บทที่ 1245 ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
บทที่ 1245 ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
หลังจากอาโม่ได้รับคำสั่งจากกู้เสี่ยวหวานแล้ว เขาก็คอยจับตาดูลวี่เทาอย่างไม่วางตา
ลวี่เทาแสดงสีหน้าเหยียดหยาม อารมณ์นั้นไม่สู้ดีนัก เมื่อคิดว่าตนอยู่ไกลจากเมืองหลวง หลายปีมานี้เขาไม่ได้เคยรับจดหมายจากภรรยาเลย แล้วนางยังให้เกิดเนิดลูกกับชายชู้อีก ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธมาก
ยังมีกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือที่เขาไม่ชอบหน้าเขา
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็เป็นบัณฑิตอ่านตำราปัญญาชนมาหลายปี แม้ว่าตอนนี้ตำแหน่งจะไม่ใหญ่โตเท่าไรนัก แต่ว่าก็ได้รับเบี้ยจากราชสำนัก กู้เสี่ยวหวานจะดูถูกเขาก็ช่างเถอะ เมื่อเอาโคลนมาทากำแพงก็กลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและมีความสามารถได้ แต่ว่าฉินเย่จือผู้นี้เป็นเพียงขอทานที่ต่ำต้อย มันนั้นกล้าดีอย่างไรที่มาดูหมิ่นเขา!
ชีวิตในวัยสี่สิบปีนี้ เขารู้ว่า เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าใช้ชีวิตอยู่ในสายตาเย็นชาของคนอื่น เหตุใดถึงไม่เคยมีผู้ใดมองเขาอย่างเคารพชื่นชมบ้าง
ลวี่เทาถอนหายใจ ขณะเดียวกัน ผู้ติดตามที่อยู่ข้าง ๆ เห็นท่าทางที่โศกเศร้าและคับแค้นใจของเจ้านาย ก็นึกถึงคำพูดนั้นของฉินเย่จือในห้องสอบสวน ด้วยรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็นบนใบหน้า เขาก็รีบก้าวเข้าไปใกล้ ยื่นใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มเข้าไปและพูดว่า “ใต้เท้า ช่วงนี้ท่านเองก็เหน็ดเหนื่อย ยามเช้าฮูหยินว่านส่งคนมาบอกว่า นางซื้อสุราชั้นดีมาสองไห ทั้งยังเตรียมเครื่องเคียงอย่างพิถีพิถันไว้มากมาย ใต้เท้า… ยามเที่ยงนี้ท่านจะไปหาฮูหยินว่านที่นั่นเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าหรือไม่”
ลวี่เทาได้ยินเช่นนั้น คิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายออกทันที
เมื่อนึกถึงสตรีที่งามหยาดเยิ้มผู้นั้นเอ่ยเรียกว่า ลวี่หลาง กระดูกของตัวเองก็ละลายแล้ว มีตรงไหนที่ไม่ดีกัน แต่ว่าสีหน้าบนใบหน้านั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงและเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าแม่ม่ายผู้นี้ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ข้ารับปากนางว่าจะดูแลพวกเขาแม่ลูกให้ดี ๆ หลายวันแล้วที่ไม่ได้ไปหานาง นี่ก็ถึงเวลาที่จะไปเยี่ยมพวกเขาแม่ลูกแล้ว”
ลวี่เทาพูดจาฟังดูดี ผู้ติดตามข้าง ๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส “ใช่แล้ว ๆ ใต้เท้าเป็นคนที่มีจิตใจดี ไม่เพียงแต่มีมิตรภาพที่ดีกับเหมียวเอ้อร์ นี่แทบจะไม่สามารถเรียกว่าเป็นเพื่อนได้แล้วเท่านั้นเอง ใต้เท้าเป็นคนที่มีจิตใจดี ทำแต่เรื่องที่มีคุณธรรม คิด ๆ ดูแล้วเหมียวเอ้อร์ผู้นั้นก็ต้องซาบซึ้งใจในบุญคุณของใต้เท้าเช่นกัน”
สีหน้าลวี่เทามีรอยยิ้ม แต่กลับพูดอย่างถ่อมตัวว่า “ไม่หรอก… เหมียวเอ้อร์มีความยากลำบาก แม่ม่ายลูกติดผู้นี้น่าสงสารยิ่งนัก ในเมื่อช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือเถอะ”
ใบหน้านั้นเปี่ยมไปด้วยความเมตาและคุณธรรม
ผู้ติดตามไปส่งลวี่เทาที่ประตูด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นรถม้าของลวี่เทาวิ่งหายลับไปที่มุมถนน รอยยิ้มบนใบหน้านั้นก็หายไป ไหนเลยยังจะมีความอ่อนโยนและถ่อมตนอย่างเมื่อครู่ ในแววตาเห็นได้ชัดถึงความโหดร้ายและอันตราย
ครั้นหันหลังเดินกลับไปที่ศาลาว่าการ คนของศาลาว่าที่อยู่ข้าง ๆ ถามเขาว่า “ผู้ติดตามเซี่ยงจะกลับไปพักผ่อนหรือไม่”
ผู้ติดตามเซี่ยงส่ายหัวด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนจากไป ใต้เท้าได้กำชับข้าว่าจะต้องงัดปากคนใช้สองคนนั้น ต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ใดเป็นคนฆ่าคนตายกันแน่”
คนของศาลาว่าการเดินตามหลังมา “คนใช้คนนั้นปิดปากสนิทมาก ถ้าหากต้องลงโทษอีก ก็กลัวว่าคนจะตายแล้ว”
ผู้ติดตามเซี่ยงยิ้มเย็น “ใต้เท้าเป็นคนที่มีจิตใจดี ทำใจไม่ได้ที่จะแตะต้องคนพวกนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตบตาใต้เท้าได้ง่าย ใต้เท้าพูดแล้วว่าในห้องสอบสวนมีคนใช้สองคนล้วนเป็นบุรุษกระดูกเหล็ก ถ้าหากไม่ยอมพูดความจริงออกมาก็ทุบตีให้ตาย แล้วดูว่าพวกเขาจะสารภาพหรือไม่”
คนของศาลากว่าการนั้นในแววตามีความสงสัยพาดผ่านเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทางที่หน้าเชื่อถือของผู้ติดตามเซี่ยง เขาก็ทำได้เพียงพยักหน้า “ขอรับ ท่านผู้ติดตาม”
ผู้ติดตามแซ่เซี่ยงคนนี้พาคนของศาลาว่าการเข้าไปในห้องสอบสวน
ส่วนฝั่งลวี่เทานั้น เมื่อขึ้นมานั่งบนรถม้า พอคิดว่าจะได้เจอหญิงงามเร็ว ๆ นี้ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่ได้สังเกตเลยว่าด้านหลังมีคนติดตามรถม้าอยู่ไม่ไกล
ช่วงเช้าตรู่ผ่านไป ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในห้องโถงที่สว่างโล่ง หลิวชิงซานเมามายทั้งคืน จนกระทั่งพระอาทิตย์สาดแสงส่องดวงตา ถึงได้เพิ่งตื่นขึ้นมา
ครั้นบิดขี้เกียจก็หัวเราะคึกคักแล้วลุกขึ้น
เมื่อมองไปข้างนอกก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง ทว่าขณะนี้หลิวชิงซานอารมณ์ดีมาก
วันนี้ก็จะมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงแล้ว
ครั้นกำลังคิดเช่นนี้ ก็พลันได้ยินเสียงท้องร้องโครกคราก
เมื่อวานนี้ดื่มเหล้าไปไม่น้อย ทั้งยังนอนทั้งคืนจนถึงตอนเช้า ท้องจึงร้องหิวขึ้นมาเลยตั้งใจว่าจะกินให้อิ่มก่อน จากนั้นค่อยไปหากู้ฉวนลู่
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมก็ต้องไปหาของกิน
ครั้นเพิ่งนั่งลงที่โต๊ะข้างแผงขายบะหมี่ เสียงของคนที่นั่งใกล้ ๆ ก็ดึงดูดความสนใจของหลิวชิงซาน
“เมืองหลิวเจียของพวกเราไม่ได้เกิดคดีฆาตกรรมมาหลายปีแล้ว จุ๊ ๆ คราวนี้ถูกวางยาตายในยามกลางวันแสก ๆ ก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วผู้ใดเป็นคนทำ” คนที่กินบะหมี่อยู่ข้าง ๆ พูดอย่างระมัดระวัง
อีกคนที่อยู่กับเขาก็พูดเสียงดังว่า “ใช่แล้ว ใครจะรู้ คนที่ตายอยู่ในร้านจิ่นฝู ข้าเดาว่าแปดส่วนจะต้องเป็นคนที่มีความบาดหมางกับร้านจิ่นฝู ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะไปวางยาพิษที่ร้านจิ่นฝูทำไมกัน”
“คาดเดาได้ใกล้เคียงกับสถานการณ์ บางทีคนที่ทำนั้นอาจเป็นพวกคนที่เปิดร้านอาหารแต่ถูกร้านจิ่นฝูแย่งลูกค้าไปก็ได้” อีกคนก็พูดสิ่งที่คิดออกมาด้วย
เมื่อหลิวชิงซานได้ยินเช่นนี้ ทั่วทั้งร่างก็แข็งทื่อเป็นท่อนไม้แล้ว
เขามองคนที่อยู่โต๊ะตรงข้ามอย่างตกตะลึง เมื่อได้ฟังคำพูดของพวกเขา ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความอึ้งงันเหมือนกับมองเห็นสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
คนที่อยู่ตรงข้ามเองก็รู้สึกได้ถึงความอึ้งงันของหลิวชิงซาน เมื่อเห็นท่าทางที่ตระหนกตกใจของอีกฝ่าย เขาก็เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “มองอะไร!”
หลิวชิงซานจึงมีท่าทีตอบสนองทันที เขาหัวเราะฮ่า ๆ แล้วลุกไปนั่งลงที่โต๊ะของอีกฝ่ายโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะยินดีหรือไม่ เขาพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “พี่ใหญ่ทั้งสองท่านนี้กำลังพูดถึงเรื่องแปลกอะไรหรือ ข้าเพิ่งกลับมาจากต่างถิ่นเมื่อวาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ พี่ชายทั้งสองรีบเล่าให้ข้าฟังเร็วเข้า ข้าจะเลี้ยงบะหมี่ท่านทั้งสองคน”
เมื่อทั้งสองคนได้ยินว่าหลิวชิงซานจะเลี้ยงบะหมี่ พวกเขาก็สบตากันด้วยความสงสัยเล็กน้อย
แต่เมื่อสังเกตเห็นเสื้อผ้าบนตัวหลิวชิงซานดูมีราคาไม่น้อย จึงคิดว่าหลิวชิงซานจะต้องมีเงินมากอย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม ไฉนเลยจะยังมีความเกรงใจอยู่อีก จึงสั่งเนื้อตุ๋นอีกสองจาน และยังสั่งอาหารอีกสองสามอย่างจากแผงขายบะหมี่ ต่างคนต่างก็สั่งบะหมี่เนื้อชามใหญ่ เมื่อกินเข้าไปแล้วถึงจะเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ให้แก่หลิวชิงซานฟัง
หลิวชิงซานยิ่งฟังก็ยิ่งตกตะลึง คิดโยงไปถึงเรื่องยาระบายที่ตัวเองแอบเอาไปใส่ไว้ในจอกเหล้าของลูกค้าในร้านจิ่นฝูกับรูปร่างหน้าตาของผู้ตายสองสามคนที่พูดถึงซึ่งแทบจะไม่แตกต่างกัน
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ คนที่ตายเมื่อคืนเป็นคนที่เขาคิดจะวางยาระบาย แต่สุดท้ายกลับเป็นวางยาพิษคนจนตาย
———————*************——————–