บทที่ 1271 ขบวนประณาม
บทที่ 1271 ขบวนประณาม
“หวานเอ๋อร์…” ฉินเย่จือลำคอแห้งผาก ริมฝีปากซีดขาวแห้งกร้านเนื่องจากขาดน้ำเป็นเวลานาน
“อาโม่” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทม
ครั้นอาโม่ได้ยินเสียงของหญิงสาว จึงรีบปรี่เข้าไปปลดโซ่ตรวนอย่างรวดเร็ว และปล่อยร่างกายของฉินเย่จือลงมา
ในที่สุด เมื่อเท้าทั้งสองข้างแตะลงบนพื้น ฉินเย่จือยังรู้สึกไม่คุ้นชินเล็กน้อย ร่างกายจึงซวนเซยืนได้ไม่มั่นคง หากแต่เขาไม่ได้สนใจมันมากนัก แม้ว่าเท้าของเขาจะเกิดอาการเหน็บชา แต่ก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว คว้าร่างของกู้เสี่ยวหวานมากอดเอาไว้แน่น พลางเอ่ยกระซิบแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน “หวานเอ๋อร์…”
กู้เสี่ยวหวานไม่มีเวลามาพิรี้พิไรพร่ำพรรณนาว่าตนเองคิดถึงเขาเพียงใด นางทำเพียงหยิบขวดน้ำส่งให้ฉินเย่จือดื่มทันที
ฉินเย่จือรับน้ำมาดื่มด้วยความหิวกระหาย ชายหนุ่มดื่มน้ำโดยไม่หยุดพัก ไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่วัน ใบหน้าของเขานั้นเปรอะเปื้อนมอมแมมไปด้วยคราบฝุ่น ริมฝีปากซีดเซียว ยิ่งกู้เสี่ยวหวานมอง นางก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ หญิงสาวโผเข้าไปกอดฉินเย่จืออีกครั้ง และสะอื้นไห้เสียงแผ่วเบา “พี่เย่จือ…”
อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ได้รับการคลี่คลาย
เมื่อทุกคนกลับมาถึงร้านจิ่นฝู โจ๊กรังนกก็ถูกเคี่ยวจนเดือด และน้ำร้อนก็ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว
อาโม่รอจนกระทั่งฉินเย่จืออาบน้ำชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว โจ๊กรังนกก็ถูกยกเข้ามาพอดี
ช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมานั้นไม่มีสิ่งใดตกลงถึงท้อง และตอนนี้กระเพาะของเขาก็เริ่มส่งเสียงร้องประท้วง แม้ว่าเจ้าหน้าที่ทางการจะไม่ทรมานเขา แต่ฉินเย่จือก็ใช้พลังงานจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงการทรมานตนเอง
ตอนนี้หลังจากอาบน้ำและทานอาหารเรียบร้อย เขาก็รู้สึกว่าตนเองกลับมามีเรี่ยวแรงเช่นเดิม
เสี่ยวเหลี่ยงจือเองก็ถูกกู้เสี่ยวหวานรับกลับมายังสวนกู้ ตามหมอมารักษาบาดแผลให้เด็กหนุ่ม เมื่อกินข้าวต้มเข้าไปแล้ว ไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไป
กู้เสี่ยวหวานกังวลว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฉินเย่จือจะไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ดังนั้นจึงบอกให้เขาเข้านอนแล้วขอตัวออกมา
แม้ว่าร้านจิ่นฝูจะถูกปิดอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากเท่าไร เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเรื่องนี้ได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว หลี่พ่างจื่อและเกาจื่อก็รู้สึกตื่นเต้น พวกเขารีบไปตลาดเพื่อเตรียมวัตถุดิบมากมาย โดยบอกว่าคืนนี้พวกเขาจะฉลองกันเต็มที่
ป้าจางและกู้ฟ่างสี่ต่างรู้สึกมีความสุขจนเก็บไว้ไม่อยู่ เพื่อเห็นว่าพวกเขามีความสุขมากเพียงใด กู้เสี่ยวหวานก็ติดตามพวกเขาไป
แต่จนกระทั่งตอนนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ยังขบคิดบางเรื่องอยู่ ร้านจิ่นฝูปิดทำการมาหลายวัน แน่นอนว่าพวกเขาต้องเปิดร้านอีกครั้งโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น ลวี่เทากล่าวว่าลูกจ้างของร้านจิ่นฝูซัดทอดว่านางเป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด หากจะบอกว่าไม่รับผลกระทบก็คงจะไม่จริง เพราะเรื่องนี้ก็ยังทำให้เกิดกระแสลบกับร้านจิ่นฝูไม่มากก็น้อย และแน่นอนว่ามันจะต้องส่งผลต่อกิจการของร้านจิ่นฝูในอนาคตอย่างแน่นอน
ป้ายหน้าร้านจิ่นฝูเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ทางการ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ทางการจะต้องคืนชื่อเสียงให้ร้านจิ่นฝู
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานจัดแจงหาที่พักในร้านให้ฉินเย่จือเรียบร้อยแล้ว นางก็เตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังศาลาว่าการพร้อมกับอาโม่และอาจั่ว เมื่อใต้เท้าจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ถึงตอนนั้นทุกคนคงจะกลับมามีความสุขอีกครั้ง
ยังไม่ทันที่กู้เสี่ยวหวานจะย่างกรายออกจากประตูร้านจิ่นฝู นางก็เหลือบไปเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนของศาลาว่าการกำลังลากวัวเทียมเกวียนตรงเข้ามา คนที่อยู่บนเกวียนนั้นคือ เหลยต้าเซิ่ง กู้ฉวนลู่ และหลิวชิงซานในชุดนักโทษ
เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการถือฆ้องและตะโกนขึ้น “ทุกคนโปรดฟังข้าให้ดี เหลาต้าเซิ่งวางยาผู้บริสุทธิ์จนถึงแก่ความตาย เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านจิ่นฝู ตอนนี้ข้าพาฆาตกรมาเพื่อให้ร้านจิ่นฝูชำระล้างความคับแค้นใจ”
เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการเดินเข้ามาหยุดลงตรงหน้ากู้หวานเสี่ยว จากนั้นโค้งคำนับด้วยความสุภาพ “เสี้ยนจู่ ใต้ท้าวของข้าน้อยสั่งให้สามคนนี้มาที่ร้านจิ่นฝูเพื่อแก้ไขและคืนชื่อเสียงให้แก่ท่าน”
“แล้วใต้เท้าของเจ้าล่ะ?” ใต้เท้าจ้าวเป็นผู้นี้ตัดสินคดีด้วยความรอบคอบ กู้เสี่ยวหวานอยากจะกล่าวขอบคุณเขาจากใจจริง
“ใต้เท้าจ้าวล่วงหน้ากลับไปยังเมืองรุ่ยเสียนแล้วขอรับ และสั่งให้ข้าน้อยพาคนไร้ยางอายเหล่านี้มาเดินประจานเป็นเวลาสามวัน”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและฝากเจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการไปขอบคุณใต้เท้าจ้าวแทนนางด้วย จากนั้นก็มองกู้ฉวนลู่ ไม่นานคนทั้งสามก็ถูกลากออกไปภายใต้สายตาของนาง
แม้ว่าผู้ตายจะไม่ใช่คนดี แต่ในเมืองหลิวเจียซึ่งไม่มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญเกิดขึ้นมานานแล้ว สิ่งนี้ก็เท่ากับเป็นภัยครั้งยิ่งใหญ่
ผู้คนในเมืองหลิวเจียใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและซื่อสัตย์ ดังนั้นพวกเขาจึงเย้ยหยันพวกเหลยต้าเซิ่งที่ทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้
มีผู้คนมากมายหลายคนขว้างไข่และผักใส่เหลยต้าเซิ่งและคนอื่น ๆ และด่าทอพวกเขาด้วยความคับแค้นใจ “คนสารเลว!”
เมื่อหลิวชิงซานเห็นว่ามีคนปาไข่เน่าใส่ตนเอง เขาก็ตะโกนลั่นทันที “ฆาตกรคือเหลยต้าเซิ่ง เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวข้องกับข้า หากพวกเจ้าอยากจะทำอะไรก็ให้ลงมือกับเขาไม่ใช่ข้า”
เสียงร้องของหลิวชิงซานถูกกลบด้วยเสียงด่าทอดังสนั่นของคนทั่วไป และสิ่งของที่อยู่ในมือของทุกคนก็ถูกโยนใส่พวกเขาทั้งสามอย่างแม่นยำ
เมื่อวัวเทียมเกวียนของกู้ฉวนลู่เคลื่อนผ่านหน้ากู้เสี่ยวหวาน หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่กู้ฉวนลู่ในเครื่องแบบนักโทษ ผมที่เดิมทีเคยหวีอย่างพิถีพิถันตอนนี้กลับยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ซากผักเน่าและไข่เหนียวเหนอะหนะบนผมทำให้เขารู้สึกอับอาย
กู้เสี่ยวหวานมองเห็นดวงตาแดงก่ำของกู้ฉวนลู่ได้อย่างชัดเจน แม้ว่ามันจะถูกผมยาวรุงรังปรกหน้า แต่สายตาคู่นั้นกำลังจ้องมองนางอย่างดุดัน
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าครั้งนี้ตนเองทำให้เขาทุกข์ทรมานอย่างหนัก เกรงว่าครั้งนี้กู้ฉวนลู่คงจะเกลียดนางเข้าไส้ หากตอนนั้นเขาไม่หาเรื่องนางก่อน นางก็คงไม่ทำเช่นนี้ หากจะโทษก็คงจะต้องโทษจะตัวเขาเอง
กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นและมองไปที่กู้ฉวนลู่โดยไม่แสดงความอ่อนแอใด ๆ และไม่แม้แต่จะหวาดกลัวแววตาอันดุร้ายคู่นั้น
ชื่อเสียงของร้านจิ่นฝูได้รับการแก้ไขแล้ว และเรื่องของคนตายก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านจิ่นฝู แน่นอนว่าร้านจิ่นฝูจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้
ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานหมุนตัวกลับเข้าไปในร้านก็มีใครบางคนหยุดนางเอาไว้ หญิงสาวลอบมองอย่างละเอียดก็พบว่าพวกเขาคือนักชิมอาหารที่มักจะมาทานอาหารที่ร้านตนเอง ในขณะนี้คนทั้งหมดมารวมตัวกันตรงหน้ากู้เสี่ยวหวาน แล้วกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “เสี้ยนจู่ ร้านจิ่นฝูของท่านจะเปิดอีกครั้งเมื่อใด”
“ใช่แล้ว พวกเราทุกคนกำลังรอให้ร้านจิ่นฝูเปิดอยู่ทุกวัน ข้ารู้สึกว่าหากไม่ได้กินอาหารของร้านจิ่นฝู สักวันข้าคงจะแทบขาดใจตาย”
“ใช่ ๆ ทุกวันนี้ข้ากินอาหารร้านอื่น กินอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกปาก อาหารที่ร้านจิ่นฝูอร่อยกว่าร้านเหล่านั้นมาก”
กู้เสี่ยวหวานฟังคนเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ร้านจิ่นฝูกำลังจะกลับมาเปิดอีกครั้งตามปกติ แต่พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป ตอนนี้ข้าคิดว่าการตกแต่งบางอย่างของร้านจิ่นฝูค่อนข้างล้าสมัย ถึงเวลาต้องตกแต่งใหม่เสียที”
“จะต้องใช้เวลานานเท่าใดหรือเสี้ยนจู่ พวกเรากำลังรออาหารเย็นจากร้านจิ่นฝูอยู่นะ”
แขกคนหนึ่งพูดอย่างเศร้าสร้อยด้วยใบหน้าที่ขมขื่น ซึ่งดูเหมือนจะหมายถึงการร้องบอกกู้เสี่ยวหวานว่าหากร้านจิ่นฝูไม่เปิด เขาก็จะไม่มีอะไรกิน
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม คนเหล่านี้ไว้วางใจร้านจิ่นฝูมาก กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกขอบคุณพวกเขาด้วยใจจริง และพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวล การปรับปรุงร้านครั้งนี้ เราจะดำเนินการอย่างเร็วที่สุดและพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ร้านจิ่นฝูสามารถเปิดได้ในอีกครึ่งเดือน เมื่อถึงเวลานั้นจะมีส่วนลดเล็กน้อยจากร้านจิ่นฝู และจะมีสูตรอาหารใหม่ ๆ มากมายในร้าน ข้าหวังว่าทุกคนจะมาที่ร้านของข้า”
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ร้านจิ่นฝูไม่เคยเสนอส่วนลด แต่ครั้งนี้เมื่อกู้เสี่ยวหวานเอ่ยปาก ทุกคนจึงเฮลั่นด้วยความดีใจ
กู้เสี่ยวหวานยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นจึงพูดบางอย่างกับพวกเขาอีกสองสามคำ ก่อนจะขอตัวเข้าร้านไป
ตอนนั้นเองที่กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สังเกตว่ามีรถม้าจอดอยู่ไม่ไกลจากร้านจิ่นฝู ภายใต้ม่านที่ปิดอยู่ ปรากฏเงาของผู้หนึ่งขึ้น
คนผู้นั้นคือ พ่อบ้านเซี่ยจากตระกูลกัว เขาเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ไม่ธรรมดา และเมื่อคืนเขาก็เห็นคนผู้หนึ่งอยู่ในห้องโถงพิจารณาคดี
หญิงสาวอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ผิวพรรณขาวนวล ริมฝีปากแดงระเรือ และฟันขาวสะอาด ทุกการเคลื่อนไหวของมือและทุกย่างก้าวแสดงให้เห็นถึงความสง่าของสตรีผู้สูงศักดิ์
เซี่ยเทียนหมิงมองหญิงสาวผู้คนนั้นด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนคนรับใช้เอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “พ่อบ้านเซี่ย แม่นางผู้นั้นคือเสี้ยนจู่ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้”
เซี่ยเทียนหมิงมองไปที่แผ่นหลังของกู้เสี่ยวหวานด้วยแววตาเป็นประกาย
ชายคนนั้นยังพูดอีกว่า “แม่นางผู้นี้มีสถานะอย่างไรในเมืองหลวง ข้าไม่อาจรู้ได้ ว่ากันว่านางเป็นหญิงสาวชนบท นิสัยหยาบคาย ผอมแห้งแรงน้อย ข่าวลือเหล่านั้นช่วงน่ารังเกียจนัก ข้าพบว่าแท้จริงแล้วนางไม่ใช่คนหยาบคาย ทุกการกระทำและทุกท่วงท่าสง่างามอ่อนโยน ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางในเมืองหลวง”
เมื่อคิดว่ามีคนมากมายในเมืองหลวงพูดถึงเสี้ยนจู่ลับหลัง เซี่ยเทียนหมิงก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย ครั้นเด็กรับใช้ผู้นั้นเห็นจึงรีบเอ่ยถาม “พ่อบ้านเซี่ย ท่านขำสิ่งใดหรือขอรับ?”
“เปล่าหรอก พวกเรารีบกลับกันเถอะ ป่านนี้นายท่านคงรอเราอยู่” เซี่ยเทียนหมิงปิดม่านและพูดด้วยรอยยิ้ม
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการในร้านจิ่นฝู แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะต้องการเปิดร้านจิ่นฝูอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ แต่มันก็ยังมีปัญหารออยู่ หากไม่ได้รับการแก้ไข ร้านจิ่นฝูจะไม่สามารถเปิดได้
สิ่งแรกที่ต้องแก้ไขคือ ปัญหาของมนุษย์
ครั้งล่าสุดที่ลวี่เทาจับลูกจ้างของร้านไป นอกจากเสี่ยวเหลียงจื่อแล้ว พวกเขาเหล่านั้นทรยศต่อกู้เสี่ยวหวาน
แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่ได้ตำหนิพวกเขา แต่กู้เสี่ยวหวานจะไม่มีวันรับพวกเขากลับมาทำงานอีกครั้งเป็นแน่
………………………………………………….
บทที่ 1272 ข้าก็มีเนื้อหนังมังสา
บทที่ 1272 ข้าก็มีเนื้อหนังมังสา
ตอนที่กำลังคิดว่าจะรับสมัครคนจากที่ใด เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในประตูก็ได้ยินเสียงแหลมเสียดหูของหลี่พ่างจื่อดังมาจากในร้านจิ่นฝู “พวกเจ้ายังมีหน้ากลับมาที่นี่อีกงั้นหรือ พวกเจ้าหักหลังเถ้าแก่ของเรา ฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า”
จากนั้นก็ตามด้วยเสียงของเกาจื่อ “เจ้าไม่ได้ถูกทรมานใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงหักหลังเถ้าแก่ของพวกเรา เถ้าแก่ใจดีกับเจ้าแค่ไหนเคยคิดถึงสิ่งนี้บางหรือไม่ เจ้าลองมองอดีตของเจ้าเสีย และคิดถึงชีวิตปัจจุบันของเจ้า การที่พวกเจ้าได้กินอิ่มนอนหลับ มีเสื้อผ้าดี ๆ สวมใส่ มีเงินไว้ได้ใช้จ่าย มีเงินพิเศษในช่วงเทศกาล เจ้าจะหาเจ้านายแบบนี้ได้ที่ไหนอีก พวกเจ้ายังคิดว่าตนเองเหมาะกับการกลับมาที่นี่อีกหรือไม่”
“เสี่ยวเหลียงจื่อโดนลงโทษปางตาย แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะทรยศเถ้าแก่เลยแม้แต่น้อย เจ้าเป็นคนที่เขาพามาทำงานที่นี่ แล้วมองดูสิ่งที่เจ้าปฏิบัติต่อเสี่ยวเหลียงจื่อสิ!” หลี่พางจื่อเกลียดเหล็กที่ไม่เป็นเหล็กกล้า
พวกเขาเหล่านี้ถูกแนะนำเข้ามาโดยเสี่ยวเหลียงจื่อในเวลานั้น ในอดีตพวกเขาเหล่านั้นติดตามเหลียงจื่อเพื่อทำงานแปลก ๆ ข้างนอกเพื่อหาเลี้ยงชีพเช่นการเป็นขอทาน ต่อมาเมื่อเสี่ยวเหลียงจื่อได้ทำงานในร้านจิ่นฝู เขาก็แนะนำคนเหล่านี้ให้แก้กู้เสี่ยวหวาน บอกว่าทุกคนมีนิสัยดี ทำงานหนัก แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปขอทานหาเลี้ยงตัวเองเพราะความยากจน
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าคนเหล่านี้ยังเด็กและอาจจะเป็นภาระของครอบครัว กู้เสี่ยวหวานชื่มชมความขยันของเสี่ยวเหลียงจื่อเสมอ และเมื่อเขาแนะนำคนเหล่านี้มา นางจึงยอมรับพวกเขาโดยปริยาย
ในเวลานั้น พวกเขาตกลงที่จะให้เสี่ยวเหลียงจื่อชี้แนะพวกเขาเพื่อทำความคุ้นเคยกับงาน และแม้กระทั่งจัดแบ่งงานเฉพาะสำหรับพวกเขา
กู้เสี่ยวหวานพอใจกับความขยันของคนเหล่านี้ ตามที่เสี่ยวเหลียงจื่อกล่าวว่าทำงานหนักและตั้งใจทำงาน พูดจาไพเราะ กู้เสี่ยวหวานจึงปฏิบัติต่อน้องชายเหล่านี้อย่างเท่าเทียมกัน
ความเมตตาที่ร้านจิ่นฝูมอบให้พวกเขา เกรงว่าคงไม่มีใครเทียบได้ นอกจากนี้ร้านจิ่นฝูยังเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในหลิวเจีย ผู้ชายทุกคนในร้านอาหารนี้มีเครื่องแบบและได้รับการปฏิบัติที่ดี
คนเหล่านี้มีช่วงเวลาที่ดีในการทำงานที่ร้านจิ่นฝู และพวกเขาก็ทราบซึ้งน้ำใจของกู้เสี่ยวหวานยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์นี้ พวกเขาคงจะทำงานในร้านจิ่นฝูไปตลอดชีวิต
เมื่อกู้เสี่ยวหวานก้าวเข้าไปในร้าน ก็เห็นอดีตลูกจ้างของตนเองคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหลี่พ่างจื่อและเกาจื่อ นางสันนิษฐานว่าพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อยอมรับความผิดพลาดของตนเอง
หลี่พ่างจื่อตื่นเต้น เนื่องจากร่างกายของเขาค่อนข้างใหญ่ ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงยามที่ตื่นเต้น เพียงแค่พูดไม่กี่คำ เหงื่อเย็นก็ไหลซึมเต็มหน้าผากของเขา ในขณะนี้เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยผ้ากันเปื้อนพร้อมกับใบหน้าที่กำลังโกรธเคือง
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังก้าวเข้ามาในร้าน พวกเขาทั้งหมดจึงหันกลับไปหาหญิงสาว เปลี่ยนตำแหน่งของพวกเขาโดยพร้อมเพรียงกัน คุกเข่าไปทางกู้เสี่ยวหวาน และขานเรียกนางอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาทั้งหมดเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “เถ้าแก่ เถ้าแก่ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ”
อดีตลูกจ้างทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและละอายใจ พวกเขาไม่กล้ามองสบตากู้เสี่ยวหวาน จึงเบี่ยงสายตามองไปที่พื้นตรงหน้า แต่ถึงกระนั้นกู้เสี่ยวก็สามารถมองเห็นถึงสายตาอันรู้สึกผิดและละอายใจของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจเฮือกใหญ่
คนเหล่านี้เคยทำงานหนัก พูดจาไพเราะ ร้านจิ่นฝูเองก็ต้องการคนแบบนี้เช่นกัน กู้เสี่ยวหวานให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้มากในเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น กู้เสี่ยวหวานคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองดูพวกเขาอย่างสงบแล้วพูดเบา ๆ ว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่โทษพวกเจ้า”
เมื่อหลี่พ่างจื่อและเกาจื่อได้ยินเช่นนี้ พวกเขามองหน้ากันแล้วพูดว่า “เถ้าแก่ คนพวกนี้ล้วน…”
กู้เสี่ยวหวานโบกมือและไม่ปล่อยให้พวกเขาพูดต่อไป เมื่อเห็นผู้ชายที่คุกเข่าทั้งหมดมองมาที่ตนเองด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกทนไม่ได้จริง ๆ และเอ่ยประโยคต่อไปออกมา แต่คนที่นางต้องการคือ คนแบบเสี่ยวเหลียงจือ
นี่คือบรรทัดฐานของนาง อย่างน้อยที่สุดก็คือการที่พวกเขาจงรักภักดีต่อนาง
กู้เสี่ยวหวานมองคนเหล่านี้ที่ค่อย ๆ ยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า พวกเขาทั้งหมดมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความประหลาดใจ หากแต่กู้เสี่ยวหวานก็ยังเพิกเฉยต่อพวกเขา และทำเพียงแค่เหลือบมองพวกเขาทางสายตา และเอ่ยกับกู้หนิงผิงอย่างใจเย็น “หนิงผิง ไปคำนวณเงินรายเดือนของคนเหล่านี้มา หลังจากนั้นให้เงินพวกเขาคนละห้าร้อยเหรียญแล้วปล่อยพวกเขาไป”
หลังจากพูดจบ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนสีไปของพวกเขา บางคนมีใบหน้าเศร้าหมอง บางคนก็ตะโกนร้องห่มร้องไห้และกล่าวขอโทษกู้เสี่ยวหวาน
แต่การขอโทษนี้จะมีประโยชน์อันใด
“เถ้าแก่ พวกเราไม่ได้ต้องการทรยศเถ้าแก่ แต่ถ้าพวกเราถูกลงโทษ พวกเราอาจเอาชีวิตไม่รอด ท่านเป็นเสี้ยนจู่ ท่านยังมีวิธีหนีเอาตัวรอดได้ แต่พวกเรานั้นไร้หนทาง” มีชายผู้กล้าหาญคนหนึ่งร้องเรียกกู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานกำลังจะผละไปดูอาการบาดเจ็บของเสี่ยวเหลียงจื่อ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของชายคนนี้ นางก็หันกลับไป สายตาของกูเสี่ยวหวานทำเอาชายคนนั้นถึงกับก้มหน้าลงด้วยความอับอาย ไม่กล้าเรียกร้องสิ่งใด เขาทำได้เพียงไปหากู้หนิงผิงและรับค่าจ้างของเดือนนี้
กู้เสี่ยวหวานกล่าวว่า “เหลียงจื่อได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ของเขาเป็นอย่างดี เขาก็เหมือนกับเจ้า พวกเจ้าได้เงินเดือนเท่ากัน นอนห้องเดียวกัน และสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกัน ทำไมเขาไม่หักหลังข้าล่ะ พวกเจ้าอยากไปดูสภาพของเขาหรือไม่ล่ะ ยอมรับว่าไม่อยากให้เจ็บ แต่ถ้าไม่อยากเจ็บก็ไปพูดจาไร้สาระใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ข้าเป็นเสี้ยนจู่มีทรัพย์สินมากกว่าเจ้าก็จริง แต่ข้าก็เป็นคนมีเนื้อหนังมังสา และเพราะการใส่ร้ายของเจ้า คนที่ถูกนำตัวไปแทนข้าตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่บนเตียง หากไม่ใช่เพราะเขา ก็คงกลายเป็นข้าที่นอนบาดเจ็บอยู่บนเตียง”
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานพูดจบ คนเหล่านั้นก็ก้มหน้างุด และพวกเขาก็อับอายเกินกว่าจะพูดอะไรสักคำ
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่พวกเขาครั้งสุดท้าย จากนั้นก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง
หลี่พ่างจื่อและเกาจื่อยังยืนอยู่ที่นั่น และเริ่มตำหนิพวกเขา “เถ้าแก่ใจดีกับพวกเจ้า ข้าจะให้พวกเจ้าห้าร้อยเหรียญ ซึ่งมันมากกว่าเงินหนึ่งเดือนของพวกเจ้าด้วยซ้ำ เถ้าแก่ได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว สำนึกถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเจ้าเสียด้วย และอย่าปฏิบัติเช่นนี้เมื่อพบเจ้านายคนใหม่ล่ะ”