บทที่ 1263 ผลักความผิด
บทที่ 1263 ผลักความผิด
ถึงแม้ว่าการติดตามลวี่เทานั้นจะไม่มีชื่อเสียงไม่มีฐานะ แต่ว่าลวี่เทานั้นก็ให้ค่าตอบแทนไม่ได้ด้อยไปกว่าตอนที่ตัวเองติดตามเหมียวเอ้อร์เป็นภรรยาใหญ่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกันแล้วยังดีกว่าเหมียวเอ้อร์ร้อยเท่าพันเท่า อย่างไรเสียคนหนึ่งก็เป็นพนักงานบัญชีในร้าน คนหนึ่งเป็นใต้เท้าของศาลาว่าการ ค่าตอบแทนนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดินจนเทียบกันไม่ได้เลย
ว่านซื่อพอใจมาก ไม่เพียงแต่ตัวเองจะใช้ชีวิตแบบนายหญิงเท่านั้น ข้างกายยังมีสาวใช้ด้วย ตัวเองไม่ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า ลูกชายทั้งสองคนของตัวเองลวี่เทาก็จัดการให้อย่างดี ว่านซื่อเพียงแค่ต้องอยู่ที่บ้านรอคอยให้ลวี่เทาไปหาก็พอแล้ว
ชีวิตที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร ใครจะไม่อยากอยู่เล่า
ว่านซื่อยิ่งยินดีที่จะคอยปรนนิบัติลวี่เทาให้มีความสุขจนหาจากที่ไหนไม่ได้
แต่ว่าเมื่อไปมาหาสู่กันนานเข้า บุรุษสตรีก็ควรจะมีความรู้สึกระหว่างชายหญิง ยิ่งกว่านั้นว่านซื่อที่เป็นสตรีก็ยิ่งรู้สึกประทับใจต่อบุรุษผู้นี้ที่มอบความอบอุ่นเอาใจใส่นาง ในใจก็หวังว่าตัวเองที่อยู่ในใจของลวี่เทานั้นจะแตกต่างไปบ้าง
แต่ว่าความฝันยังคิดได้ไม่นานก็ถูกลวี่เทาราดน้ำเย็นสาดในใจ
นางบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เพียงแค่ดูแลตัวเองเพียงเท่านั้น
ว่านซื่อรู้ว่าลวี่เทากลัวภรรยาผู้ดุร้ายที่อยู่ที่จวนจึงอดทนไว้
แต่ว่าหลิวชิงซานกลับไม่ได้เห็นเช่นนั้น เขาเคยเห็นสองคนนี้ อีกทั้งร่างกายส่วนบนนั้นก็เคยเห็นแล้ว จะไม่คุ้นเคยได้อย่างไร
“ใต้เท้าลวี่ เจ้ากับฮูหยินท่านนี้ไม่คุ้นเคยกันจริงหรือ พวกเจ้าสนิทคุ้นเคยกันจนถึงบนเตียงแล้ว ขอถามใต้เท้าลวี่ช่วยบอกข้าทีว่าถ้าถอดเสื้อผ้าออกแล้วกอดกันไม่เรียกว่าคุ้นเคย งั้นอะไรถึงจะเรียกว่าคุ้นเคยกันเล่า” หลิวชิงซานกล่าวด้วยความแปลกใจ
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขบขันอยู่ในใจ
นางรู้จักหลิวชิงซานมานานแล้ว เขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะพูดเช่นนี้
“เจ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีข้า” ลวี่เทาในตอนนี้สามารถใช้คำว่าหวาดกลัวมาบรรยายได้จริง ๆ “ใต้เท้า เขากำลังใส่ร้ายข้า เขากำลังใส่ร้ายข้า ข้ากับสตรีผู้นี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อื่น ไม่มี ไม่มี ข้าก็แค่ดูแลพวกเขาแม่ลูก หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็ถามสตรีผู้นี้ได้”
ว่านซื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นลวี่เทาขยิบตาส่งให้ตัวเองไม่หยุด ว่านซื่อเองก็ไม่ใช่คนโง่จึงรีบพยักหน้า “ใต้เท้า ใช่แล้ว ข้าน้อยเป็นหญิงม่ายต้องดูแลลูกสองคนนั้นลำบากมาก ใต้เท้าลวี่ช่วยเหลือข้าบ่อย ๆ ข้าจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณมาตลอด”
ลวี่เทาวางใจแต่ก็ไม่ปล่อยวางไปง่าย ๆ
ประโยคต่อมาของหลิวชิงซานทำให้ลวี่เทาแทบจะอดทนไม่ไหวจนอยากจะบีบคอเขาให้ตาย “แม่นางท่านนี้ เจ้าอย่าได้ถูกเขาหลอกเอานะ เขาอยากทิ้งเจ้าไปสนิทสนมกับคนที่อายุน้อยกว่า เจ้าอย่าลืมนะว่ายังมีสตรีที่งดงามราวกับบุปผาอยู่ข้าง ๆ เจ้า ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจแอบคิดอยากจะทิ้งเจ้าไว้นานแล้ว เจ้าคงไม่อยากถูกหลอกโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวกระมัง”
หลิวชิงซานผู้นี้ไม่เลวเลยจริง ๆ กู้เสี่ยวหวานอยากจะปรบมือให้เขาแล้ว
ว่านซื่อได้ฟังคำพูดของหลิวชิงซานก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตื่นตระหนก เมื่อมองตามสายตาของเขาก็เห็นเหอฮวาคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ เขา สายตาพลันมืดครึ้มทันที
ต่างคนต่างก็มีความคิดของตัวเอง
ว่านซื่อขบคิดในใจอย่างรวดเร็วถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ ลวี่เทาเป็นเหมือนสวรรค์ของตัวเอง ถ้าหากตัวเองสร้างความยากลำบากให้ลวี่เทา เช่นนั้นนางกับลวี่เทาจะต้องไม่มีชีวิตที่ดีแน่
อีกทั้งใต้เท้าที่อยู่เบื้องบนผู้นั้นดูเหมือนว่าตำแหน่งจะสูงกว่าลวี่หลาง นางไม่สามารถเพิ่มภาระให้ลวี่หลางได้อีก
ว่านซื่อเปิดปากเอ่ยทันทีว่า “พี่ชายท่านนี้พูดอะไร ทำไมข้าถึงฟังไม่เข้าใจเล่า ใต้เท้าลวี่เห็นใจข้าที่สามีจากไปเสียก่อน หญิงม่ายคนหนึ่งและลูกสองคนหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ ในยามปกติแล้วก็ดูแลข้ากับลูกทั้งสองเป็นอย่างดี ข้ากับใต้เท้าลวี่บริสุทธิ์ใจ คำพูดของพี่ชายท่านนี้รังแกกันเกินไปแล้วจริง ๆ”
ว่านซื่อมองค้อนใส่และจ้องมองหลิวชิงซานด้วยความโมโห เหมือนกับแอบตำหนิด้วยความโกรธว่าหลิวชิงซานผู้นี้พูดจาไร้สาระใส่ร้ายชื่อเสียงของใต้เท้าลวี่ “ใต้เท้าลวี่มีบุญคุณต่อข้าอย่างยิ่ง เจ้ากล้าใส่ร้ายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำได้อย่างไร”
หลิวชิงซานหัวเราะเหอะออกมาอย่างโง่งม มองว่านซื่อขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างมุ่งร้ายสลับกับมองใต้เท้าลวี่อีกครั้ง สายตานั้นสอดส่องไปมาระหว่างทั้งสองคน ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยเจตนาที่ไม่หวังดีเสียดลึกเข้ากระดูก
ว่านซื่อเคยเห็นสายตาเช่นนี้ของบุรุษ จึงเป็นสัญญาณเตือนในใจ ขณะที่กำลังจะใช้มือตัวเองหยุดเอาไว้ก็ได้ยินหลิวชิงซานพูดออกมาเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เหมือนกับหม้อที่ระเบิดออกอย่างกะทันหัน “งั้นหรือ ฮูหยินท่านนี้ข้าเคยเห็นไฝดำเม็ดใหญ่ที่หลังด้านขวาของเจ้า ต้นขายังมีรอยเขียวซึ่งคงจะเป็นปานกระมัง และยังใต้เท้าลวี่ บนอกของท่านเองก็มีไฝดำเม็ดหนึ่งใช่หรือไม่”
ลวี่เทาตกตะลึง
ว่านซื่อตกใจดวงตาเบิกโพลง จนแทบจะหมดสติลงไป
เขารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีรอยเขียวที่ต้นขา แล้วรู้ได้อย่างไรว่านางมีไฝดำเม็ดใหญ่บนหลังขวา
ว่านซื่อสีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด หลังจากที่ผู้คนรอบ ๆได้ฟังคำพูดของหลิวชิงซานแล้วก็ไม่ได้ตอบสนองทันที แต่เมื่อเห็นร่างที่แข็งทื่อราวกับหินของว่านซื่อและลวี่เทาแล้วก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที
การแสดงออกของทั้งสองคนนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่หลิวชิงซานพูดนั้นเป็นความจริง
แต่ว่าหลิวชิงซานรู้ได้อย่างไรเล่า
อาโม่ที่รู้เรื่องราวภายในเป็นอย่างดี ใบหน้าก็แดงขึ้นทันทีจึงก้มหน้าลงเงียบ ๆ ในหัวนั้นดูเหมือนว่าจะนึกถึงเสียงครวญครางของว่านซื่อและลวี่เทายามร่วมรักกัน
และยังมีหลิวชิงซานที่เป็นคนนอก
เหตุใดหลิวชิงซานถึงรู้เรื่องราวส่วนตัวเช่นนี้ได้ อาโม่นั้นรู้อย่างชัดแจ้ง
ว่านซื่อเกิดความกลัวขึ้นมาแล้ว
จึงหันไปมองเหอฮวาที่คุกเข่าอยู่ข้างหลิวชิงซานด้วยสายตาดุร้าย และแผดเสียงขึ้นมาอย่างน่ากลัว “เหอฮวา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่บอกเขา ข้าจะเอาชีวิตเจ้า”
ว่านซื่อไม่คิดว่าลวี่เทาจะเล่าเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ให้คนนอกฟัง เช่นนั้นผู้เดียวที่รู้ว่าตัวเองมีปานในที่ลับนั้นก็มีเพียงแค่เหอฮวาที่คอยปรนนิบัติตัวเองเท่านั้น
ว่านซื่อไม่คิดว่าเหอฮวาจะขายตัวเองเช่นนี้
คาดไม่ถึงว่าจะเล่าเรื่องของตัวเองกับลวี่เทาให้คนอื่นฟัง ว่านซื่อกระโจนเข้าหาเหอฮวาด้วยความโกรธ ใช้เล็บที่แหลมคมคว้าเหอฮวาแล้วจิกลงไป
ทุกคนไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
การแสดงเพิ่งเริ่มขึ้น ว่านซื่อที่นุ่มนวลอ่อนหวานมาตลอด ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ ช่างน่าหวาดกลัวมาก
รอจนกระทั่งทุกคนตอบสนองขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงสตรีแผดเสียงจนทำให้ทุกคนตกใจ
อาโม่รีบร้อนเข้าไปอย่างรวดเร็ว พอดึงว่านซื่อออกห่างจากเหอฮวาได้ก็สายไปเสียแล้ว
ใบหน้าอันงดงามของเหอฮวาถูกเล็บที่แหลมคมของว่านซื่อข่วนจนเลือดอาบเต็มหน้า
ถ้าหากดีขึ้นแล้วตกสะเก็ด เกรงว่าใบหน้าก็ยังต้องมีตำหนิ
กู้เสี่ยวหวานเห็นรูปลักษณ์ในใจก็โอดครวญ แม่นางที่สะสวยถูกทำลายกลายเป็นเช่นนี้แล้ว
เหอฮวาแผดเสียงออกมาอย่างเจ็บปวด ร้องตะโกนไม่หยุดว่าใบหน้าของข้า ใบหน้าของข้า
เหอฮวาได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้ ไหนเลยจะยังทนต่อได้ ตัวเองมีความมั่นใจในใบหน้านี้ แต่หน้าดี ๆ กลับถูกทำลาย ในอนาคตตัวเองจะออกเรือนได้อย่างไร
เหอฮวานั้นให้ความสำคัญกับใบหน้ามาก เพียงแต่สตรียุคโบราณนั้นไม่มีใครที่ไม่ให้ความสำคัญกับใบหน้า
เดิมทีเหอฮวาก็มีความคิดมากมายต่อว่านซื่อ ตอนนี้ราวกับนางเสียสติ จึงก้าวออกไปหาว่านซื่อเพื่อคิดบัญชี “นังจิ้งจอกแก่ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาข่วนหน้าของข้า ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
เหอฮวาร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา อีกทั้งใช้แรงมากเช่นกัน ถ้าหากไม่มีคนของศาลาว่าการสองคนรั้งนางไว้ เกรงว่าว่านซื่อเองก็ต้องได้รับบาดเจ็บไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“แม่นางท่านนี้ เจ้าหาผิดคนแล้ว เจ้าคงไม่คิดว่าแม่นางผู้นี้เป็นผู้บอกข้าหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้นก็ผิดแล้ว” หลิวชิงซานกล่าวออกมาเหมือนกลัวว่าเหตุการณ์นั้นจะไม่สนุก ”ข้าสังเกตตอนสู้กันอย่างแนบชิดกัน จุ๊ ๆ ก็คิดถึงฉากนั้นขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีที่งดงามอบอุ่นอ่อนโยนราวกับดอกไม้นั้น ยามอยู่บนเตียงจะเร้าร้อนเช่นนี้ ทำให้ข้ามองเช่นเดิมไม่ได้จริง ๆ ยังมีใต้เท้าลวี่อีก แม้ว่าอายุจะมากแล้วแต่ความยิ่งใหญ่นั้นกลับไม่ลดลงเลย”
อะไรนะ
การต่อสู้กันอย่างแนบชิด
เขาเห็นตัวเองทำเรื่องนั้นอยู่บนเตียง
ว่านซื่อเห็นสีหน้าหลิวชิงซานดูมีแรงปรารถนา ถ้าหากไม่ใช่ว่าตัวเองยังมีความอดทนและยังต้องปกปิดความผิด ว่านซื่อเองก็แทบอยากจะเป็นลมให้แล้วไป
คำพูดของหลิวชิงซานทำให้ทุกคนมองมาที่ตัวเองอย่างมีเจตนาไม่ดี และยังมีคนของศาลาว่าการที่ราวกับอยากจะตรวจสอบว่าเรื่องที่หลิวชิงซานกล่าวนั้นจริงหรือไม่ สายตานั้นเหลือบมองที่ขาของว่านซื่อคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ใบหน้าของว่านซื่อแดงขึ้นทันทีแต่ก็ทนต่อไป คำพูดของเหอฮวาจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของตัวเองกับลวี่เทาแน่นแฟ้นขึ้นไปอีก
“นังจิ้งจอกเฒ่า ล่อลวงใต้เท้า ช่างหน้าไม่อาย แก่แล้วยังจะมาล่อลวงใต้อีก เจ้ามันไร้ยางอาย” เหอฮวาไม่สนใจอะไรแล้ว เดิมทีก็มีความคิดมากมายต่อว่านซื่อ ตอนนี้ใบหน้าของตัวเองถูกนางข่วนเป็นรอยแล้ว จะไม่โกรธได้หรือ
“ท่านใต้เท้า ว่านซื่อเป็นคนเลว เป็นนางที่ล่อลวงใต้เท้า ล้วนเป็นนางทั้งสิ้น” เหอฮวาพูดจบ ยังไม่ลืมอธิบายให้ใต้เท้าจ้าวและเล่าให้ใต้เท้าลวี่เข้าใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างว่านซื่อและลวี่เทานั้นชัดเจนแล้ว ทั้งสองนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก
ใต้เท้าจ้าวมีสีหน้าไม่พอใจ “ใต้เท้าลวี่ เรื่องนี้หากถูกกัวฮูหยินรู้เข้า… ท่านก็รู้ว่าตระกูลกัวนั้นเป็นเช่นไร”
ลวี่เทากลัวจนต้องคุกเข่าลงทันทีแล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ใต้เท้า ล้วนเป็นสตรีผู้นี้ นางล่อลวงข้า ล้วนเป็นนางล่อลวงข้า ใต้เท้า ข้าทำผิดพลาดแล้ว บุรุษทุกคนล้วนทำผิดพลาดกันได้ ฮือฮือ”
ลวี่เทาร้องไห้ออกมาแล้ว อีกทั้งยังผลักความผิดทั้งหมดมาลงที่ว่านซื่อ
………………………………………………….
บทที่ 1264 อดีตของว่านซื่อและลวี่เทา
บทที่ 1264 อดีตของว่านซื่อและลวี่เทา
ถ้าหากลวี่เทาไม่เอ่ยอะไรก็ยังดี ทว่าลวี่เทากลับเอ่ยและยังปัดความรับผิดชอบทั้งหมด ว่านซื่อจึงกลับกลายเป็นสตรีที่โลเลใจง่าย
ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรีที่โลเลใจง่าย
แต่ว่าใครให้ตัวเองทุ่มเทออกไปมากเช่นนั้น สุดท้ายเมื่อกำลังเผชิญกับความยากลำบากตรงหน้า คนอื่นห่วงแต่จะหนีและโยนภาระให้นาง คาดไม่ถึงว่าจะยังดูถูกตัวเองอีก
เรื่องนี้จะวางไว้ที่ใคร ใครก็ไม่อยากรับ
ว่านซื่อฟังคำพูดของลวี่เทา ยิ่งฟังก็ยิ่งเสียใจ ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรอีก แล้ววิ่งเข้าไปหาพลางเริ่มร้องไห้ “ลวี่หลาง ท่านกลั้นใจพูดออกมาเช่นนี้ได้อย่างไรว่าจะดีกับข้าไปตลอดชีวิต หรือว่าท่านลืมแล้วหรือ”
ลวี่เทาไม่ได้ลืม เพียงแต่ทว่าอนาคตของเขากับทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ เมื่อเทียบกับสตรีอุ่นเตียงแล้ว เขาตัดใจกับทุกอย่างในตอนนี้ไม่ได้ เพียงแค่สตรีเท่านั้นเอง ถ้าหากรักษาตำแหน่งในตอนนี้ไว้ ในอนาคตต้องการสตรีแบบใดก็ได้
ไม่จำเป็นต้องแขวนคอตายกับต้นไม้เก่า
ลวี่เทาคิดจะปล่อยว่านซื่อแล้ว และยังคิดว่าตัวเองกับสตรีคนนี้ไม่มีอะไรเสียเปรียบต่อกัน
แต่ว่าว่านซื่อกลับไม่คิดเช่นนั้น
ตัวเองอยู่กับเขามาหลายปี ทั้งยังจริงใจต่อเขา สุดท้ายแล้วกลับต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียง
ว่านซื่อเสียใจ นางมองไปที่ลวี่เทาด้วยความโศกเศร้าและคับข้องใจ แต่ว่าลวี่เทากลับไม่แม้แต่จะชายตามองนาง
ไม่ทันระวังก็เผลอไปสบตาที่โศกเศร้าของว่านซื่อเข้า จึงหันศีรษะไปทางอื่นด้วยความขยะแขยง ในดวงตามีความรังเกียจอย่างรุนแรง
ว่านซื่อถูกสายตานั้นมอง จิตใจก็ถูกแผดเผาทันที ดั่งลูกศรนับหมื่นทะลุหัวใจ
“ลวี่หลาง” ว่านซื่อมองไปที่ลวี่เทาอย่างเศร้าใจและตะโกนออกมาอย่างตำหนิ เป็นอย่างที่นางคาดไว้ ลวี่เทาไม่สนใจนางเลย ทว่าเขากลับขมวดคิ้ว “ข้าช่วยเจ้าเพราะเห็นแก่หน้าสามีที่ตายไปของเจ้า เจ้าอย่าทำร้ายข้าเช่นนี้เลย”
ดวงตาที่เปียกชุ่มน้ำตานั้นคอยมองลวี่เทาอย่างแน่วแน่ ในแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและอ้างว้าง ลวี่เทาจึงทําเหมือนว่ามองไม่เห็นอะไรเลย ไม่แม้แต่จะมองว่านซื่อ และหันหลังให้กับว่านซื่ออย่างเย็นชา
ว่านซื่อรู้ว่าลวี่เทากลัวตระกูลกัว แต่ในใจนางเองก็มีความหวังที่เกินตัวเช่นกัน นั่นคือลวี่เทาสามารถให้ฐานะตัวเองในเมืองหลิวเจียที่อยู่ห่างไกลได้
กัวฮูหยินนั้นก็ไม่เคยมาที่เมืองหลิวเจีย แม้ว่าลวี่เทาจะกลับไปในช่วงเทศกาลปีใหม่ก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ไม่ยากเลยที่จะเห็นว่าความสัมพันธ์ของลวี่เทากับตระกูลกัวนั้นเย็นชามาก
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวเอ้อร์ในปีนั้น ว่านซื่อก็ติดตามลวี่เทาแล้ว
นี่ก็ประมาณเกือบหกเจ็ดปีได้แล้ว
ว่านซื่อติดตามลวี่เทาอย่างไม่มีชื่อเสียง ไม่มีฐานะ ก็เพื่อว่าสักวันหนึ่งนั้นจะได้มีที่ยืนอยู่ในใจลวี่เทา ถึงแม้ว่าจะไม่อาจขอให้ลวี่เทายกตัวเองเป็นอนุภรรยาได้ก็ตาม แต่ว่าอย่างไรเสียลวี่เทาก็สามารถเลี้ยงดูสตรีนอกบ้านได้
ต่อไปไม่แน่ว่าอาจจะให้กําเนิดลูกชายให้ลวี่เทาก็ได้ หากคลอดลูกชายออกมาแล้ว ในอนาคตตําแหน่งของนางในใจของลวี่เทาก็มั่นคงแล้ว
เพียงแต่น่าเสียดาย ใบหน้าของว่านซื่อเศร้าขึ้นมาทันที ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะว่าตัวเองไม่ระวัง ตอนนี้เด็กคนนั้นก็สามารถวิ่งได้บนพื้นแล้ว
ถ้าหากมีลูกก็จะสามารถผูกมัดลวี่เทาไว้ได้
ในใจว่านซื่อรู้สึกเศร้าใจมาก สำหรับลวี่เทานั้นนางรักมากกว่าเกลียด
หลายปีที่ผ่านมา ที่ลวี่เทาให้นางนั้นไม่ใช่แค่เงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึกในจิตวิญญาณด้วย
ว่านซื่อชอบความฟุ้งเฟ้อและอยากจะมีชีวิตที่ดี
ปีนั้นนางแต่งงานกับเหมียวเอ้อร์เพื่อจะมีชีวิตที่ดีและได้เป็นภรรยาของครอบครัวที่ร่ำรวย
ชีวิตแต่งงานกับเหมียวเอ้อร์ก็ถือว่าดี ทว่าไม่ว่าจะดีแค่ไหน ก็ไม่มีชีวิตที่ดีเท่ากับติดตามใต้เท้าศาลาว่าการ
ว่านซื่อนึกถึงปีนั้นขึ้นมา
หลังจากเหตุการณ์เหมียวเอ้อร์ครั้งนั้น ว่านซื่อก็พาลูกสองคนกลับบ้าน นางหาเงินไม่เป็น บ้านเดิมของตัวเองก็เป็นครอบครัวที่ยากจน เมื่อก่อนพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองจะทำงานหาเงิน ทว่าตั้งแต่ที่เหมียวเอ้อร์ถูกจับ ท้องฟ้าของว่านซื่อก็พังทลายลง
พี่ใหญ่กับพี่รองไม่มาหาอีก ว่านซื่อจึงไปหาพวกเขา ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ทว่าพวกเขากลับขอร้องว่านซื่อว่าหากไม่มีธุระอะไรแล้วก็ไม่ต้องมาหาอีก สตรีที่ออกเรือนแล้วก็เหมือนกับน้ำที่สาดออก ไม่อาจกลับมาได้อีก
ว่านซื่อถูกครอบครัวบ้านเก่าที่ไร้ยางอายทำให้โกรธจนอาเจียนเป็นเลือด เมื่อครอบครัวตัวเองมีชีวิตที่ดี ครอบครัวบ้านเก่านี้ก็มาอยู่อาศัยในบ้านตระกูลเหมียว กินของนาง ดื่มของนาง ใช้ของนาง แทบจะพาทั้งคนแก่ทั้งเด็กหมดทั้งครอบครัวมา
กินแล้วก็ช่าง จะไปแล้วก็ยังเอาไปอีก เห็นอะไรที่ชอบใจก็ต้องหยิบไป
เมื่อพวกเขาจากไปแล้วที่บ้านไม่ขาดเนื้อก็ขาดไก่ เมื่อก่อนเหมียวเอ้อร์ทำงานเป็นหัวหน้าบัญชีในร้านอาหาร น้ำมันและของกินเพียงพอ ไม่เคยเกิดปัญหาเรื่องปากท้อง
ว่านซื่อคิดว่าพวกเขาเป็นครอบครัวบ้านเก่า เมื่อเห็นพวกเขามาประจบตัวเองในใจก็ยิ่งมีความรู้สึกฟุ้งเฟ้อรุนแรงขึ้น จึงปล่อยพวกเขาไป อย่างไรเสียที่บ้านก็ไม่ขาดแคลนของพวกนี้ เหมียวเอ้อร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ว่านซื่อเป็นผู้มีคุณูประการของตระกูลเหมียว ตัวเองเป็นสะใภ้ไม่อาจขุ่นเคืองใจ สะใภ้ของครอบครัวเดิมก็ยิ่งไม่อาจขุ่นเคืองใจ
ว่านซื่อดีต่อครอบครัวเก่ามาก มีกินมีดื่มก็เอาให้พวกเขา ต่อมาที่บ้านเกิดเรื่องขึ้น หากพูดตามหลักแล้วก่อนหน้านั้นเหมียวเอ้อร์ดีต่อพวกเขามาก พวกเขาเองก็ควรที่จะดีกับนางบ้าง
ว่านซื่อคิดผิดแล้ว ผิดอย่างมหันต์
ครอบครัวเก่าไล่นางออกมาอย่างกับเป็นโรคระบาด ไม่สนใจอะไรเลย
ว่านซื่อพาลูกทั้งสองออกไปทั้งที่ไม่มีรายได้ ทั้งครอบครัวเก่ายังไม่ให้ความช่วยเหลือ นางจะทำอะไรได้
ทรัพย์สินมากมายก็ถูกกินจนหมดเกลี้ยง กินหนึ่งวันอยู่ได้หนึ่งวัน
หลังจากนั้นครอบครัวก็ใกล้จะไม่มีเงินซื้ออาหารแล้ว ว่านซื่อจึงออกไปข้างนอกเพื่อหาดูว่ามีอะไรที่ทำได้บ้างหรือไม่
บังเอิญเจอกับลวี่เทา
เดิมทีลวี่เทาชื่นชมความงามของว่านซื่อมาตลอด แต่ว่าช่วงนั้นกำลังยุ่งพอดีจึงไม่มีเวลา ทว่าครั้งนี้ไม่ยุ่งแล้ว เมื่อออกมาข้างนอกแล้วบังเอิญเจอว่านซื่อ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าสวรรค์ทำให้สมความปรารถนา
ลวี่เทาเลี้ยงอาหารว่านซื่อ หลังจากฟังสิ่งที่เกิดขึ้นกับว่านซื่อแล้วก็ยิ่งเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ จึงเอ่ยบอกทันทีว่าในอนาคตจะคอยมาเยี่ยมเยียนว่านซื่อ
ดังนั้นทั้งสองก็เริ่มไปมาหาสู่กัน ในใจต่างก็มีความซ่อนเร้นไม่ชอบมาพากล พูดคุยปรึกษาโต้เถียงกันไปมาก็เนิบนาบขึ้นเตียงแล้ว
หลังจากนั้นต่อมา ว่านซื่อถูกลวี่เทาเกลี้ยกล่อมจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ตอนนั้นก็ย้ายบ้านทันที ไปอยู่ในบ้านเงียบสงบที่ลวี่เทาจัดซื้อให้นาง ลูกทั้งสองของว่านซื่อก็จัดเตรียมไว้ให้อยู่ข้าง ๆ กันอย่างดี
………………………………………………….