บทที่ 1241 เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว
บทที่ 1241 เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว
เมื่อเห็นหนิงผิงยืนอยู่ตรงหน้านาง กู้เสี่ยวหวานก็ยังกังวลเล็กน้อยเมื่อนางเห็นว่าเด็กชายตัวเล็ก ๆ กำลังจะปัดป้องชายที่โตแล้วด้วยดาบขนาดใหญ่ต่อหน้านาง “หนิงผิง ระวังนะ”
กู้หนิงผิงไม่ตอบคำพูดของกู้เสี่ยวหวานและกระโดดขึ้นเพื่อต่อสู้กับคนเหล่านั้น
แม้ว่ากู้หนิงผิงยังเด็ก แต่ศิลปะการต่อสู้นี้ก็ได้รับการฝึกฝนมาถึงเจ็ดหรือแปดปี แม้ว่าจะเชี่ยวชาญไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของฉินเย่จือ แต่ก็มากพอที่จะจัดการกับพวกอันธพาลเหล่านี้
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่ากู้หนิงผิงได้ล้มพวกอันธพาลหลายคนด้วยความว่องไวและง่ายดาย หัวใจของกู้เสี่ยวหวานรู้สึกโล่งใจ
“คุณหนู ไม่ต้องกังวล นายน้อยเรียนศิลปะการต่อสู้กับพี่ใหญ่ฉินอย่างตั้งใจ ในอนาคตถ้าพี่ใหญ่ฉินไม่อยู่ เขาก็สามารถจัดการกับคนพวกนี้ได้” เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังกังวล อาจั่วจึงรีบปลอบโยนนาง
ทักษะของกู้หนิงผิงนั้นดี ถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะคนเหล่านี้ได้ ก็ยังมีนางที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ
อาจั่วไม่ได้ให้ความสนใจกับกลุ่มคนเหล่านี้มากนัก
จูเหล่าซานซ่อนตัวอยู่ด้านหลังอย่างภาคภูมิใจรอที่จะจับกู้เสี่ยวหวาน แต่ใครจะคิดว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็เห็นลูกสมุนของตัวเองนอนอยู่บนพื้นและร้องโอดครวญไม่หยุด
จูเหล่าซานมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาซึ่งนอนอยู่บนพื้น จากนั้นมองเด็กคนหนึ่งยืนปกป้องความปลอดภัยของร้านจิ่นฝูและผู้คนในร้านจิ่นฝูด้วยมือเปล่าอย่างภาคภูมิใจ
จูเหล่าซานมองกู้หนิงผิง จากนั้นมองเหล่าคนที่นอนอยู่บนพื้นและสาปแช่งด้วยความโกรธ “ไอ้พวกขยะ พวกเจ้ามีกันตั้งกี่คน แค่เด็กคนเดียวทำไมจึงจัดการไม่ได้! ไร้ประโยชน์จริง ๆ”
หนึ่งในอันธพาลที่บาดเจ็บพูดว่า “พี่สาม ไม่ใช่ว่าพวกข้าไม่อยากจัดการกับเด็กคนนี้ แต่ฝีมือของเขานั้นยอดเยี่ยมมากจนพวกเราสู้ไม่ได้”
จูเหล่าซานเตะพวกอันธพาลลงกับพื้น “พวกขยะ ไร้ประโยชน์จริง ๆ”
เขามีสีหน้าตกใจ
กู้หนิงผิงยืนเอามือไพล่หลัง แม้ว่าเขาจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกปลอดภัยจริง ๆ
ในขณะนี้ นางรู้สึกจริง ๆ ว่าน้องชายของนางโตแล้ว ก่อนหน้านี้นางต้องเป็นคนที่คอยดูแลปกป้องเขา แต่ตอนนี้เขาสามารถยืนอยู่ข้างหน้านาง เป็นเกราะกำบังนางจากลมและฝน
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกภูมิใจในตัวเขา
เป็นเวลาแปดปีแล้วนับตั้งแต่วันแรกที่นางเดินทางข้ามเวลามายังต้าชิงที่ไม่รู้จักแห่งนี้ แปดปีมานี้ นางเติบโตจากเด็กสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่งจนเป็นเสี้ยนจู่ที่ฮ่องเต้เป็นผู้แต่งตั้ง
บ้านรองตระกูลกู้เติบโตขึ้นจากความยากจนอดมื้อกินมื้อ จนตอนนี้มีทุ่งนาและบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าเวลาหุงข้าวต้องใช้ข้าวกี่กำมือ
เด็กตรงหน้านาง นางเห็นเขาตั้งแต่เขามาคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้านางที่เป็นพี่สาวของเขา แต่ตอนนี้เด็กคนนั้นได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มที่พร้อมจะดูแลและปกป้องครอบครัว
กู้เสี่ยวหวานทั้งสุขทั้งเศร้า สิ่งที่มีความสุขคือ ในที่สุดกู้หนิงผิงก็เติบโตขึ้น และสิ่งที่น่าเศร้าก็คือ ฉินเย่จือถูกจับไปขัง ไม่รู้ว่าเขาเข้าไปข้างในนั้นจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
กู้หนิงผิงยืนอยู่ที่นั่น มองไปที่พวกอันธพาลด้วยดวงตาที่เย็นชาและสง่างาม จนจูเหล่าซานรู้สึกสั่นสะท้าน
เด็กผู้นี้ยังโตไม่เต็มที่ด้วยซ้ำ แต่พละกำลังขอเขาล้นเหลือมาก
อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าคนเหล่านี้ เขาไม่สามารถแพ้การต่อสู้ได้ ดังนั้นเขาจึงชี้ไปที่กู้หนิงผิงและตะโกนอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้าคนสารเลว ทักษะของเจ้าไม่เลว ฝากไว้ก่อน วันพรุ่งนี้ข้าจะหาคนมาจัดการพวกเจ้าให้ได้”
จูเหล่าซานกลัวกู้หนิงผิงเล็กน้อย เขาเป็นเพียงผู้นำและไม่รู้อะไรเลย ถ้าเขาต่อสู้กับกู้หนิงผิงจริง ๆ เกรงว่าเขาจะถูกทำร้ายยิ่งกว่านี้
วีรบุรุษจะไม่ยอมเสียเปรียบในทันที จูเหล่าซานตะเกียกตะกายและวิ่งหนีไป
เมื่อเห็นว่าจูเหล่าซานวิ่งหนีไป พวกอันธพาลคนอื่น ๆ ก็ลุกขึ้นและวิ่งหนีไปเช่นกัน
และทันใดนั้นก็ไม่มีเสียงใด ๆ ที่ทางเข้าของร้านจิ่นฝู ยกเว้นผู้คนที่เฝ้าดูความตื่นเต้นที่ยืนอยู่ในระยะไกล
กู้เสี่ยวหวานมองกู้หนิงผิงที่เดินเข้ามาด้วยความโล่งใจและยิ้มให้เขา “ในที่สุดหนิงผิงของข้าก็โตขึ้นและสามารถปกป้องพี่สาวอย่างข้าได้แล้ว”
เมื่อทุกคนกลับไปที่ร้านจิ่นฝูก็พบว่ามีป้ายติดอยู่ที่ประตู บางคนเดินผ่านทางเข้าร้านจิ่นฝู พวกเขาทั้งหมดมองเข้าไป หลี่พ่างจื่อเห็นคนจำนวนมากชะเง้อเข้าไปดูข้างใน หลี่พ่างจื่อรู้สึกไม่สบายใจทันทีกับสายตาที่มองมาด้วยความละโมบ
เขาไปยืนอยู่หน้าประตูแล้วเอามือเท้าสะโพกพร้อมกับมองผู้คนที่กำลังชะเง้อคอมองเข้ามา เขาพูดอย่างดุดันว่า “พวกเจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่หรือ”
มีหลายคนที่มาดูความตื่นเต้นของร้านจิ่นฝูและพวกเขาก็คุ้นหน้ากันดี
“ฮิ ๆ พวกข้าต้องมาดูสิ ร้านจิ่นฝูเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ สุดท้ายก็มีวันนี้เช่นกัน”
คนที่พูดคือเจ้าของร้านของร้านอาหารที่ปิดตัวลงไปแล้ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านจิ่นฝู ร้านอาหารนั้นเปิดมาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขา และกิจการก็ดีเป็นเวลานานก่อนที่ร้านจิ่นฝูจะเปิดกิจการ
น่าเสียดายที่ตั้งแต่ร้านจิ่นฝูเปิดกิจการ ร้านอาหารของเขาที่อยู่ติดกับร้านจิ่นฝูนั้น สามถึงสี่วันถึงจะมีลูกค้าโผล่มาสักหนึ่งคน แต่กลับกัน ร้านจิ่นฝูนั้นกิจการรุ่งเรืองและผู้คนแน่นร้าน
โชคดีที่ร้านนี้เคยรุ่งเรืองมาก่อนและทำเงินได้มากมาย
ในขณะที่ร้านอื่น ๆ ทยอยปิดตัวลงไปตาม ๆ กัน แต่ว่าร้านของเขายังไม่ปิด
ในที่สุดก็เห็นว่าร้านจิ่นฝูปิดทำการ ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับร้านอาหารอื่น ๆ
ต้องซื้อประทัดมาจุดฉลอง
หลี่พ่างจื่อยิ้มอย่างประชดประชัน “เฮ้ เถ้าแก่หยวน ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่เล่า? วันนี้ร้านของท่านไม่เปิดทำการหรือ”
เถ้าแก่หยวนหัวเราะเบา ๆ พลางลูบเคราของเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม “มันจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า แต่เหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองหลิวเจีย ข้าก็เลยอยากมาดูด้วยตาตัวเองสักหน่อย”
ยังคงมีบางคนอยู่รอบ ๆ เถ้าแก่หยวนและพวกเขาทั้งหมดชี้ไปที่ร้านจิ่นฝูและพูดพึมพำในขณะนี้
“ครั้งนี้มีคดีฆาตกรรมในร้านจิ่นฝู มาดูกันว่าร้านจิ่นฝูนี้จะรุ่งเรืองได้อีกสักแค่ไหน”
“ถูกต้อง เมื่อร้านจิ่นฝูแห่งนี้เปิดตัวขึ้น ร้านอาหารอื่น ๆ เกือบทั้งหมดก็ต้องปิดตัวลงเหลือเพียงร้านของนางเพียงร้านเดียว แต่สวรรค์มีตา มาดูกันว่าหลังจากนี้ร้านจิ่นฝูจะแย่งลูกค้าของเราได้อีกหรือไม่!”
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนที่พูดถึงร้านจิ่นฝูในทางที่ดีและโต้เถียงกับคนเหล่านี้ “ข้าว่านะ เจ้าไม่ได้กินองุ่นแล้วมาอ้างว่าองุ่นมันเปรี้ยวมากกว่า กิจการของร้านจิ่นฝูนั้นดี ราคาก็ยังยุติธรรมและสมเหตุสมผล พวกข้าเต็มใจที่จะมากินอาหารที่ร้านจิ่นฝู พวกข้าไม่อยากไปกินที่ร้านของเจ้า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมันคงดีสำหรับร้านของเจ้าสินะ แต่นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ทางที่ดีเจ้าไม่ต้องพูดถึงมันจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องซ้ำเติมกัน ทุกคนล้วนมาจากเมืองเดียวกัน จำเป็นหรือไม่ที่ต้องสร้างปัญหาให้กันเช่นนี้ ข้าหวังว่าในวันพรุ่งนี้ร้านจิ่นฝูจะได้กลับมาเปิดอีกครั้ง และคงจะดีมากถ้ามันจะสามารถบีบร้านของพวกเจ้าให้ปิดตัวลงได้”
คำพูดของคนผู้นั้นเข้าหูคนกลุ่มนี้และมันก็เหมือนกับหม้อแตกในทันที
“เจ้าพูดถึงขนาดนี้ ร้านจิ่นฝูให้เงินเจ้าเท่าไรล่ะ”
“ร้านจิ่นฝูไม่ได้ให้อะไรข้าหรอก แต่ข้าแค่ไม่อยากเห็นใบหน้าสกปรก ๆ แบบคนอย่างเจ้า ข้าจะบอกอะไรให้นะ แม้ว่าร้านจิ่นฝูจะเปิดหรือจะปิด ข้าก็จะไม่ไปที่ร้านอาหารของพวกเจ้า” ชายผู้นั้นก็เป็นคนซื่อตรงเช่นกัน นับตั้งแต่ร้านจิ่นฝูเปิดกิจการมา เขาก็เข้ามาเป็นลูกค้าประจำ
หลี่พ่างจื่อจำคนผู้นี้ได้ ในขณะที่เขากำลังจะทักทายคนผู้นี้ เสียงของกู้เสี่ยวหวานก็ดังมาจากด้านหลังเขา “ขอบคุณความกรุณาของท่านผู้นี้ ข้า กู้เสี่ยวหวาน มาที่นี่เพื่อกล่าวคำขอบคุณ ร้านจิ่นฝูไม่ล้ม และข้าก็จะไม่ปิดร้านเช่นกัน ข้าแค่ร่วมมือกับทางการเพื่อสืบสวนคดีฆาตกรรม ข้าคิดว่าคดีฆาตกรรมนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับร้านจิ่นฝู เมื่อคดีนี้ได้รับการคลี่คลายแล้ว ร้านจิ่นฝูจะเปิดอีกครั้งอย่างสวยงาม โดยต้อนรับผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ทุกคนจะได้รับความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ราคาอาหารจะยังคงสมเหตุสมผล เครื่องดื่มก็สดชื่นเหมือนเดิม”
“และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเข่นฆ่าร้านอื่น ๆ ด้วย” ยิ่งผู้คนรอบ ๆ มารวมตัวกันมากขึ้น เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเปิดร้านจิ่นฝูอีกครั้ง ทุกคนก็ปรบมือให้
ใบหน้าของผู้ที่ล้อมรอบพวกเขาแดงก่ำด้วยความลำบากใจ พวกเขาทั้งหมดจ้องมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความโกรธ จากนั้นก็วิ่งหนีไปด้วยความอับอาย
หลังจากนั้นไม่นาน ร้านจิ่นฝูก็ปิดประตูอีกครั้ง เหลือเพียงกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ในห้องโถง สถานการณ์พลันตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
“ท่านพี่ พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี” กู้หนิงผิงถามอย่างกังวลใจ
กู้เสี่ยวหวานนึกถึงสิ่งที่ฉินเย่จือแอบพูดกับตัวนางก่อนที่เขาจะจากไป เขาถามว่า ‘ไม่รู้ว่าตอนที่สถานการณ์ที่สวนกู้เป็นอย่างไรบ้าง’
พูดไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบมาจากลานหลังร้านและมีคนกำลังวิ่งมา
ประตูลานหลังร้านถูกผลักเปิดออก อาโม่กันลุงจาง ป้าจาง กู้เสี่ยวอี้ กู้ฟางสี่ และฉือโถวไว้ด้านหลัง
———————*************——————–
บทที่ 1242 ตระกูลกัวจากทางตอนใต้ของเมืองหลวง
บทที่ 1242 ตระกูลกัวจากทางตอนใต้ของเมืองหลวง
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าพวกเขากำลังมาก็รู้สึกตื่นตกใจ จึงรีบเข้าไปถามอย่างรวดเร็ว “ท่านลุง ท่านป้า ท่านอา พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
แววตาของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อมองไปที่สีหน้าของอาโม่และคนอื่น ๆ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน
นางไม่รอให้พวกเขาได้พูดอะไร กู้เสี่ยวหวานรีบสำรวจร่างกายพวกเขาทีละคนว่ามีใครได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ เมื่อกู้ฟางสี่เห็นใบหน้ากระวนกระวายของหลานสาว นางก็รีบพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหวาน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พวกข้าไม่เป็นอะไร”
ลุงจางกับป้าจางรีบพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าพวกเขาสบายดี
กู้เสี่ยวอี้โผเข้าไปในอ้อมแขนของกู้เสี่ยวหวาน และส่งเสียงเรียกพี่สาวด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาราวกับว่ามันไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เมื่อเห็นเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกโล่งใจและถามอย่างกระวนกระวายว่า “พวกท่านมาได้อย่างไรกัน”
ทุกคนต่างมีสิ่งของมากมายอยู่ในมือ ยกเว้นอาโม่และลุงจาง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาหลบภัยในร้านจิ่นฝู กู้เสี่ยวหวานอดคิดไม่ได้ว่าตนเองเป็นคนทำให้ทุกคนต้องตกที่นั่งลำบาก
เพื่อให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกสบายใจขึ้น อาโม่จึงรีบพูดว่า “คุณหนู ท่านไม่ต้องกังวลไป ทุกคนสบายดี เมื่อคืนพวกอันธพาลเหล่านั้นไปที่สวนกู้เพื่อหาเรื่องเรา แต่พวกข้าขับไล่คนพวกนั้นไปแล้ว ท่านลุง ท่านป้า และท่านอาล้วนเป็นห่วงว่าคุณหนูจะอยู่เพียงลำพัง เลยบอกให้เก็บข้าวของเพื่อมาอยู่กับคุณหนูเพื่อที่เราจะได้ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน”
กู้ฟางสี่พยักหน้าซ้ำ ๆ “ใช่แล้วเสี่ยวหวาน อาโม่เองก็มีศิลปะการต่อสู้ขั้นสูง เขาได้ขับไล่พวกคนเลวพวกนั้นออกไปแล้ว และอีกอย่างข้าก็เป็นห่วงเจ้า เลยอยากให้อาโม่มาอยู่ข้าง ๆ เพื่อดูแลเจ้า แล้วพวกเราทุกคนก็จะอยู่ด้วยกัน”
กู้เสี่ยวอี้ก็ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ท่านพี่ เสี่ยวอี้อยากอยู่กับท่านพี่”
กู้เสี่ยวหวานลูบศีรษะของน้องสาวอย่างเอ็นดู มองท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่ายแล้วคลี่ยิ้มจาง ๆ
กู้เสี่ยวหวานเองก็กังวลเหมือนกันที่ทิ้งพวกเขาไว้ที่สวนกู้ พวกเขามาที่นี่ก็ดีเช่นกัน พวกเราจะได้ดูแลกันและกันได้ “ตกลง ท่านอาจารย์หลี่ ท่านอาจารย์เกา รบกวนพาพวกเขาไปที่ห้องข้าง ๆ ที”
เพราะว่าการเคลื่อนไหวของลุงจางไม่ดี จึงต้องพักอยู่ในห้องบริเวณหลังร้าน ส่วนป้าจางนั้นพักอยู่กับฉือโถว
หลังจากที่อาโม่ไปส่งพวกเขาแล้วก็เดินไปหยุดลงข้างกู้เสี่ยวหวาน กวาดสายตามองหารอบ ๆ จากนั้นเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ฉินล่ะ เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเขาเลย”
“ท่านอาจารย์ถูกคนพาตัวไปที่ศาลาว่าการ” กู้หนิงผิงตอบอย่างเป็นทุกข์ “พวกเขาบอกว่าลูกจ้างในร้านที่ถูกพาตัวไปเมื่อวานสารภาพว่าท่านพี่เป็นคนสั่งให้วางยาพิษจนทำให้มีคนตาย ทางศาลาว่าการต้องการให้คนมาจับท่านพี่ของข้า แต่ว่าท่านอาจารย์ไม่ยอมให้คนพวกนั้นพาตัวนางไป และตัวเขาเองก็ไปกับคนเหล่านั้นแทน”
อาโม่พยักหน้าส่งสัญญาณว่ารับรู้ สีหน้าของเขาไม่ได้ดูมีความกังวลเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งของกู้เสี่ยวหวานนั้นแตกต่างออกไป หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน นางก็พูดกับอาโม่ว่า “อาโม่… เจ้าไปสืบเรื่องลวี่เทาหน่อย ดูว่าพื้นเพชีวิตของเขาเป็นอย่างไร”
อาโม่รับคำสั่งของกู้เสี่ยวหวานแล้วรีบออกไปทันที ส่วนนางจะรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน หากแต่นางก็ยังไม่กล้าวางใจ มีคนตายที่ร้านจิ่นฝูได้อย่างไร แล้วคนที่อยู่กับเขาตอนนั้นเป็นใคร
มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์บ้าง
ตอนนี้คนผู้นั้นหายตัวไปแล้ว เขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วครุ่นคิด นางต้องหาตัวฆาตกรตัวจริงให้เจอโดยเร็วที่สุด เพื่อที่ฉินเย่จือจะได้รับการปล่อยตัวมาในเร็ววัน ก่อนชายหนุ่มจะถูกจับไป ลูกจ้างทั้งหมดก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของนาง พวกเขาทั้งหมดยอมถูกจับเข้าคุกเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างมาก ทว่าในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน คำสารภาพของคนเหล่านี้ก็เปลี่ยนไป
กู้เสี่ยวหวานไม่เคยเห็นห้องสอบสวนในสมัยโบราณว่ามันเป็นอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่รู้อะไรเลย ถึงแม้ว่ามันจะเคยปรากฏหลายครั้งในโทรทัศน์ แต่ว่านางก็แทบจะไม่มีเวลาได้ดูมันมาก่อน
มีเหล็กร้อนแดงฉานประทับลงบนร่างกาย การทรมานโดยการใช้ไม้บีบอัดนิ้วมือ ซึ่งมันรุนแรงจนสามารถบดกระดูกได้ การใช้ไม้หรือตะปูตอกนิ้ว แต่ละวิธีล้วนเป็นการลงโทษที่เจ็บปวด ถูกขังอยู่ในห้องมืด ๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่รู้ว่ามีอาชญากรกี่คนที่ต้องผ่านการทรมานเช่นนี้
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถคาดเดาได้ก็คือ คนเหล่านั้นพาตัวฉินเย่จือไป พาเขาเข้าไปในห้องสอบสวน ไม่รู้พวกเขาต้องการลงโทษฉินเย่จือจริง ๆ หรือเปล่า
อีกทั้งลวี่เทายังเป็นผู้ที่ลงมือเอง
คนประเภทนี้ไร้ซึ่งความน่าเคารพนับถือ มีแต่ความหยิ่งยโสและลุ่มหลงในอำนาจ ทำตัวเป็นหนามยอกอก ในมุมมองของลวี่เทา เขาคงรอไม่ไหวที่จะลงมือฆ่าโดยเร็วที่สุด
เจ้าหน้าที่มัดมือของฉินเย่จือและแบกเขาไปตามทาง เมื่อมาถึงห้องสอบสวนที่มืดและเจิ่งนองไปด้วยเลือด ลวี่เทาหวังว่าเขาจะเห็นความกลัวในตาของฉินเย่จือ
แต่แล้วลวี่เทาก็ต้องผิดหวัง
ชายผู้นี้ยืนอยู่อย่างสง่างาม มือของเขายกสูงขึ้น ร่างสูงโปร่งของเขาถูกขังไว้ในห้องใต้ดินอันมืดมิดนี้ ราวกับว่ามีลำแสงที่สาดส่องมาจากท้องฟ้าและส่องสว่างไปทั่วห้องขังทันที
ลวี่เทาขุ่นเคืองยิ่งนัก เขาถือหัวแร้งอันร้อนฉ่าที่ผ่านความร้อนไว้ในมือ และก้าวสามขุมไปหาฉินเย่จือ มองดูรอยยิ้มจาง ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลาที่ทำให้เขาอิจฉา รอยยิ้มประชดประชันนั้นทำให้เขาแทบสิ้นสติ
ลวี่เทาถือหัวแร้งไว้ในมือแล้วโบกไปมาต่อหน้าของฉินเย่จือ ราวกับว่าเขาพร้อมจะทำลายใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินเย่จือได้ทุกเมื่อ
หากแต่จากสายตาของฉินเย่จือไม่มีท่าทีตื่นตระหนก ซึ่งมันทำให้ลวี่เทารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“เจ้าหัวเราะอะไร” เมื่อเห็นสายตาเย้ยหยันของฉินเย่จือ ลวี่เทาก็รู้สึกสูญเสียการทรงตัว
“ข้าไม่ได้หัวเราะ” รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนหน้าของฉินเย่จือแล้วหัวเราะเบา ๆ ลวี่เทาไม่รู้จะทำอย่างไรกับเสียงหัวเราะนั้น
“ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าหัวเราะ ดูสิ ตอนนี้เจ้าก็ยังหัวเราะอยู่ เจ้าหัวเราะอะไร!” ลวี่เทาคำราม
“ใต้เท้าลวี่ บ้านภรรยาของท่านแซ่กัว ครอบครัวมาจากทางตอนใต้ของเมืองหลวง” ฉินเย่จือยกมือขึ้นสูง ท่าทางดังกล่าวไม่ได้ทำลายความสง่างามของเขาแม้แต่น้อย
“จะ… เจ้า เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากที่ใด” ลวี่เทามีท่าทีหวาดกลัว
ลวี่เทาไม่เคยพูดถึงภูมิหลังของตัวเองเลย คนทั้งเมืองหลิวเจียไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเขา ยกเว้นญาติห่าง ๆ ที่รู้ข้อมูลของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ว่าขอทานอย่างฉินเย่จือรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“เจ้า… เจ้าไปฟังใครพูดมา นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน” ลวี่เทาตอบโต้ด้วยความโกรธ
ใครเห็นใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายก็คิดว่าตนเองพูดผิดตรงไหนหรือ?
ฉินเย่จือพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลกัวอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวง พวกเขาไม่มีลูกชาย และมีลูกสาวสามคน เนื่องจากตระกูลกัวค่อนข้างมีความมั่งคั่ง เขาจึงต้องการลูกเขยที่เหมาะสมให้กับลูกสาว และใต้เท้าลวี่ก็คือลูกเขยคนที่สามของตระกูลกัว”