บทที่ 1267 เซี่ยเทียนหมิง
บทที่ 1267 เซี่ยเทียนหมิง
ตระกูลกัวไม่ชอบลูกเขยคนนี้เป็นอย่างมาก ฮูหยินสามแห่งตระกูลกัวก็ได้ยินมาว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้หญิงคนอื่นไปทั่ว และบุตรสาวของนางก็เป็นหนึ่งในนั้น
ใต้เท้าจ้าวคิดเรื่องนี้และกำลังจะพูดออกมา แต่ทันใดนั้นก็มีเจ้าหน้าที่รีบวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน “ใต้เท้า มีชายคนหนึ่งกำลังรออยู่ข้างนอก เขาอ้างว่ามาจากตระกูลกัวและต้องการพบใต้เท้า”
ทำไมถึงมาเวลานี้?
การปรากฏตัวของเขาทำให้ใต้เท้าจ้าวสงสัยเป็นอย่างมาก “รีบเชิญเข้ามา!”
กู้เสี่ยวหวานเม้มปากและลอบยิ้ม ความเร็วของตระกูลกัวนั้นรวดเร็วถึงใจริง ๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายอายุประมาณห้าสิบปีสวมชุดคลุมสีน้ำเงินก็เดินเข้ามา เขารีบมาจากเมืองหลวง แต่กลับไม่เห็นความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
ชายผู้นั้นเดินเข้ามาพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นสูงด้วยสีหน้าท่าทางที่สง่างาม เมื่อลวี่เทาเห็นก็ตกใจมากจนทรุดลงกับพื้นพลางมองผู้มาเยือนด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มของชายคนนั้น เขาประสานมือและทักทายใต้เท้าจ้าว
“ใต้เท้าจ้าว ข้า เซี่ยเทียนหมิง เป็นพ่อบ้านตระกูลกัว ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยือนใต้เท้าจ้าว”
เยี่ยมเยือน…
ใต้เท้าจ้าวยิ้มเยาะในใจ ตัวเองไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของเมืองหลิวเจีย นอกจากนี้เขาอยู่ที่เมืองรุ่ยเสียนมานานแล้ว และเขาไม่เคยเห็นใครจากตระกูลกัวมาหาเขาเลย ใต้เท้าจ้าวไม่คิดว่าเซี่ยเทียนหมิงคนนี้จะมาเยี่ยมเยือนตัวเองจริง ๆ
“พ่อบ้านเซี่ย เมืองหลวงอยู่ไกลจากหลิวเจียนัก และตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ทำไมพ่อบ้านเซี่ยถึงรีบมาที่นี่ ท่านมีเรื่องอะไรหรือไม่” ใต้เท้าจ้าวสงสัยมาก เมื่อครู่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับลวี่เทา ทำไมคนตระกูลกัวถึงมาที่นี่?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าตระกูลกัวรู้เรื่องของลวี่เทาแล้ว พวกเขาจึงส่งคนมาที่นี่?
แต่ดูไม่เหมือนแบบนั้นเลย
“ใต้เท้า ข้าก็มาที่นี่เพื่อฟังการพิจารณาคดีเช่นกัน นายท่านและคุณหนูสามเคยบอกไว้ว่า ถ้าลูกเขยทำอะไรให้คุณหนูสามเสียใจก็ให้ไล่เขาออกจากตระกูลกัวทันที” ดวงตาของเซี่ยเทียนหมิงเย็นชาเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปยังลวี่เทาที่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นไปแล้ว
ลวี่เทาฝืนยิ้มและกำลังจะประจบเซี่ยเทียนหมิง “พ่อบ้านเซี่ย ไม่เจอกันนาน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ไม่แย่ หลังจากใต้เท้าได้เป็นขุนนางระดับแปด ท่านทิ้งภรรยาไว้ตามลำพังเป็นเวลาหลายปี แม้แต่บ้านของตัวเองก็ไม่ได้กลับด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าลูกเขยคนนี้มีเรื่องอะไรถึงกลับไปไม่ได้ หรือเมื่อทำให้สาวงามตั้งท้องก็ลืมคุณหนูสามไปเสียสนิท”
เซี่ยเทียนหมิงมองหญิงผู้มีเสน่ห์ที่คุกเข่าอยู่ จากนั้นพูดกับลวี่เทาอย่างตรงไปตรงมา ลวี่เทาหวาดกลัวมากจนรีบแก้ตัว “พ่อบ้านเซี่ย ไม่… ไม่… มีเรื่องมากมายในเมืองหลิวเจีย ดังนั้นข้าจึงไม่ได้กลับไปเยี่ยมฮูหยิน ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง”
เซี่ยเทียนหมิงแค่มองเพียงแวบเดียวก็เข้าใจ “ท่านยังจำได้อีกหรือ ฮูหยินสบายดีมาก”
“สบายดีก็ดีแล้ว สบายดีก็ดีแล้ว” ลวี่เทาพูดซ้ำ ๆ อย่างตื่นตระหนก “พ่อบ้านเซี่ย เจ้าเพิ่งมาจากเมืองหลวง การเดินทางคงเหนื่อยมาก ไม่อย่างนั้นข้าจะให้ลูกน้องพาเจ้าไปพักผ่อนสักครู่ พรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน”
ลวี่เทาต้องการพาเซี่ยเทียนหมิงออกไป ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะไปยุ่งด้วยได้
กู้เสี่ยวหวานมองเห็นการแสดงออกของลวี่เทาและชายคนที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยเทียนหมิง ขณะที่ลวี่เทาพูด ใบหน้าของเขาก็มีความประจบสอพลอ นี่จะเป็นเจ้านายและทาสได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าลวี่เทามีสีหน้าเหมือนคนรับใช้ที่กำลังประจบเซี่ยเทียนหมิงที่เป็นเจ้านาย
เมื่อมองใบหน้าที่แสดงออกถึงความรังเกียจและขยะแขยงของเซี่ยเทียนหมิงยามที่เขามองไปที่ลวี่เทา ก็เห็นได้ไม่ยากว่าสถานะของลวี่เทาในตระกูลกัวนั้นแย่กว่าคนรับใช้เสียอีก
เซี่ยเทียนหมิงแสดงความรังเกียจบนใบหน้าของเขา “ไม่จำเป็น นายท่านสั่งให้ข้ามาจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด ที่บ้านยังมีหลายสิ่งที่รอให้ข้าไปจัดการอยู่ ทำไมไม่หาเก้าอี้มาให้ข้านั่งล่ะ”
เซี่ยเทียนหมิงพูดเน้นคำว่า ‘บ้าน’ ลวี่เทาซึ่งเป็นคนในตระกูลกัวก็ไม่มีเหตุผลที่จะหักล้างอะไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่พูดอย่างงุ่มง่ามว่า “เฮ้ เฮ้ ตกลง ตกลง พวกเจ้ารีบหาเก้าอี้มาให้พ่อบ้านเซี่ยที” มีแววของความชั่วร้ายและความเกลียดชังในดวงตาของเขา
เจ้าหน้าที่ยกเก้าอี้มาให้ และเซี่ยเทียนหมิงก็นั่งลง
แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นพ่อบ้าน แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ได้รับความชื่นชอบจากตระกูลกัวเป็นอย่างมาก
กู้เสี่ยวหวานสามารถเห็นได้จากการแสดงออกของลวี่เทา
พ่อบ้านตระกูลกัวเป็นคนรับใช้ แต่เขาออกคำสั่งกับลวี่เทาตลอดเวลา ดูเหมือนว่าสถานะของลวี่เทาในตระกูลกัวจะตกต่ำมากจริง ๆ
“ใต้เท้าจ้าว ข้ามาที่นี่แล้ว เมื่อครู่พวกท่านกำลังพูดอะไรก็พูดต่อเถอะ” เซี่ยเทียนหมิงพูดอย่างพึงพอใจ
ลวี่เทาเหงื่อออกอีกครั้งด้วยความตกใจและรีบส่งสายตาให้ใต้เท้าจ้าว
พ่อบ้านของตระกูลกัวมีความเย่อหยิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าใต้เท้าจ้าว เขาก็มีสีหน้าเย่อหยิ่ง ดูเหมือนว่าสถานะของตระกูลกัวจะสูงส่งไม่น้อยเลย
ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะมีเวลาคาดเดา ลวี่เทาก็พูดอย่างกระวนกระวาย “ใต้เท้า การเสียชีวิตของหลี่ซื่อยังไม่พบว่าใครคือฆาตกรตัวจริง และนี่ก็ดึกมากแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราเลื่อนการพิจารณาคดีออกไปก่อนเถอะ”
“เลื่อนออกไป?” เซี่ยเทียนหมิงมีสีหน้างุนงง “ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่และยังไม่ได้ยินอะไรเลย เหตุใดจึงต้องเลื่อนออกไปก่อนด้วยเล่า”
ลวี่เทารีบเดินไปข้างหน้าเพื่ออธิบายกับเซี่ยเทียนหมิง “พ่อบ้านเซี่ย พ่อบ้านเซี่ย แค่มีคนเสียชีวิตและเรากำลังตามหาฆาตกร มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย พ่อบ้านเซี่ยเดินทางมาอย่างยากลำบาก ดังนั้นรีบไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
เซี่ยเทียนหมิงชำเลืองมองลวี่เทา จากนั้นมองไปรอบ ๆ เขาเห็นผู้คนนั่งคุกเข่าอยู่ในห้องโถง มีทั้งชายและหญิง เซี่ยเทียนหมิงชี้ไปที่หนึ่งในนั้นแล้วถามว่า “คนผู้นี้เป็นผู้ต้องสงสัยด้วยหรือไม่”
“แม่นาง ท่านรู้ไหมว่าใครเป็นฆาตกร” จู่ ๆ เซี่ยเทียนหมิงก็ถามขึ้น และว่านซื่อก็ตกใจกับคำถามของเขาและตอบว่า “ข้า… ข้าไม่รู้”
“แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่” เซี่ยเทียนหมิงถามนางอีกครั้ง
ใบหน้าของว่านซื่อแสดงอาการตกตะลึง และไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของคนผู้นี้อย่างไร “ข้าแค่…”
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้อะไรเลย แล้วทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?” เซี่ยเทียนหมิงถามด้วยใบหน้าไม่พอใจ “เจ้าไม่รู้อะไรเลย แต่มาที่นี่เพื่อชะลอการพิจารณาคดีของใต้เท้า ผู้หญิงเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าช่างมีความกล้ามากเสียจริง”
………………………………………………….
บทที่ 1268 เล่าเรื่องบนเตียง
บทที่ 1268 เล่าเรื่องบนเตียง
เซี่ยเทียนหมิงเลิกคิ้วและกล่าวโทษว่านซื่อ มันทำให้ว่านซื่อรู้สึกอายและไม่สามารถพูดอะไรได้
หลิวชิงซานที่อยู่ด้านข้างจึงพูดขึ้น “ท่านคงไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นนางบำเรอของใต้เท้าลวี่ ข้าเห็นกับตาว่าพวกเขาสองคนอยู่บนเตียงเดียวกัน”
ในขณะนี้ ใบหน้าของว่านซื่อแดงก่ำและรู้สึกอับอายเสียจนนึกอยากจะเอาศีรษะมุดลงดิน ถ้ามีใครมาเห็นความสัมพันธ์ของตน ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกอับอาย
ลวี่เทาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยกเท้าขึ้นราวกับว่าเขากำลังจะเตะหลิวชิงซานด้วยความโกรธ “เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไร ไอ้สารเลวไร้ยางอาย”
ว่านซื่อรู้สึกอับอายและโกรธเคือง นางก้าวไปข้างหน้าเพื่อจิกใบหน้าของหลิวชิงซานด้วยเล็บของนาง และหลิวชิงซานไม่สามารถหลบได้ทันเวลา ทั้งคู่จิกทึ้งต่อสู้กันอยู่นาน สุดท้ายหลิวชิงซานก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ใบหน้าของว่านซื่อก็ถูกข่วนจนมีเลือดซิบ ๆ หลายจุด
แต่หลิวชิงซานที่หลบเอาแต่สบถว่า “ทำไม เจ้าทำสิ่งที่ไร้ยางอายแล้วกลัวว่าคนอื่นจะเห็นมัน และกลัวว่าคนอื่นจะเอามันไปพูดถึงอย่างนั้นหรือ! ข้าจะพูด ข้าจะพูด ร่างกายของเจ้าถูกกระแทกกระทั้นอยู่ใต้ร่างของเขา ท่าทางน่าอายนั่น เหอะ! ไม่แปลกใจเลยที่สาวใช้ข้างกายจะเรียกเจ้าว่านังจิ้งจอก”
เดิมหลิวชิงซานเป็นอันธพาล เขาพูดในสิ่งที่เขาคิด บรรยายทุกสิ่งที่เห็นและได้ยินครั้งสุดท้ายต่อหน้าทุกคน
หลิวชิงซานคอยหลบการโจมตีของทั้งสอง ในขณะที่ปากก็พูดอธิบายอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินในวันนั้น
กู้เสี่ยวหวานยังเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ใบหน้าของนางหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินหลิวชิงซานพูดแบบนั้น นางหันมองไปทางอื่นและไม่ต้องการดูการแสดงของหลิวชิงซาน
ว่านซื่อรู้สึกอับอายกับคำพูดออกรสออกชาติของหลิวชิงซาน
เดิมทีนี่เป็นเรื่องบนเตียงระหว่างคนสองคน แต่หลิวชิงซานเล่าให้คนอื่นฟังอย่างโจ่งแจ้งหลังจากที่เขาเห็นมัน เขากำลังฆ่านางให้ตายทั้งเป็น
แล้วเช่นนี้นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน
ว่านซื่อคำรามออกมาด้วยความโกรธ เมื่อเห็นว่านางไม่สามารถเข้าใกล้หลิวชิงซานได้เลย จึงคำรามด้วยความโกรธ หันหลังกลับและวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ที่มีมีดเหน็บเอว นางดึงมีดออกมา ยกมีดขึ้น กรีดร้องเสียงดัง และฟันไปที่หลิวชิงซาน
เมื่อทุกคนเห็นเหตุการณ์ในห้องโถงก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
อาจั่วใช้ร่างกายขว้างไว้หน้ากู้เสี่ยวหวานและยกดาบในมือขึ้น กลัวว่าการกระทำโดยประมาทของว่านซื่ออาจทำให้กู้เสี่ยวหวานโดนลูกหลง
ในขณะนี้ ดวงตาของว่านซื่อแดงก่ำ นางยกมีดขึ้นเหนือศีรษะและจ้วงแทงไปที่หลิวชิงซาน
หลิวชิงซานตกใจมากเมื่อเห็นท่าทางเสียสติของว่านซื่อ และวิ่งหนีไปโดยไม่แม้แต่จะคิดเรื่องนี้ พลางร้องโหวกเหวกโวยวาย “ช่วยด้วย นางจะฆ่าคนแล้ว!”
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่วุ่นวายในห้องโถง ใต้เท้าจ้าวก็ขมวดคิ้ว ทุบค้อนและตะโกนอย่างดุดัน “พวกเจ้า หยุดว่านซื่อเสีย!”
ว่านซื่อถือมีดตวัดไปมา ท่าทางของนางดูน่ากลัว เจ้าหน้าที่ก้าวไปข้างหน้าและจับกุมนางไว้แน่น ทำให้นางขยับไม่ได้ เจ้าหน้าที่อีกคนจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อคว้ามีดในมือของนางไว้ และใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้กดร่างของนางลงกับพื้น
“ว่านซื่อผู้นี้กล้าหาญเสียจริง คิดจะฆ่าคนต่อหน้าศาลอย่างนั้นหรือ มาจับนางเอาไว้”
ใต้เท้าจ้าวมีสีหน้าบึ้งตึง ว่านซื่อกำลังจะฆ่าคนในศาลาว่าการอย่างเปิดเผย ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปได้ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
นอกจากนี้ยังมีท่านเสี้ยนจู่และพ่อบ้านตระกูลกัวอยู่ที่นี่
พวกเขาเป็นคนที่ตัวเองไม่สามารถรุกรานได้ ถ้าทุกคนบังเอิญได้รับบาดเจ็บเพราะว่านซื่อ ตัวเองคงจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ
ในไม่ช้าก็มีคนจับว่านซื่อใส่กุญแจมือ หญิงวัยกลางคนร้องคำรามและดีดดิ้นไม่หยุด ปากก็เอาแต่ตะโกนว่าต้องการฆ่าไม่หยุด เนื่องจากสถานการณ์ชุลมุนเมื่อครู่ ผมเผ้าของว่านซื่อจึงยุ่งเหยิงกระจัดกระจายสยายอยู่ด้านหลังศีรษะ ท่าทางที่ดุร้ายและน่ากลัวนี้ทำให้ลวี่เทาตัวสั่นด้วยความกลัว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่านซื่อเป็นแบบนี้
เมื่อครู่นี้ ว่านซื่อกำลังจะฆ่าหลิวชิงซาน ลวี่เทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าว่านซื่อจะโจมตีเขาได้ แต่ความสุขของเขาก็หายไปเมื่อว่านซื่อถูกจับตัวได้
หลังจากลอบมองเซี่ยเทียนหมิง ใบหน้าของชายคนนั้นก็เต็มไปด้วยความมืดมน
ในขณะนี้ เซี่ยเทียนหมิงกำลังจ้องมองลวี่เทาอย่างดุดัน
ขณะที่ลวี่เทามองไป เขาก็บังเอิญสบตากับเซี่ยเทียนหมิง ลวี่เทาก้มหน้างุดด้วยความตกใจและร้องออกมาว่า “พ่อบ้านเซี่ย ข้าถูกใส่ร้าย ข้าถูกใส่ร้าย คนอื่นใส่ร้ายข้า ข้าไม่ได้ทำเรื่องผิดต่อฮูหยิน”
ลวี่เทากล่าวว่าหลิวชิงซานกำลังพูดเรื่องไร้สาระ แต่การแสดงออกของเซี่ยเทียนหมิงนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ลวี่เทากลัวเซี่ยเทียนหมิงมาก ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะมีความสำคัญมากในตระกูลกัว
กู้เสี่ยวหวานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าในความเป็นจริง สิ่งที่นางคิดก็ไม่ผิด
พ่อของเซี่ยเทียนหมิงผู้นี้ได้ช่วยชีวิตท่านผู้เฒ่าของตระกูลกัวเอาไว้ ต่อมาเมื่อตระกูลกัวเจริญรุ่งเรือง พวกเขาจึงไม่ลืมความเมตตาของตระกูลเซี่ย ดังนั้นเขาจึงเชิญตระกูลเซี่ยเข้ามาเป็นพ่อบ้านของตระกูลกัว
ในความเป็นจริง ตระกูลกัวทั้งหมดยกเว้นคนที่ไม่ใช่แซ่กัว ก็ไม่มีใครมีสถานะสูงกว่าสมาชิกของตระกูลเซี่ย
รวมถึงลูกเขยทั้งสามของลูกสาวทั้งสามของตระกูลกัว ต่อหน้าเซี่ยเทียนหมิงจะมีใครเรียกพ่อบ้านเซี่ยอย่างไม่สุภาพกัน?
นับประสาอะไรกับลูกเขยคนโตและลูกเขยคนรองของตระกูลกัวที่มีความก้าวหน้า ลวี่เทาก็ยิ่งหวาดกลัว
ลวี่้ทาคุกเข่าลงบนพื้นและแทบจะร้องไห้ออกมา พลางดึงรั้งกางเกงของเซี่ยเทียนหมิง
ความขี้ขลาดดังกล่าวทำให้กู้เสี่ยวหวานหันมองไปทางอื่น
ไม่มีความเย่อหยิ่งอีกต่อไป
“พ่อบ้านเซี่ย ข้าไม่ได้ทำ คนอันธพาลพวกนี้ใส่ร้ายข้า ข้าไม่ได้ทำ” ลวี่เทาร้องไห้อย่างน่าสมเพช
หลิวชิงซานจะทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงได้อย่างไร “ใต้เท้า อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขา เมื่อครู่ลูกพี่ลูกน้องของเขายังบอกอีกว่า คนผู้นี้ขอให้เขาสั่งจ่ายยาเพื่อให้หญิงคนนี้แท้ง ถ้าไม่เชื่อ ทำไมไม่ถามดูเขาล่ะ”
เซี่ยเทียนหมิงไม่ได้ละสายตาไปจากลวี่เทา ความดุร้ายในดวงตาของเขาทำให้ลวี่เทารู้สึกว่ามีมีดแหลมจ่ออยู่ที่คอ ซึ่งมันอาจปลิดชีวิตตนได้ทุกเมื่อ มันรู้สึกราวกับว่าจะแยกศีรษะและร่างกายของเขาออกเป็นสองส่วน