ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1261 ระส่ำระส่าย + ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1262 ว่านซื่อเองก็มาด้วย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1261 ระส่ำระส่าย

บทที่ 1261 ระส่ำระส่าย

เมื่อเสี่ยวเหลียงจื่อถูกพาตัวออกมาแล้วพบกู้เสี่ยวหวาน เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันที ตอนนี้ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แต่เนื่องจากบาดแผลบนร่างกาย รอยยิ้มนี้จึงดูฝืนเล็กน้อย “เถ้าแก่ ท่านไม่ต้องเสียใจไป ข้าไม่เป็นไร”

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังร้องไห้อย่างหนักและรู้สึกผิดต่อตนเอง เสี่ยวเหลียงจื่อก็รู้สึกได้ทันทีว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขานั้นคุ้มค่าแล้ว

เถ้าแก่มีจิตใจเมตตา เช่นนี้เขาจะกล้าหักหลังนางได้อย่างไร

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเหลียงจื่อก็ขมวดคิ้วและถามว่า “เถ้าแก่ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

เขากลัวว่าการใส่ร้ายของคนอื่นจะส่งผลกระทบต่อกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นจึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเห็นว่าลูกจ้างในร้านที่ถูกจับด้วยกันในวันนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนต่างหลบสายตาไม่กล้ามองหรือพูดอะไร

เมื่อเห็นท่าทางของคนพวกนั้น เสี่ยวเหลียงจื่อก็ทนไม่ได้ พวกเขาทั้งหมดต้องการเอาชีวิตรอด ยามเผชิญกับความเป็นความตาย พวกเขาก็เลือกตัวเองและทรยศต่อผู้มีพระคุณ แต่มันก็เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ในการเอาชีวิตรอดเช่นกัน

กู้เสี่ยวหวานส่ายหน้าและรีบปลอบเขา “ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเกิดเรื่อง”

จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็หันกลับมาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยและพูดกับใต้เท้าจ้าวว่า “ใต้เท้าจ้าว ลูกจ้างในร้านของข้าได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ข้าต้องการส่งเขาไปพบท่านหมอก่อน”

เนื่องจากการวางยานี้ไม่ใช่ฝีมือของคนในร้านจิ่นฝู โดยธรรมชาติแล้ว คนร้านจิ่นฝูจึงไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย ใต้เท้าจ้าวคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “เอาล่ะ คนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส เราต้องรักษาเขา พวกเจ้ามาพาเขาไปหาท่านหมอและดูแลเขาให้ดี”

เจ้าหน้าที่ด้านข้างใต้เท้าจ้าวจึงมาพาเสี่ยวเหลียงจื่อออกไป โดยกู้เสี่ยวหวานไม่ลืมที่จะปลอบโยนเขา “เจ้าไปพักผ่อนก่อน และเมื่อทุกอย่างที่นี่จบลง ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”

กลับบ้านหรือ?

ดวงตาของเสี่ยวเหลียงจื่อเป็นประกายเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘บ้าน’ และร่างกายส่วนบนของเขาก็ยืดตรง ดวงตากลมโตของเขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความไม่เชื่อ “เถ้าแก่ ท่าน…”

ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าพูดประโยคถัดไปออกมา แต่เขากลัวว่าตนเองจะได้ยินผิดและความสุขนี้จะหายไป

กู้เสี่ยวหวานยิ้มและปลอบโยนเขา “เจ้าไม่มีครอบครัวใช่หรือไม่ จากนี้ไปเจ้าจะเป็นสมาชิกของตระกูลกู้”

นางกำลังพูดประโยคนี้กับตนเอง

ทันทีที่เสี่ยวเหลียงจื่อฟังจบ น้ำตาก็ไหลอาบใบหน้า “เถ้าแก่!”

“เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไร ไปรักษาแผลบนร่างกายก่อน แล้วเราจะกลับบ้านด้วยกัน” ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานสดใสและน้ำเสียงก็นุ่มนวล ราวกับว่านางได้พาเสี่ยวเหลียงจื่อไปยังสถานที่ที่แสนงดงามซึ่งทำให้เขามีความสุขมาก

‘แล้วเรากลับบ้านด้วยกัน’ หัวใจของเสี่ยวเหลียงจื่อตื่นเต้นมากจนแทบจะบินขึ้นไปบนฟ้า เถ้าแก่ร้านหมายความว่าต่อจากนี้ไปตระกูลกู้จะเป็นบ้านของเขาอย่างนั้นหรือ?

เสี่ยวเหลียงจื่อไม่อยากจะเชื่อ ท่านพ่อท่านแม่ของเขาตายไปหลายปีแล้ว และเขาเคยชินกับการอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้มีคนบอกว่าจะพาเขากลับบ้าน และในอนาคตเขาจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน

เสี่ยวเหลียงจื่อหลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตัน แต่กลัวที่จะทำให้กู้เสี่ยวหวานทุกข์ใจ เขารีบเช็ดน้ำตาออก มองไปที่นางด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และเจ้าหน้าที่ก็มาหามเขาออกไป

กู้เสี่ยวหวานเองก็ยิ้มให้เขาเช่นกัน

ลูกจ้างในร้านที่อยู่ด้านข้างได้ยินสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูดกับเสี่ยวเหลียงจื่ออย่างชัดเจน สิ่งที่นางหมายถึงคือในอนาคตเสี่ยวเหลียงจื่อจะเป็นสมาชิกของตระกูลกู้ ไม่ใช่แค่หมายความว่าจะพาเสี่ยวเหลียงจื่อกลับบ้านใช่ไหม?

ลูกจ้างในร้านบางคนสนิทสนมกับเสี่ยวเหลียงจื่อ เมื่อก่อนพวกเขาทำงานแปลก ๆ หรือขอทานอยู่ด้วยกัน ต่อมาเสี่ยวเหลียงจื่อถูกพาตัวไปที่ร้านจิ่นฝู เขาก็ไม่ลืมและพาพวกเขาไปที่ร้านจิ่นฝูด้วย ทำให้พวกเขามีที่อยู่อาศัย มีงานทำ มีอาหารสามมื้อ และมีเสื้อผ้าให้สวมใส่

พวกเขารู้สึกขอบคุณเสี่ยวเหลียงจื่อมาก และรู้สึกขอบคุณกู้เสี่ยวหวานที่รับพวกเขาเข้ามา

เถ้าแก่ร้านไม่ได้ดูถูกดูแคลนสิ่งที่พวกเขาเคยทำ และบอกพวกเขาเพียงสองสามคำให้ทำความสะอาดมือและเท้า ทำงานหนัก และมีความซื่อสัตย์

ความซื่อสัตย์…

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เหล่าลูกจ้างก็คิดว่า แม้ว่าเสี่ยวเหลียงจื่อจะได้รับบาดเจ็บทั้งตัว เขาก็ไม่ทรยศกู้เสี่ยวหวาน บางทีนี่อาจเป็นความซื่อสัตย์ที่เถ้าแก่ร้านต้องการจากพวกเขา

แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ และพวกเขาไม่มีหน้าไปเจอเถ้าแก่ร้านและเสี่ยวเหลียงจื่ออีกเลย

หลายคนรีบเอาศีรษะกระแทกพื้นและไม่มีใครพูดอะไร ในใจของพวกเขารู้สึกหดหู่มาก

ลูกจ้างในร้านสองคนถูกทรมานอย่างหนัก คนหนึ่งถูกซ้อมปางตาย และอีกคนยอมตายดีกว่ายอมจำนน เมื่อครู่ใต้เท้าจ้าวยังเห็นบาดแผลบนร่างกายของลูกจ้างในร้าน แม้ว่าเขาจะถูกทำร้ายแบบนั้น แต่เขาก็ยังคงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องกู้เสี่ยวหวาน ยังถือเป็นผู้รู้ตอบแทนน้ำใจ

ใต้เท้าจ้าวถอนหายใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ใต้เท้าลวี่ การใช้การลงโทษอย่างรุนแรงเป็นอาชญากรรมร้ายแรง มีแม้กระทั่งการทรมาน เจ้าจงคิดดูเถิดว่าจะอธิบายต่อศาลอย่างไร”

ร่างกายของลวี่เทาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจอย่างเย็นชา “ใต้เท้าจ้าว ใต้เท้าลวี่ใช้การลงโทษอย่างรุนแรงเพื่อทำร้ายคนของข้าแบบนี้ และยังกล่าวหาว่าข้าสั่งให้พวกเขาวางยาพิษ ใต้เท้าลวี่จะให้คำอธิบายแก่ข้าอย่างไร”

“ใช่ ๆ” ลวี่เทาเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เขาเอ่ยตอบด้วยท่าทางหวาดกลัว “ทั้งหมดเป็นเพราะข้าดูแลไม่ดีจึงปล่อยให้เจ้าหน้าที่ระดับล่างทำแบบนั้น ข้าจะต้องดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”

ลวี่เทาหลีกเลี่ยงและเพิกเฉยต่อสิ่งเล็กน้อย แต่กู้เสี่ยวหวานไม่เชื่อ “ใต้เท้าลวี่ ท่านยังไม่ตอบข้าเลย ท่านจะให้คำอธิบายแก่ข้าได้อย่างไร”

ลวี่เทากระวนกระวายเหมือนมดบนกระทะร้อน “ข้า…”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานพูดจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมเล็กของหญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากห้องโถง “ใต้เท้าลวี่ได้ขอโทษท่านแล้ว ทำไมท่านยังมากดดันเขาอยู่อีก”

ภายในห้องโถงนั้นเงียบสนิท จึงทำให้ได้ยินเสียงของหญิงคนนี้ได้อย่างชัดเจน

กู้เสี่ยวหวานไม่คาดคิดว่าจะมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังนาง เช่นนั้นจึงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เมื่อหันหน้าไปมองที่ต้นเสียงก็เห็นเหอฮวาที่กำลังโกรธเคืองเงยหน้าขึ้นจ้องมองตัวเองด้วยความโกรธราวกับว่าต้องการจะฉีกนางเป็นชิ้น ๆ

เหอฮวาเป็นสาวรับใช้ข้างกายว่านซื่อ ซึ่งดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กับลวี่เทา

กู้เสี่ยวหวานหัวเราะเยาะ ดวงตาสีดำของนางจับจ้องไปที่เหอฮวา และเมื่อเหอฮวาเห็นสายตาที่จ้องมองมาก็รู้สึกหวาดวิตกเล็กน้อย

แต่เมื่อเหอฮวาคิดว่าผู้หญิงคนนี้อายุน้อยกว่าตัวเองมาก ตนเองเป็นผู้ใหญ่ นางจะกลัวหญิงผู้นั้นได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงจ้องกลับอีกครั้ง

“เจ้ากล้าดูหมิ่นเสี้ยนจู่หรือ! พวกเจ้าจับนางไปเฆี่ยนห้าสิบที” เมื่อลวี่เทาเห็นว่าเหอฮวากล้ามาขัดขวางคำถามของกู้เสี่ยวหวาน เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เขาดีใจที่มีคนมาช่วยเขา และดีใจยิ่งกว่าที่เห็นว่าเป็นสาวใช้ที่รู้ความลับของเขามากเกินไป ถ้านางแพร่งพรายความลับของเขาออกมา ชีวิตของเขาคงพังพินาศ สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือปิดปากของนางเสีย เพื่อป้องกันไม่ให้นางพูดอีก

และคนตายพูดไม่ได้

โดนเฆี่ยนห้าสิบที ผู้หญิงที่บอบบางเช่นนี้ก็คงจะตายในไม่ช้า

ใบหน้าของเหอฮวาแสดงความตกใจ และร่างของนางที่ตั้งตรงตอนนี้ได้ทรุดลงกับพื้น มองดูลวี่เทาด้วยความไม่เชื่อ

“ใต้… ใต้เท้า” ใบหน้าของเหอฮวาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นางไม่เข้าใจ นางพูดแทนเจ้านายและช่วยชีวิตเขาไว้แท้ ๆ ทำไมเขาถึงเฆี่ยนตัวเอง และถ้าถูกเฆี่ยนถึงห้าสิบที นางก็คงจะเสียชีวิตไปแล้ว

“ใต้เท้าโปรดยกโทษให้ข้าด้วย ใต้เท้าโปรดยกโทษให้ข้าด้วย!” เหอฮวาดูหวาดกลัว นางมองไปที่ลวี่เทาเหมือนเขาเป็นปีศาจจากนรก ตัวสั่นด้วยความตกใจ ถ้านางโดนเฆี่ยนห้าสิบทีจริง ๆ นางจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?

ใต้เท้าลวี่ต้องการให้นางตาย ด้วยสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดทำให้เหอฮวาคลานไปข้างหน้า อยากจะคลานไปต่อหน้าลวี่เทาเพื่อขอร้องเขา แต่หลังจากคลานขึ้นไปได้ไม่ไกล นางก็ถูกขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่

การทรมานกำลังจะเริ่มขึ้น และเมื่อท่อนไม้กำลังจะฟาดลงบนร่างของหญิงสาวที่อ่อนแอ ใต้เท้าจ้าวก็พูดว่า “หยุดเถอะใต้เท้าลวี่ ยังไม่ถึงตาของท่านที่ต้องพูด”

คำพูดเย็นชาของใต้เท้าจ้าวทำให้ลวี่เทากระสับกระส่ายมากขึ้น

ประการแรก เรื่องของเหลยต้าเซิ่งทำให้ใต้เท้าจ้าวเย้ยหยันเขา และตอนนี้ยังมีเรื่องของเหอฮวาอีก เหอฮวาผู้นี้เพิ่งโต้กลับแทนเขาสองครั้ง ใต้เท้าจ้าวเริ่มทำให้เขาอับอายแล้ว ถ้าเหอฮวาเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับว่านซื่อล่ะ?

แปดปีแล้ว

ลวี่เทาและว่านซื่อมีความสัมพันธ์กันมาแปดปีแล้ว ถ้าใต้เท้าจ้าวและคนในตระกูลกัวรู้เรื่องระหว่างตัวเองกับว่านซื่อขึ้นมา

เป็นเรื่องยากสำหรับลวี่เทาที่จะจินตนาการว่า อนาคตที่สดใสของเขาในชีวิตนี้จะพังพินาศลงในคราวเดียว

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ลวี่เทาก็เหงื่อออกและพูดโดยไม่ต้องคิด “ใต้เท้า คนไร้ยางอายคนนี้ได้ดูถูกท่านเสี้ยนจู่อย่างเปิดเผยในศาลาว่าการ และเจ้าหน้าที่คนนี้ก็คิดถึงชื่อเสียงของท่านเสี้ยนจู่ ข้าหวังว่าใต้เท้าจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ทำเพื่อชื่อเสียงของท่านเสี้ยนจู่ อย่าตำหนิข้าที่ต้องเสียมารยาทและทำเกินหน้าที่ต่อหน้าท่านเสี้ยนจู่”

 

 

บทที่ 1262 ว่านซื่อเองก็มาด้วย

บทที่ 1262 ว่านซื่อเองก็มาด้วย

ใต้เท้าจ้าวหัวเราะ “ใต้เท้าลวี่กล่าวอะไร ข้าก็ไม่กล่าวโทษท่านหรอก เพียงแต่เหมือนว่าสาวใช้ผู้นี้จะสนิทสนมกับท่าน ทั้งยังคอยปกป้องท่านตลอดเวลา หากกล่าวแทนท่านแล้ว ท่านกลับแข็งใจให้ลงโทษแม่นางผู้นี้ได้อย่างไร หากโบยลงไปแล้ว แม่นางผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือ ไม่ต้องกล่าวว่าท่านนึกถึงชื่อเสียงเสี้ยนจู่ เพียงเพื่อชื่อเสียงเสี้ยนจู่ก็จะปลิดชีวิตคนแล้ว ท่านคิดจะวางเสี้ยนจู่ไว้ที่ไหน หรือกล่าวว่าใต้เท้าลวี่คิดอยากจะเอาชีวิตแม่นางผู้นี้กันเล่า”

คำพูดของใต้เท้าจ้าวกระแทกเข้าตรงจุดของลวี่เทาทันที

ใช่แล้ว เขาต้องการให้เหอฮวาตาย

มีเพียงคนตายเท่านั้นที่ไม่สามารถพูดได้

ถ้าหากเรื่องของว่านซื่อถูกเปิดโปงออกมา นั่นก็ถือว่าเป็นหายนะจริง ๆ แล้ว

เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่เหลืออะไรแล้ว

อย่าว่าแต่อนาคตที่สดใสเลย แค่ตำแหน่งข้าราชการของศาลาว่าการขั้นเก้าก็หายไปแล้ว

เมื่อนึกถึงตอนแต่งงานที่ตระกูลกัวให้ตัวเองสาบาน ลวี่เทาก็กลัวจนตัวสั่นสะท้าน

“ใต้เท้าจ้าว ข้าน้อยคิดถึงชื่อเสียงของเสี้ยนจู่จริง ๆ” ลวี่เทารีบร้อนแสดงความภักดี

“อ้อ งั้นรึ ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น” ใต้เท้าจ้าวไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด จึงถามด้วยท่าทางเหมือนกับสงสัย ทำให้ลวี่เทาตกตะลึงกับคำถามและกล่าวอะไรไม่ออก

ในตอนนี้คำพูดของกู้เสี่ยวหวานก็ทำให้ลวี่เทาตกที่นั่งลำบากมากยิ่งขึ้น

“ใต้เท้าจ้าว ท่านอย่าทำให้ใต้เท้าลวี่รู้สึกลำบากใจเลย ถ้าหากว่าท่านสงสัยว่าใต้เท้าลวี่กับแม่นางผู้นี้มีอะไรบางอย่าง เช่นนั้นก็เข้าใจผิดแล้วจริง ๆ แม่นางคนนี้เป็นเพียงแค่สาวใช้เท่านั้นเอง รับใช้เจ้านายโดยเฉพาะ นางไม่ได้สนิทสนมกับใต้เท้าลวี่ แต่ว่าเจ้านายนางกับใต้เท้าลวี่นั้นสนิทสนมกันมาก” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างขบขัน ลวี่เทาเห็นท่าทางกู้เสี่ยวหวานยิ้มราวกับไม่ยิ้มจนยากจะเข้าใจว่าที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวนั้นจริงหรือเท็จ

ตัวเองซุกซ่อนว่านซื่อไว้อย่างมิดชิดไม่มีทางที่ผู้ใดจะรู้

แต่ทว่าคำพูดของกู้เสี่ยวหวานนั้นกลับทำให้ลวี่เทาร้อนรนจนสีหน้าตื่นตระหนก

ในตอนนี้หลิวชิงซานที่อยู่ข้าง ๆ ก็สบโอกาสเอ่ยขึ้นมา จึงรีบร้อนพูดว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยสามารถเป็นพยานได้ ใต้เท้าลวี่กับแม่นางของสาวใช้ผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”

“เหลวไหล ข้ารู้จักเจ้านายของสาวใช้ผู้นี้เสียที่ไหน ช่างเหลวไหลเสียจริง” ลวี่เทารีบร้อนแย้งราวกับมีความมั่นใจอย่างมาก

แต่ในชั่วเวลาถัดมา เสียงเรียกตะโกนอย่างนุ่มนวลก็ทำให้เขาเป็นอัมพาตอย่างสมบูรณ์

“ลวี่หลาง” น้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนหวานจนทำให้คนฟังใจละลายอ่อนระทวย ทว่าวันนี้พอได้ยินกลับยิ่งเหมือนเป็นเครื่องเร่งเวลาชีวิตที่มาพรากเอาชีวิตของเขา

เสียงที่คุ้นเคยนั้นดังจากไกลเข้ามาเรื่อย ๆ ลวี่เทาร่างกายแข็งทื่อกลายเป็นหินทันที

ไม่ต้องหันไปก็สามารถเดาได้ว่าเสียงที่คุ้นเคยนุ่มนวลนี้นั้นเป็นของผู้ใด

นอกจากว่านซื่อแล้วยังจะมีผู้ใดอีก

ว่านซื่อสะพายห่อผ้าไว้ บนร่างแต่งตัวได้อย่างกะทัดรัดคล่องตัว เห็นเช่นนี้ก็เดาได้ว่านางจะเดินทางไปไหนไกล

เมื่อว่านซื่อมาถึงศาลาว่าการและเห็นผู้คนมากมาย ตอนแรกนางก็งงงันเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นลวี่เทาในห้องโถงใหญ่และยังมีใต้เท้าท่านอื่นซึ่งดูเคร่งขรึมจริงจังมองเขม็งมาที่ตัวเอง ว่านซื่อถึงเพิ่งจะตอบสนองจนหน้าถอดสีทันที

แย่แล้ว ตัวเองถูกคนหลอกแล้ว

โดยไม่ทันคิดอะไร ว่านซื่อก็หอบห่อผ้าหมุนตัวหันหลังจะจากไป

เพียงแต่ว่า ไม่ง่ายเลยที่จะเชิญมาได้ กู้เสี่ยวหวานจะปล่อยให้นางจากไปได้อย่างไรกัน

“ว่านฮูหยินเพิ่งมาก็จะไปแล้วรึ ไม่รำลึกความหลังกับใต้เท้าลวี่สักหน่อยหรือ” กู้เสี่ยวหวานหัวเราะเบา ๆ สายตานั้นมองไปมองมาระหว่างลวี่เทาและว่านซื่อ ใต้เท้าจ้าวเองก็เป็นคนฉลาด ในสายตาของกู้เสี่ยวหวานนั้นจะต้องเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินตรงหน้านี้กับลวี่เทาออกแน่

“พูดจาไร้สาระอะไร ข้าไม่รู้จักเขา” ว่านซื่อถูกคนหยุดไว้ ใบหน้าพลันแดงซ่านทันทีและกล่าวปฏิเสธ

“ไม่รู้จัก งั้นเมื่อครู่นี้ใครกันที่ตะโกนเรียกลวี่หลาง ข้าได้ยินชัดเจนนะ”

ทันทีที่คำพูดของกู้เสี่ยวหวานหยุดลงก็มีคนขวางว่านซื่อเอาไว้ให้กลับไปในห้องโถงอีกรอบ

ว่านซื่อจับห่อผ้าที่พะรุงพะรังในมือไว้แน่น เหมือนกับจะออกเดินทางไปไกลหรือไม่ก็จะย้ายบ้านอย่างไรอย่างนั้น

ลวี่เทามองว่านซื่อที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างโถงด้วยความหวาดกลัวอย่างมาก ไม่ใช่ว่าตัวเองได้ส่งคนให้พานางออกจากเมืองหลิวเจียแล้วหรอกหรือ

ทำไมนางถึงยังกลับมา แล้วยังมาในศาลาว่าการอีก

เสียงที่เรียกลวี่หลางเมื่อครู่นี้เขาเองก็ได้ยินอย่างชัดเจนว่าว่านซื่อนั้นไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่

เกิดอะไรขึ้น

กู้เสี่ยวหวานนั่งบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ มาตลอดพลางดื่มน้ำชาตรงหน้า

ถ้วยชาตรงหน้าของนางนั้นไม่รู้ว่าถูกเติมไปกี่ถ้วยแล้ว

ในเวลานี้เองสาวใช้คนหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาอยู่ข้างหลังกู้เสี่ยวหวาน ทั้งยังกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูนาง

สาวใช้ผู้นี้มาอย่างมีลับลมคมใน หรือว่า

ลวี่เทามองว่านซื่อและมองกู้เสี่ยวหวาน เห็นกู้เสี่ยวหวานมองกลับมาที่ตัวเองอย่างสนอกสนใจด้วยสีหน้าที่พอใจ

หรือว่า

กู้เสี่ยวหวานนั้นรู้เรื่องของตัวเองกับว่านซื่อ

หลังจากที่ว่านซื่อมา เรื่องทั้งหมดนี้ก็ยิ่งอยู่เหนือการควบคุมของลวี่เทามากขึ้นเรื่อย ๆ

เขารู้สึกร้อนรนจนเหงื่อเต็มศีรษะ ทว่ากลับมีคนที่รอดูการแสดงของเขา

ใต้เท้าจ้าวมองลวี่เทาอย่างจริงจัง เมื่อเห็นว่าเขาประหม่าจนเหงื่อออกแล้วก็รู้ว่าสตรีวัยกลางคนที่ปรากฏตัวออกมาทีหลังนี้ ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้กับเขาอย่างแน่นอน

“ใต้เท้าลวี่ ฮูหยินท่านนี้กับท่านใต้เท้าสนิทกันมากหรือ” นั่นไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือ หากไม่สนิทสนมกันจะตะโกนเรียกอย่างสนิทสนมว่าลวี่หลางสองคำนี้ออกมาหรือ

“ใต้เท้า ไม่ใช่สนิทกันมาก ไม่ก็ไม่ใช่ถือว่าสนิทกันกระมัง” ลวี่เทาพูดจาไม่ปะติดปะต่อกันแล้ว

ใต้เท้าจ้าวดูเหมือนจะชอบดูท่าทางที่จนมุมของเขามาก จึงยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า

“เช่นนั้นสรุปแล้วคือสนิทหรือว่าไม่สนิทกันแน่หรือ”

“ก็คุ้นเคยอยู่บ้าง สามีของฮูหยินท่านนี้ถูกข้าตัดสินคดีเมื่อปีนั้น ก็นับว่าเป็นคนคุ้นหน้า”

“เช่นนั้นก็เป็นคนรู้จักเก่าแล้ว” ใต้เท้าจ้าวมองลวี่เทากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “มิน่าเล่าฮูหยินท่านนี้ถึงได้เอ่ยตะโกนเรียกท่านว่าลวี่หลาง ทำข้ายังนึกไปเสียว่าฮูหยินกัวมาแล้วเสียอีก”

ลวี่เทาได้ยินกัวฮูหยินสามคำนี้แล้วก็หวาดกลัวมากอย่างยิ่งจนหน้าซีด ทั่วทั้งตัวราวกับถูกคนเลาะเอ็นและกระดูกออก ตกใจจนล้มไปด้านหลัง หากไม่มีโต๊ะข้างหลังขวางเขาไว้เกรงว่าจะตกลงไปนอนแผ่หลาบนพื้นอ้าแขนอ้าขาออกด้วยท่าทางที่ไม่น่าดูแล้ว

ท่าทางตื่นตระหนกของลวี่เทานั้นยิ่งตกอยู่ในสายตาของกู้เสี่ยวหวาน

เมื่อลวี่เทาได้ยินกัวฮูหยินสามคำนี้ก็ตื่นตระหนกตกตะลึง หรือว่ากัวฮูหยินนี้

อาจั่วที่อยู่ข้าง ๆ เห็นสายตาสำรวจของกู้เสี่ยวหวาน อาโม่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบอธิบายว่า “คุณหนู ลวี่เทาผู้นี้เป็นลูกเขยของตระกูลกัว กัวฮูหยินนั้นเป็นคนที่มีนิสัยร้ายกาจ อีกทั้งตระกูลกัวยังมีกฎสำหรับลูกเขยที่แต่งเข้ามาว่าไม่สามารถมีอนุภรรยาได้ นอกเสียจากว่าฮูหยินจะไม่สามารถมีบุตรได้ ถ้าหากว่ามีความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงข้างนอก ตระกูลกัวจะขัดขวางและปลดออกจากอำนาจทั้งหมด”

ปลดออกจากอำนาจทั้งหมด

ชำระล้างก่อนหย่า*[1]

ตระกูลกัวนี้เก่งมาก

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าตระกูลกัวจะตั้งกฎเช่นนี้ออกมาเพื่อบุตรสาวของตัวเอง

เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของลวี่เทาที่ขาวซีดจนเหมือนกระดาษแล้ว ไหนเลยจะยังมีความเย่อหยิ่งและความถือดีเหมือนยามปกติอยู่อีก ท่าทางนั้นหวาดกลัวอย่างยิ่งจนทั่วทั้งร่างสั่นเทา “ใต้เท้า ข้ากับนางไม่รู้จักกัน ไม่คุ้นเคย ข้าเพียงแค่รู้สึกสงสารพวกเขา จึงดูแลเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ข้ากับสตรีผู้นี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันแม้แต่น้อย ข้าไม่รู้จักนาง”

ลวี่เทาร้องไห้พลางตะโกน พยายามที่จะตัดความสัมพันธ์ของตัวเองกับว่านซื่อ ท่าทางร้องไห้นั้นดูเหมือนว่าลวี่เทาจะกลัวว่าเรื่องของตัวเองกับว่านซื่อนั้นจะถูกเปิดเผยอย่างมาก

ว่านซื่อคุกเข่าอยู่ด้านล่างโถงมาโดยตลอด

เมื่อเห็นผู้คนมากมายเช่นนี้ นางเองก็แปลกใจมากเช่นกัน

เดิมทีนั้นนางอยู่ในจวนดี ๆ จู่ ๆ ในยามนั้นก็มีคนส่งข่าวจากลวี่เทามาให้ บอกว่าใต้เท้าสั่งมาว่าให้นางรีบเก็บทองและเงินแล้วออกจากเมืองหลิวเจียทันที

ว่านซื่อนึกถึงว่าช่วงนี้เมืองหลิวเจียมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นแล้วสองคดี ลวี่เทาเองก็หงุดหงิดที่ตามหาฆาตกรไม่ได้ นางนึกว่าลวี่เทาต้องการให้ตัวเองหลีกเลี่ยงปัญหา ดังนั้นจึงเก็บข้าวของและจัดหาที่พักให้ลูกชายทั้งสองแล้วหนีไป

แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพอวิ่งออกมาถึงตรงปากประตูก็มีรถม้าจอดอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว บอกว่าใต้เท้ามารับนางไปที่ศาลาว่าการ

คนหนึ่งบอกให้ตัวเองจากไป คนหนึ่งบอกให้ตัวเองไปศาลาว่าการ

ว่านซื่อเองก็ไม่รู้ว่าควรจะฟังผู้ใด แต่ว่ารถม้าคันหลังของคนนั้นเป็นรถที่ลวี่เทาเคยนั่งมา ว่านซื่อเห็นเมื่อตอนบ่ายก็เป็นรถม้าคันนี้จึงไม่ได้คิดอะไรมากและตามมา

ทันทีที่มาถึงด้านนอกศาลาว่าการ ก็มีคนของศาลาว่าการบอกว่าใต้เท้ากำลังรอตัวเองอยู่ข้างใน เพื่อที่จะไม่ให้ใต้เท้าลวี่รอตัวเองนานจนเกินไป จึงยังตะโกนเรียกลวี่หลางอีกด้วย

ว่านซื่ออยากเอาใจลวี่เทา ย่อมต้องตะโกนเรียกลวี่หลางอย่างอ่อนหวาน

แต่เมื่อเดินเข้ามาแล้ว ถึงได้พบว่าตัวเองถูกหลอกแล้ว

ว่านซื่อเองก็ไม่ได้อยากจะมาพบลวี่เทาในที่ที่มีคนพลุกพล่านเช่นนี้ เดิมทีลวี่เทาเองก็เคยบอกกับนางว่าตัวเองนั้นมีภรรยาที่นิสัยร้ายกาจมากอยู่ที่จวน ถ้าหากความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกภรรยาที่ร้ายกาจคนนั้นรู้เข้า ทั้งสองคนก็จะจบลงไม่ดี

ว่านซื่อติดตามลวี่เทาก็เพียงแค่ต้องการหาที่ตั้งหลักตั้งตัว

เมื่อก่อนติดตามเหมียวเอ้อร์ไม่ใช่ว่าอยากมีชีวิตที่ดีหรอกหรือ

[1] หมายความว่าเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจหย่าร้าง ฝ่ายหนึ่งขอให้อีกฝ่ายออกจากการสมรสโดยไม่ได้รับทรัพย์สินร่วมกันใด ๆ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท