี่สะใภ้รอง แม้ว่าท่านพี่รองจะไม่ได้แต่งงานกับท่าน แต่ความรักของท่านที่มีต่อท่านพี่รองก็ชัดเจนมาก พวกเราในฐานะน้องชายต่างรู้ดี อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ท่านก็ยังจะเป็นพี่สะใภ้รองของเรา ท่านอย่าได้เศร้าไปเลย ถ้าท่านพี่รองรู้เข้า เขาคงจะเสียใจมาก”
หลังจากได้ยินคำพูดของจูเหล่าซาน ผิงเอ๋อร์ก็ร้องไห้อย่างหนัก แต่เมื่อร้องไห้จนพอใจ นางก็เช็ดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า และพูดอย่างดุดัน “จูเหล่าซาน ข้า ผิงเอ๋อร์ได้รับการคุ้มครองโดยท่านพี่รอง เมื่อท่านพี่รองจากไปแล้ว เดิมทีข้าก็ไม่อยากอยู่บนในโลกนี้ แต่ถ้าจับฆาตกรที่ฆ่าท่านไม่ได้ ผิงเอ๋อร์จะไปอธิบายให้พี่รองฟังได้อย่างไร ข้าต้องการทวงความยุติธรรมให้กับพี่รองของข้า”
จากนั้นนางก็ชูของในมือขึ้นสูงต่อหน้าลวี่เทาและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ใต้เท้าลวี่ นี่คือเงินออมทั้งหมดที่พี่รองเก็บไว้เพื่อไถ่ตัวข้า สิ่งที่ข้าต้องการคือนำตัวฆาตกรฆ่าพี่รองของข้ามาลงโทษก่อนที่ข้าจะไปเจอเขา โปรดให้ความยุติธรรมกับท่านพี่รองของข้าด้วย”
ลวี่เทารู้สึกประหลาดใจ “ข้าเป็นเจ้าหน้าที่มาหลายปีแล้ว และข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงที่มีความรักอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ ไม่ต้องกังวล ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับพี่รองของเจ้า และพาตัวคนที่ฆ่าพี่รองของเจ้ามาลงโทษอย่างแน่นอน”
หลังจากที่ลวี่เทาพูดจบ เขาก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างไม่วางตา
ฉินเย่จือปกป้องกู้เสี่ยวหวานข้างหลังเขา ปิดกั้นการจ้องมองของลวี่เทา
ลวี่เทาไม่เห็นกู้เสี่ยวหวาน และรู้สึกหวาดกลัวกับการจ้องมองที่เย็นชาของฉินเย่จือ
ลวี่เทาหันหลังกลับ และก้าวเท้าไปพยุงผิงเอ๋อร์ขึ้นมาจากพื้นอย่างเสน่หา “แม่นางช่างมีความจริงใจ ข้าสาบานด้วยชีวิตว่าข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและให้คำอธิบายแก่แม่นาง”
ผิงเอ๋อร์นั้นเป็นคนอ่อนแอ ท่วงท่าของนางนั้นสง่างามและมากด้วยเสน่ห์ อีกฝ่ายจ้องมองอย่างเสน่หาราวกับว่าเขามีดวงตาไว้เพื่อมองหญิงสาวตรงหน้าของเขาเท่านั้น
เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองเช่นนี้ หลี่พ่างจื่อก็ตะคอกอย่างเย็นชา “พฤติกรรมที่น่ารังเกียจ”
ฉินเย่จือชำเลืองมองอีกฝ่าย และได้ยินหลี่พ่างจื่อพูดต่อว่า “ลวี่เทาคนนี้ภายนอกดูสง่างาม แต่ภายในของเขาเต็มไปด้วยแผนการชั่วร้าย ตราบใดที่เขาเห็นผู้หญิงสวย นางก็จะไม่รอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ถามว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านยังจำเหมียวซื่อภรรยาของเหมียวเอ้อร์ คนทำบัญชีในร้านจิ่นฝูของเราได้หรือไม่” หลี่พ่างจื่อกระซิบ “ต่อมาเหมียวซื่อก็ติดตามชายคนนี้”
“เป็นความจริงหรือ” เกาจื่อเองก็มีท่าทางไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน “ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดมาก่อน”
“ไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้ชัดเจน” หลี่พ่างจื่อพึมพำ “ข้าเห็นด้วยตาของข้าเองว่า ลวี่เทามาที่บ้านในตรอกข้างบ้านของข้า ข้าเห็นหลายครั้งแล้ว”
หลี่พ่างจื่อพึมพำกับตัวเอง และกู้เสี่ยวหวานเองก็ไม่อยากจะเชื่อกัน หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ฉินเย่จือก็เกิดความคิดบางอย่างในใจ
อีกด้าน ลวี่เทาช่วยประคองให้ผิงเอ๋อร์ลุกขึ้น และหลังจากที่ทั้งสองคนจ้องมองด้วยความเสน่หาอยู่พักหนึ่ง ลวี่เทาก็หันกลับมาและตะโกนว่า “กู้เสี่ยวหวาน ตอนนี้มีพยานและหลักฐานทางวัตถุครบแล้ว ถ้าจะบอกว่าการฆ่าคนต้องแลกด้วยชีวิต มันก็สมเหตุสมผลแล้ว บัณฑิตก่ออาชญากรรมก็ได้รับโทษแบบเดียวกับคนทั่วไป ถ้าเจ้าฆ่าคน เจ้าก็จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง”
เมื่อครู่นางมีความรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่คราวนี้เมื่อนางอยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่จือ นางก็ไม่ได้หวาดกลัวอีกต่อไป นางยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “ใต้เท้าลวี่ ท่านบอกว่าข้าฆ่าคน นอกจากคำพูดของลูกจ้างเหล่านั้นแล้ว ท่านยังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่”
“ใต้เท้าลวี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าหากไม่มีหลักฐานและมาใส่ร้ายชื่อเสียงของเสี้ยนจู่โดยเจตนา ท่านจะถูกตัดศีรษะ” ฉินเย่จือกล่าวเสียงหนักแน่น
ลวี่เทาพูดอย่างกล้าหาญ “ขุนนางผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวผู้มีอำนาจ และเคารพต่อความยุติธรรมเท่านั้น”
หลังจากหยุดชั่วคราว ลวี่เทาก็ประสานมือ เงยหน้ามองฟ้าและโค้งคำนับ “แม้ว่าตำแหน่งอย่างเป็นทางการของข้าจะไม่สูงเท่าเสี้ยนจู่ แต่ในเมืองหลิวเจียแห่งนี้ ข้าเป็นผู้ปกครองที่ปกป้องความปลอดภัย เมื่อในเมืองเกิดคดีฆาตกรรม เจ้าหน้าที่คนนี้มีหน้าที่รับผิดชอบ แม้ว่าหมวกสีดำบนหัวของข้าจะหายไป ข้าก็ต้องทวงความยุติธรรมแก่ผู้ตายให้ได้”
เขามองไปที่ผิงเอ๋อร์อีกครั้ง นางก็มองไปที่ลวี่เทาด้วยความชื่นชม
สำหรับลวี่เทา เมื่อสัมผัสได้ถึงคำชื่นชมของผิงเอ๋อร์ เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้นราวกับว่าเขาเป็นเทพสวรรค์
หากกู้เสี่ยวหวานไม่ได้ยินคำอธิบายของหลี่พ่างจื่อเกี่ยวกับลวี่เทา นางคงคิดผิดจริง ๆ ว่าลวี่เทามีความเห็นอกเห็นใจและให้ความยุติธรรมกับประชาชน
แต่มันเป็นเพียงมีดที่อยู่ตรงหน้า มันสามารถลงมาตัดศีรษะของเขาได้ทุกเมื่อ
“กู้เสี่ยวหวาน แม้ว่าเจ้าจะเป็นเสี้ยนจู่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ หรือเป็นเจ้าของร้านจิ่นฝู ตอนนี้เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมและเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด เพื่อให้คลี่คลายคดีได้สะดวก ข้าคนผู้นี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจัดการอย่างเป็นทางการ เสี้ยนจู่โปรดให้ความร่วมมือ”
ฉินเย่จือมองไปรอบ ๆ หยุดการเคลื่อนไหวของกู้เสี่ยวหวานและยิ้มอย่างมีเลศนัย “หวานเอ๋อร์ เจ้าให้อาจั่วอยู่ที่ร้านจิ่นฝูคอยปกป้องเจ้าด้วย”
หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าฉินเย่จือกำลังจะทำอะไร เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะลงไป จึงรีบคว้าเขาไว้และพูดด้วยความหวาดกลัว “พี่เย่จือ อย่า…”
กู้เสี่ยวหวานจะให้ฉินเย่จือไปเข้าคุกแทนตัวเองได้อย่างไร?
สิ่งเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นกับเหมียวเอ้อร์ ครั้งที่แล้วฉินเย่จือเข้าคุกแทนนาง ครั้งนี้ฉินเย่จือก็กำลังจะเข้าคุกแทนนางอีก เขาไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็บีบมือของนางแล้วพูดเบา ๆ ว่า “หวานเอ๋อร์ บอกอาโม่ให้จับตาดูลวี่เทาให้ดี”
บทที่ 1240 จับนาง
บทที่ 1240 จับนาง
ฉินเย่จือสัมผัสใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานอย่างอ่อนโยน ใบหน้าที่นุ่มนวลและเรียบเนียนดูเหมือนไข่ที่ปอกเปลือก เขาอยากจะครอบครองสิ่งนี้ไปตลอดชีวิต
แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก เขาได้แต่มองกู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาปลอบโยน จากนั้นก็เดินลงบันไดไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉินเย่จือเดินลงมา ลวี่เทาจึงพูดอย่างไม่พอใจ “ผู้ต้องสงสัยคือกู้เสี่ยวหวาน เจ้าจะลงมาทำไม ข้าจะไม่ปล่อยคนเลวไปและข้าไม่สามารถใส่ร้ายคนดีได้ เจ้ากลับไปเถอะ คนที่ข้าต้องการจับกุมคือเสี้ยนจู่ไม่ใช่เจ้า”
“ข้าเป็นคนรับใช้ของเสี้ยนจู่ หากเสี้ยนจู่กำลังทำสิ่งใด ข้าที่เป็นคนรับใช้ก็ต้องรับโทษแทน ท่านไม่ถามข้า แต่กลับไปถามนายข้า ท่านไม่คิดว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นผิดขั้นตอนหรือ” ฉินเย่จือถามเขาด้วยใบหน้าเย้ยหยันราวกับกำลังตำหนิว่าลวี่เทาโง่เขลา
ลวี่เทาสำลัก ชายคนนี้รับมือยาก เขารู้ดี
เป็นสิ่งเดียวกันกับเหมียวเอ้อร์ในตอนนั้น แต่ในเวลานั้นลวี่เทาไม่รู้ว่าชายคนนี้มีความสามารถอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับอีกฝ่ายมากนัก แต่เมื่อภายหลังพบว่าเขามีศิลปะการต่อสู้ที่น่าทึ่ง จึงกลายเป็นว่ากู้เสี่ยวหวานมีมีดที่ดีอยู่ข้างกายนาง
ลวี่เทากำลังจะหันหลังให้เขา แต่เจ้าหน้าที่อยู่ข้าง ๆ รีบเข้ามาเกลี้ยกล่อม “ใต้เท้า เป็นเรื่องดีที่ชายคนนี้จะมากับเรา ชายผู้นี้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ ถ้าเขาต้องการช่วยกู้เสี่ยวหวาน เราจะรับมือเขาไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าเราตัดมือขวาของกู้เสี่ยวหวานออก…”
เสียงของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นแผ่วเบา และเมื่อลวี่เทาได้ยินก็เข้าใจในทันที “ตามที่เจ้าพูด ถ้าจับเขาไปจะเป็นประโยชน์สำหรับเรา”
จากนั้น เมื่อมองไปที่ฉินเย่จือ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปและตะโกนว่า “พวกเจ้า มาจับเขาไป!”
เจ้าหน้าที่รีบไปข้างหน้าและจับตัวฉินเย่จือไว้
สิ่งที่ลวี่เทาและทั้งสองพูดในตอนนี้ เพราะกู้เสี่ยวหวานอยู่ไกลและไม่รู้ศิลปะการต่อสู้ นางจึงไม่ได้ยิน แต่อาจั่วได้ยินมันอย่างชัดเจน หากแต่ก็ยังแสร้งทำเป็นมองลวี่เทาอย่างเมินเฉย จากนั้นจับมือของกู้เสี่ยวหวานและกระตุกยิ้มขึ้นมุมปาก
เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือถูกพาตัวไป กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งหัวใจ หากอาจั่วไม่ประคองนางเอาไว้ นางคงจะพุ่งไปหาอีกฝ่ายแล้ว
“คุณหนู ท่านไม่ต้องกังวลไป ทำตามที่พี่ใหญ่ฉินบอกเถอะ บางทีเราอาจจะหาหลักฐานเอาผิดลวี่เทาได้”
อาจั่วจับมือกู้เสี่ยวหวานแน่นและเอ่ยปลอบโยน
กู้เสี่ยวหวานเดิมทีมีนิสัยสงบนิ่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องของฉินเย่จือ ความสงบและความสามารถในการคิดทั้งหมดก็สูญเสียการควบคุม จิตใจของนางเต็มไปด้วยเรื่องของฉินเย่จือ
หลังจากได้ยินคำพูดของอาจั่ว นางก็กลับมามีสติอีกครั้งและพยักหน้า “เจ้าพูดถูก เจ้าพูดถูก”
ฉินเย่จือถูกมัดโดยเจ้าหน้าที่หล่านั้นและจากไป ลวี่เทาเอามือไพล่หลังแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “เสี้ยนจู่ บ้านเมืองมีกฎหมาย เมื่อฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต สัจธรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้ว่าเจ้าจะบอกว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าที่ลงมือ แต่ความชอบธรรมมีในโลก และทุกคนมีการชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ ไม่ว่าเจ้าจะทำหรือไม่ เมื่อกลับไปสอบสวนข้าก็จะรู้”
หลังจากพูดจบ ลวี่เทาก็จ้องมองที่กู้เสี่ยวหวานอย่างดุดันราวกับว่าการที่กู้เสี่ยวหวานไม่ยอมรับ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจ
ฉินเย่จือหันศีรษะของเขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างปลอบโยน
กู้เสี่ยวหวานกำหมัดแน่น ดวงตาของนางเต็มไปความแน่วแน่ และมองฉินเย่จือด้วยความวางใจ หลังจากนั้นไม่นาน ลวี่เทาก็พาฉินเย่จือออกไป โดยมีผิงเอ๋อร์ตามไปไม่ห่าง
ยังมีจูเหล่าซานและพวกอันธพาลบางคนในชุดสีดำยืนอยู่ที่ประตูร้านจิ่นฝูของกู้เสี่ยวหวาน พวกเขาจ้องมองกันและกัน ในตอนแรกมือของทุกคนยังว่างเปล่า จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็หยิบมีดขนาดใหญ่ที่ส่องประกายจ้องมองไปที่ผู้คนที่อยู่หน้าประตูร้านจิ่นฝู
ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เมื่อมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นที่ทางเข้าร้านจิ่นฝู ผู้คนจึงมารวมตัวกันที่ทางเข้าร้านเพื่อดูความสนุก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นคนถือมีดเล่มใหญ่จำนวนมาก ทุกคนรู้สึกหวาดวิตกเล็กน้อย
มีดเล่มนั้นหากถูกฟันเข้าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายคงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อย่าเอาความสนุกเป็นที่ตั้ง การเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงคงจะไม่คุ้ม
เป็นผลให้ทุกคนถอยห่างไปไกลเพราะกลัวว่ามีดเล่มใหญ่จะย้ายมาอยู่บนร่างกายตนเอง
ตอนนี้มีกลุ่มคนมากมายยืนอยู่หน้าทางเข้าของร้านจิ่นฝู แต่ในพริบตาคนทั้งหมดวิ่งหนีเตลิดหายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงกลุ่มอันธพาลในชุดดำอยู่หน้าประตู และยังมีกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ยืนอยู่ที่ประตูของร้านจิ่นฝูเช่นกัน พวกเขาทำได้เพียงมองหน้ากันและกัน
จูเหล่าซานไม่คาดคิดว่าฉินเย่จือจะถูกพาตัวไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความสุขมาก เขามองผู้คนที่ยืนอยู่ที่ประตู พ่อครัวสองคน ผู้หญิงสองคนที่ดูอ่อนแอไม่สามารถช่วยอะไรได้ และมีเด็กอีกหนึ่งคน
ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมาหนึ่งความคิด เมื่อนึกถึงความสูญเสียที่เขาได้รับในร้านจิ่นฝูและความสูญเสียที่ได้รับในสวนกู้เมื่อวานนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องโยนความสูญเสียนี้กลับไปให้ได้
วันนี้พวกเขาจึงพกอาวุธมามากมาย จากนั้นจูเหล่าซานก็แสยะยิ้มและพูดอย่างประชดประชัน “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าฆ่าพี่รองของข้า วันนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะล้างแค้นให้พี่รองของข้า ทุกคนไปจับตัวหญิงคนนี้มา ข้าจะให้รางวัลอย่างงาม”
จูเหล่าซานตวาดเสียงดังลั่น แล้วคนเหล่านั้นจะกล้าขัดคำสั่งได้อย่างไร คนไม่กี่คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา มีทั้งพ่อครัว เด็กและผู้หญิงอ่อนแอสองคน ถ้าจับผู้หญิงคนนั้นได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม พวกเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
นี่เป็นการให้เงินตัวเองชัด ๆ เลยไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นพวกอันธพาลจึงถือมีดไว้ในมือ ส่งเสียงตะโกนเอ็ดตะโรและวิ่งไปที่ประตูร้านจิ่นฝูเพื่อจะจับกู้เสี่ยวหวานอย่างกระตือรือร้น
กู้เสี่ยวหวานยืนนิ่งอยู่ที่ประตู
กู้หนิงผิงหยุดอยู่หน้ากู้เสี่ยวหวาน ใช้แขนของเขาที่ดูอ่อนแอแต่ให้ความรู้สึกปลอดภัยเพื่อปกป้องกู้เสี่ยวหวานที่อยู่ข้างหลังเขา “ท่านพี่ ไม่ต้องกลัว”
แม้ว่าพวกอันธพาลเหล่านั้นจะมีมีดอยู่ในมือ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นแค่อันธพาล พวกเขาอาศัยสิ่งของที่อยู่ในมือเพื่อข่มขู่คนทั่วไป แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อกู้หนิงผิงเลย
ทุกการเคลื่อนไหวของกู้หนิงผิงได้รับการสอนโดยฉินเย่จือ แล้วฉินเย่จือคือใครกันล่ะ
เขาคือปีศาจในสนามรบ