บทที่ 1243 ติดสินบนฉินเย่จือ
บทที่ 1243 ติดสินบนฉินเย่จือ
เมื่อลวี่เทาได้ยืนคำว่าลูกเขยที่เหมาะสม สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เขาเบิกตากว้างและมองใบหน้ายิ้มแย้มของฉินเย่จือ เขารู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นกำลังเยาะเย้ยตนเองอยู่
ยิ่งลวี่เทาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งโกรธเคือง เขาใส่หัวแร้งกลับเข้าไปในเตาถ่านแล้วเดินเข้าไปหาฉินเย่จือทีละก้าว ก่อนจะคว้าคอเสื้อของฉินเย่จือด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นใคร เจ้ารู้เรื่องของข้าได้อย่างไร”
เจ้าหน้าที่และคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายลวี่เทาล้วนอ้าปากกว้าง และจ้องมองไปที่ลวี่เทาด้วยสายตาไม่เชื่อ
ฉินเย่จือรู้ภูมิหลังของลวี่เทา
แต่เมื่อพิจารณาจากการแสดงออกของใต้เท้าลวี่ ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องภูมิหลังของตนเอง
ผู้คนรอบข้างก้มศีรษะลงและผึ่งหูตั้งใจฟัง
ลวี่เทาอาศัยอยู่ที่เมืองหลิวเจีย แต่กลับใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ
ทำไมกันนะ?
ลวี่เทาอยู่ที่เมืองหลิวเจียมาสองสามปีแล้ว เขาแทบจะหมดสภาพของการเป็นขุนนางระดับแปด เพียงแต่เขาไม่คิดจะโยกย้ายไปไหน แต่พูดก็พูดเถอะ เขาเองก็อายุเกือบสี่สิบปีแล้ว เดิมที่ควรจะแต่งงานและให้กำเนิดลูก ทว่าหลายปีที่ผ่านมาลวี่เทาผู้นี้ไม่เคยมีครอบครัวมาเยี่ยมเยือน และไม่เคยเห็นเขากลับบ้านเกิดสักครั้ง
มันน่าประหลาดใจมาก
มันทำให้ทุกคนเข้าใจว่าลวี่เทาอยู่ตัวคนเดียวและยังไม่ได้แต่งงาน
ตอนนี้หลังจากสิ้นเสียงของฉินเย่จื่อ ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าลวี่เทาแต่งงานแล้ว และว่ากันว่าครอบครัวของพ่อตามีภูมิหลังที่ดีไม่น้อยเลย
ตระกูลกัวทางตอนใต้ของเมืองหลวงมีเกียรติและมีสถานะในเมืองหลวง นายท่านกัวเคยเดินทางไปทั่วอาณาจักรเพื่อทำการค้าขาย หลังจากเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งเขาก็กลับมาตั้งรกรากที่เมืองหลวง และตระกูลของเขาก็ค่อนข้างรุ่งเรือง
ต่อมาตระกูลกัวให้กำเนิดลูกสาวสามคนและไม่มีลูกชายแม้แต่คนเดียว นายท่านตระกูลกัวจึงเริ่มคิดว่าครอบครัวมีทรัพย์สินมากมาย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มากมายเทียบเท่าคนอื่น แต่ก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่มั่งคั่ง ลูกชายก็ไม่มี ถ้าสมบัติไปตกอยู่ในมือของคนนอก ทุกอย่างก็คงจะไร้ค่า
และสุดท้ายตระกูลกัวก็ได้ทำในสิ่งที่น่าประหลาดใจ
คือการแต่งงานเข้า
หาคนมาแต่งงานกับลูกสาวของเขา
หัวหน้าตระกูลกัวมีความคิดอะไรบางอย่าง เขารู้ว่าด้วยความมั่งคั่งและสถานะปัจจุบันของตนเอง เขาไม่ได้คิดจะหาชายจากครอบครัวที่ดีในเมืองหลวงมาแต่งงานกับลูกสาวตนเอง
หากแต่เขาก็ไม่ได้ชอบคนธรรมดา
ดังนั้นเขาจึงนำความคิดที่ยุ่งยากนี้ไปยัดใส่หัวของบัณฑิตที่ยากจน คนที่ไม่มีฐานะแต่ได้รับการศึกษา
คนยากจนและมีการศึกษานี้ บางทีภายภาคหน้าเขาอาจจะเติบโตไปเป็นบัณฑิตที่ได้รับการยอมรับและได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ในศาลาว่าการก็เป็นได้ แล้วอำนาจของตระกูลกัวก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น
ดังนั้นเขาจึงคัดเลือกบัณฑิตอีกสองคนมาเป็นลูกเขย แต่มีอยู่คนหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นบัณฑิต แต่เขาก็ชื่นชอบในเรื่องการทำธุรกิจ
หัวหน้าตระกูลกัวปราบปลื้มคนที่มีความสามารถ ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนลูกเขยคนที่สองให้เริ่มต้นการทำกิจการ จึงทำให้ทรัพยากรของตระกูลกัวรุ่งเรืองกว่าแต่ก่อน
นอกจากนี้ลูกเขยคนโตของตระกูลกัว หลังจากแต่งเข้าตระกูลแล้ว เขาก็ได้เข้ารับราชการ และในช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็ได้อาศัยการจัดการด้านการเงินเพื่อความก้าวหน้าทางตำแหน่ง ถึงแม้ว่าตำแหน่งจะไม่สูงพอ แต่เขาก็ได้เป็นข้าราชการระดับห้า
ลูกเขยทั้งสามคน คนแรกเป็นข้าราชการระดับห้า คนที่สองเปิดกิจการ เขาสามารถหาเงินได้ด้วยตนเอง แต่ในบรรดาลูกเขยทั้งสามคนนี้ ลวี่เทาเป็นคนเดียวที่ไม่คู่ควรกับตระกูลกัวที่สุด
มันเป็นความเจ็บช้ำในใจของลวี่เทามาโดยตลอด
เป็นเวลาแปดปีแล้วที่ลูกเขยคนโตได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาหลายระดับ ลูกเขยคนที่สองก็ทำเงินได้อย่างมากมาย ลวี่เทาเป็นคนเดียวที่ต้องการเงินแต่ไม่มีเงิน เขาไม่มีอำนาจ เขาเป็นเพียงขุนนางต่ำต้อย เขาจะมีหน้ากลับไปได้อย่างไร
กลับไปดูสีหน้าเย็นชาของพ่อตาหรือ?
ไหนจะพี่เขยทั้งสองอีกสอง หรือแม้กระทั่งการเยาะเย้ยถากถางดูถูกของภรรยา
ลวี่เทาเป็นคนหยิ่งยโส ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนหนังสือมามากและไม่ได้มากด้วยอำนาจ แต่ความเย่อหยิ่งอันสูงส่งของบัณฑิตผู้นี้ค่อนข้างสูงและปิดไว้ไม่มิด
เดิมทีเขาก็กลับบ้านอยู่บ่อยครั้ง แต่ต่อมาประตูบ้านตระกูลกัวก็ไม่ได้เปิดต้อนรับเขาอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครได้รู้ และสาบานว่าถ้าวันหนึ่งเขามีชื่อเสียงมากกว่านี้ เขาจะต้องกลับไปที่นั่นอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่สิ่งต่าง ๆ นั้นกลับตาลปัตร เขายังมีสถานะเหมือนเดิม เช่นนี้จะไม่ให้เขาโกรธเคืองได้อย่างไร ครั้นพูดถึงพ่อตาจอมเสแส้รงและชอบดูถูกเหยียดหยาม คิดว่าเขาจะทนได้งั้นหรือ
“เจ้าไปรู้เรื่องนี้มาจากที่ใด ใครบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องของข้า” ดวงตาของลวี่เทาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ตอนนี้เขารู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก มือที่คว้าคอเสื้อของฉินเย่จือไว้ก็ออกแรงมากขึ้นจนใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นแดงก่ำ
แต่ฉินเย่จือไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด ดวงตาดุจไข่มุกที่ล้อเล่นกับแสงของเขานั้นทำให้ลวี่เทารู้สึกอิจฉามากขึ้นเรื่อย ๆ ไฟริษยาในใจของเขาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ
ในบรรดาลูกเขยทั้งสามคน เขาเป็นคนที่ไร้ความสามารถและอัปลักษณ์ที่สุด
ปมด้อยที่ซ่อนอยู่ที่ใจของลวี่เทาถูกจุดประกายขึ้น
เขากระชากคอของฉินเย่จือย่างรุนแรงด้วยใบหน้าที่ดุร้าย เขากดเสียงลงแล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้ารู้อะไรอีก”
ฉินเย่จือยังคงมีท่าทางนิ่งสงบ เขาไม่ได้แยแสลวี่เทาเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะลดเสียงลงแล้วพูดว่า “ข้ายังรู้ว่าอีกว่า หงซิ่งภรรยาของท่าน นอกใจท่านและให้กำเนิดลูกของชายอื่นให้ท่าน”
“เจ้า!” เส้นเลือดของลวี่เทาปูดขึ้นและท่าทางของเขาดูโหดร้าย “ข้าจะฆ่าเจ้า”
ด้วยเสียงคำรามที่ดังก้องทำให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ถัดจากลวี่เทาหน้าซีดเมื่อได้ยิน และรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเขา “ใต้เท้า ใต้เท้า ห้ามเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาด”
ลวี่เทาถูกดึงตัวออกมาจากฉินเย่จือ เขาเหวี่ยงมือไปมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ อยากจะบีบคอฉินเย่จือให้ตายตกไปเสีย “อย่ามาห้ามข้า ข้าจะบีบคอมันให้ตาย”
ฉินเย่จือมีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า เขาไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย
เรื่องส่วนตัวเช่นนี้ เขารู้ได้อย่างไร
ตอนแรกลวี่เทามีแต่ความโกรธ จากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
เขาเบิกตากว้างและมองไปที่ฉินเย่จือราวกับต้องการเห็นอะไรบางอย่างจากใบหน้าอีกฝ่าย
น่าเสียดายที่บนใบหน้าของชายผู้นี้มีแต่ความนิ่งสงบราวกับทะเลสาบที่ไร้คลื่น
“ใต้เท้า ถ้าท่านฆ่าเขาด้วยมือของท่าน ท่านจะตกที่นั่งลำบากเอาได้ เราเก็บคนผู้นี้ไว้ เผื่อว่าในอนาคตเขาจะมีประโยชน์กับเรา”
เจ้าหน้าที่โน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ กับใบหูของลวี่เทาแล้วกระซิบว่า “ใต้เท้า ไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นห่วงคนใช้คนนี้มากแค่ไหน ถ้าเขายังอยู่ที่นี่ เราก็ยังมีวิธีที่จะข่มขู่นางมากกว่านี้ แต่ถ้าท่านฆ่าเขาตาย ข้าว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผล”
ลวี่เทาต้องการฆ่าฉินเย่จือเป็นอย่างมาก คนผู้นี้รู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเขามากเกินไป
ณ ขณะนี้ฉินเย่จือก็ค่อย ๆ เปิดปากของเขา “ใต้เท้าลวี่ ถ้าท่านกล้าแตะต้องเสี้ยนจู่ ข้าจะทำให้ข้าราชการระดับแปดอย่างท่านไม่มีที่ยืนในต้าชิง… ไม่มีแม้แต่เงา”
น้ำเสียงของฉินเย่จือนั้นแผ่วเบาแต่ชัดเจน เมื่อลวี่เทาและเจ้าหน้าที่ได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ พวกเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านและมองไปที่ฉินเย่จือ
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยราวกับว่าเยาะเย้ยคนตรงหน้า
ทุกคนต่างมองกันไปมา จิตใจของพวกเขาปั่นป่วน
ลวี่เทาถูกฉินเย่จือกุมความลับของเขาไว้ในมือ ใบหน้าของเขามืดมนลง เขาโบกมือให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นออกไป
ชั่วพริบตาเดียว ห้องสอบสวนก็เหลือเพียงฉินเย่จือกับลวี่เทา
ลวี่เทานำหัวแร้งไปอังในเตาอั้งโล่อีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าขนลุกบนใบหน้าของเขา มันน่าแปลกมากที่ภายในห้องสอบสวนนี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด
“ฉินเย่จือ เจ้ามันคงสมองน้อย เจ้าเสแสร้งอะไรไว้บ้าง ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นเพียงขอทานธรรมดาที่กู้เสี่ยวหวานคว้าเจ้าขึ้นมาชุบเลี้ยง แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริง ๆ” ลวี่เทาเย้ยหยัน
ฉินเย่จือยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำชื่นชมของท่าน”
เขาไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
ลวี่เทาชื่นชมเขาไม่น้อย “เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าน่ะเก่งศิลปะการต่อสู้ พูดตามเหตุและผลแล้ว เจ้าควรจะประสบความสำเร็จ แต่เจ้าน่ะมัวแต่ไปซ่อนตัวอยู่ที่บ้านของหญิงสาว ซึ่งมันดูต่ำต้อยจริง ๆ เอาเช่นนี้สิ เจ้ามาอยู่ข้างกายข้า ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเพียงขุนนางระดับแปด แต่เจ้าก็รู้นี่ว่าข้ามีพี่เขยที่เป็นขุนนางระดับห้า ในอนาคตอาชีพทางการงานของเขานั้นประมาทไม่ได้เลย ถ้าเจ้ามาอยู่เคียงข้างข้า ข้าว่าอนาคตของเจ้าคงไปได้ไกล”
ลวี่เทาพูดอย่างจริงจัง ทำเหมือนกับว่าชื่นชมและเห็นค่าในตัวเขา
ฉินเย่จือเย้ยหยัน “ใต้เท้าลวี่จะให้อะไรดี ๆ แก่ข้าหรือ”
เมื่อลวี่เทาได้ยินดังนั้น เขาจึงคิดว่าฉินเย่จือนั้นเห็นด้วย และคลี่ยิ้มออกมาทันที “ไม่ต้องกังวล ถ้าข้าสามารถเลื่อนตำแหน่งได้ ข้าจะแนะนำเจ้าให้กับหน่วยงานต่าง ๆ แต่ถ้ามันไม่ได้ ข้าก็จะไปคุยกับพี่เขยของข้าให้ เจ้ามีความสามารถที่หาได้ยาก เจ้าสามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพการงานได้อย่างแน่นอน”
ทันใดนั้น ฉินเย่จือก็ตระหนักรู้และพยักหน้าราวกับว่าเขารับทราบ “อ้อ”
น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย ลวี่เทามีความสุขมากเมื่อเขาเห็นเช่นนี้และคิดว่ามีบางสิ่งที่ต้องทำ “ชายหนุ่มมักมีความทะเยอทะยานสูง ทำไมเจ้าถึงผูกตัวเองไว้กับหญิงสาวผู้นั้นเล่า ในเมื่อเจ้ามีภาพในอนาคตที่แสนยิ่งใหญ่ ในอนาคตถ้าเจ้าอยากได้หญิงสาวแบบกู้เสี่ยวหวาน เจ้าก็สามารถเลือกได้เท่าที่เจ้าต้องการ”