บทที่ 1285 ไปบ้านตระกูลฟ่าน
บทที่ 1285 ไปบ้านตระกูลฟ่าน
ในขณะนี้ บนท้องถนนไม่มีผู้ใด และฉือโถวก็ยืนอยู่ตรงกลางถนน มองดูรถม้าเคลื่อนตัวลงจากเนินเขาจนกลายเป็นจุดสีดำเล็ก ๆ แล้วก็หายลับตาไป
ฉือโถวได้แต่จ้องมองมันไปอย่างเหม่อลอย
ป้าจางที่อยู่ด้านข้างมองดูท่าทางที่ว้าวุ่นใจของลูกชายและลอบถอนหายใจ จากนั้นดึงแขนเสื้อของฉือโถวแล้วพูดเบา ๆ “ฉือโถว อย่ามองเลย ในช่วงนี้อย่าเหนื่อยเกินไป รักษาร่างกายให้ดี เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ยังคงต้องไปเมืองหลวง เกรงว่าการแต่งงานของเจ้าจะเสร็จสิ้นก่อนพวกนางเดินทาง ถ้าพวกเขาได้ข้อสรุป ข้าจะไปดูฤกษ์และจะต้องเลือกวันก่อนที่พวกนางจะไป”
ฉือโถวกลับมามีสติ แต่ยังคงเอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลา ไม่มองตาของป้าจางและตอบรับอย่างขอไปที “ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ ข้าจะลงไปดูพืชผลสักหน่อย”
ก่อนที่ป้าจางจะตอบอะไร ฉือโถวก็เดินลงจากภูเขาโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ป้าจางเฝ้าดูฉือโถวเดินลงจากภูเขา นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่หลากหลายในใจ
ครั้นกลับมาถึงบ้าน ลุงจางที่เห็นภรรยาของตนมีสีหน้าไม่สู้ดีนักจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไป”
ป้าจางถอนหายใจ จิบน้ำแล้วพูดด้วยความเสียใจ “เฮ้อ! ข้าชอบเสี่ยวหวานจริง ๆ”
ลุงจางรู้ว่าภรรยาของตนกำลังหมายถึงอะไร เขาจึงถอนหายใจเช่นกัน “ตอนนี้แตกต่างออกไป เราต้องมองอนาคตข้างหน้า”
ป้าจางตอบรับ และหลั่งน้ำตาออกมา “เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เราติดตามกู้เสี่ยวหวานและมีความสุขในพรที่เราไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต เด็กคนนั้นเป็นเด็กที่กตัญญูและมีมโนธรรม ในปีนั้นอาหารที่เราแบ่งให้นางไป นางจำไว้ไม่ลืม”
ลุงจางตอบรับและดูเหมือนว่าจะเห็นร่องรอยของความเสียใจ
“เจ้ารู้ไหมว่าเด็กคนนั้นพูดอะไรกับข้า” ป้าจางถามขึ้นอย่างกะทันหันด้วยสีหน้าพึงพอใจ
ลุงจางชำเลืองมองนาง และเห็นดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “นางพูดอะไร”
“เด็กคนนั้นบอกว่านางจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เรา” หลังจากพูดจบ ป้าจางก็พลันหลั่งน้ำตา แต่แม้นางจะร้องไห้ก็ยังมีรอยยิ้มในดวงตา
เมื่อลุงจางได้ยินเช่นนี้ เขาก็ถอนหายใจและรู้สึกสะเทือนใจมาก “เด็กคนนั้นเป็นเด็กดี แต่ตระกูลจางของเราไม่มีโชคเช่นนั้น”
“เมื่อวานข้าบอกฉือโถวว่า ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ข้าคงจะไปสู่ขอกู้เสี่ยวหวานให้เขาแล้ว แต่ตอนนี้แค่คิดยังคิดไม่กล้าเลย” ป้าจางพูดอย่างโศกเศร้า “เด็กคนนั้นดีขึ้น และนางก็ยิ่งห่างเหินจากพวกเราไปเรื่อย ๆ”
ลุงจางตอบรับ “ใช่ ในอนาคตตระกูลกู้จะดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่น่าเสียดายที่กู้ฉวนฟู่และภรรยาของเขาจากไปแล้ว จึงไม่ได้มีความสุขกับชีวิตที่ดีแบบนี้ กลับกลายเป็นพวกเราที่มีความสุขกับมันแทน”
“เสี่ยวหวานขอให้ข้าพิจารณาว่าเราควรไปที่เมืองหลวงหรือไม่ ท่านคิดว่าเราควรไปหรือไม่” ป้าจางนึกถึงสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานขอให้ถามเรื่องนี้กับลุงจาง
ลุงจางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ “เสี่ยวหวานมีความตั้งใจดี แต่การที่เราอยู่ข้างนางก็เหมือนกับการถ่วงรั้งนางไว้ ดังนั้นอย่ารบกวนนางเลย”
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เราทำอะไรไม่ได้เลย ทำได้แค่ทำอาหารและเก็บฟืน ถ้านางไปที่เมืองหลวง นางจะถูกห้อมล้อมด้วยสาวรับใช้เป็นธรรมดา ถ้าพวกเราไป คงจะไปสร้างความเดือดร้อนให้นาง” ป้าจางก็คิดเช่นนั้น และพวกเขาก็ตกลงกันแล้วว่าจะไม่ไปที่เมืองหลวง
การเคลื่อนไหวของลุงจางไม่สะดวก ถ้าจะไปก็รังแต่จะถ่วงคนอื่น
ในไม่ช้า รถม้าก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ภรรยาของหลิวต้าจ้วงชะเง้อมองไปรอบ ๆ ที่ทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อนางเห็นรถม้าของตระกูลกู้กำลังเคลื่อนเข้ามา ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความดีใจ
รถม้าหยุดอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน กู้ฟางสี่ยกม่านขึ้น เมื่อเห็นภรรยาของหลิวต้าจ้วง จึงกวักมือเรียกนางให้ขึ้นมา หลังจากขึ้นมานั่งแล้ว รถม้าก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
ภรรยาของหลิวต้าจ้วงขึ้นมาก็ทักทายกู้เสี่ยวหวานก่อนแล้วจึงนั่งลงหลังจากนั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ภรรยาของหลิวต้าจ้วงได้นั่งรถม้า ซึ่งปกตินางเคยนั่งแต่เกวียนวัวเท่านั้น
หลังจากที่นางเข้ามา นางรู้สึกว่ารถม้าสบายและอุ่นมาก มีเบาะนั่งที่หนา มีเสื้อปูทับ และมันทั้งนุ่มทั้งสบายเมื่อนางนั่งลง
มีโต๊ะเล็กอยู่กลางรถม้าและมีของว่างวางอยู่
อาจั่วเทชาใส่ถ้วยและส่งไปให้ภรรยาของหลิวต้าจ้วง
นางรีบรับไว้และเห็นว่าสิ่งที่นางถืออยู่คือถ้วยใบเล็กที่ไม่ถึงครึ่งฝ่ามือด้วยซ้ำ และในถ้วยมีชาสีเขียวอมเหลือง
“นี่…” ภรรยาของหลิวต้าจ้วงรู้สึกงงเล็กน้อยว่าทำไมถ้วยชาถึงเล็กเช่นนี้ มีไว้เพื่ออะไร
นางไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในสิ่งนี้ และนางไม่เคยเห็นใครใช้ถ้วยใบเล็กแบบนี้มาก่อน
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าภรรยาของหลิวต้าจ้วงถือถ้วยชานิ่งไม่ขยับเขยื้อน และมองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยสายตาสงสัยด้วยความอยากรู้อยากเห็น
กู้เสี่ยวหวานจึงรีบรินชา แล้วพูดกับนางด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้าหลิว สิ่งนี้คือชาเขียว ท่านสามารถลองชิมได้”
หลังจากพูดจบ กู้เสี่ยวหวานก็จิบชาทันที เมื่อเห็นการสาธิต ภรรยาของหลิวต้าจ้วงจึงทำตามกู้เสี่ยวหวาน และจิบชาเข้าไปทันที
ชานี้มีกลิ่นหอมจริง ๆ
นางจะไปตลาดเพื่อซื้อชาและชงชาให้หลิวต้าจวงในช่วงปีใหม่เท่านั้น และเมื่อจะดื่มชาก็รินใส่ในชามใบใหญ่เสมอ และเมื่อเย็นลงก็ดื่มในอึกเดียว แต่นี่กลิ่นของมันหอมกว่าชาธรรมดามาก
ในช่วงเวลานั้น นางรู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของปี
เมื่อเห็นว่าภรรยาของหลิวต้าจ้วงดื่มชาเสร็จ อาจั่วจึงหยิบกาใบเล็กที่มีปากแหลมและรินชาลงถ้วยอีกครั้ง เมื่อเห็นนางดื่มจนหมด อาจั่วจึงต้องการที่จะรินชาอีกครั้ง แต่นางปฏิเสธและซ่อนถ้วยชาไว้ด้านหลัง พลางโบกมือแล้วพูดว่า “แม่นางอาจั่ว ไม่ต้องรินแล้ว ข้าไม่ดื่มแล้ว อย่าให้เจ้าเหนื่อยเกินไปเลย”
กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้าหลิว อย่าเกรงใจไปเลย นี่คือวิธีการดื่มชาที่ควรจะเป็น”
ภรรยาของหลิวต้าจ้วงเบิกตากว้างและถามด้วยความไม่เชื่อ “ทำไมการดื่มชาในถ้วยเล็ก ๆ จึงลำบากเช่นนี้ ทำไมถึงไม่ใช้ชามใบใหญ่ แค่เทใส่ชามหลังจากต้มเสร็จ มันสะดวกมาก”
นั่นไม่เหมือนการดื่มชาตรงไหน?
อาจั่วที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่มุมโต๊ะ เมื่อภรรยาของหลิวต้าจ้วงพูดถึงการดื่มชา นางก็ปิดปากและคลี่ยิ้ม
ภรรยาของหลิวต้าจ้วงจึงรู้ว่าสิ่งที่นางทำมันไม่ได้เรียกว่าการดื่มชาอย่างแน่นอน แต่การทำแบบกู้เสี่ยวหวานเท่านั้นที่เรียกว่าเป็นการดื่มชา
โต๊ะตัวเตี้ยนี้ ถ้วยชา กาต้มน้ำ เตาถ่านเล็ก ๆ ที่มีอุปกรณ์อยู่ครบ
ถ้วยชานี้ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อน เกรงว่าจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อมัน แต่วางของไว้บนรถม้าแบบนี้ นางไม่กลัวคนอื่นมาขโมยหรือ?
ชามธรรมดาสำหรับกินข้าวที่บ้านของนางยังกลัวว่าจะมีคนขโมยมันไปเลย
กู้เสี่ยวหวานไม่พูดอะไรมาก นางเพียงชี้ไปที่ขนมบนโต๊ะและพูดอย่างสนิทสนม “ท่านป้าหลิว ถ้าท่านไม่อยากดื่มชาก็สามารถทานของว่างได้”
ภรรยาของหลิวต้าจ้วงกำลังรู้สึกหิวอยู่พอดี และขนมเหล่านี้ก็สวยงามและต้องมีรสชาติอร่อยแน่นอน
แม้ว่าจะมีขนมอยู่ที่บ้าน แต่นางก็ลังเลที่จะกินมัน หลังจากที่เด็ก ๆ กินเสร็จ นางจะเทเศษขนมที่เหลืออยู่ในถุงกระดาษเข้าปากเพื่อลิ้มรสขนมแสนอร่อย
ในขณะนี้ มีจานขนมที่สวยงามวางอยู่ตรงหน้านาง เมื่อเช้านางดื่มโจ๊กไปสองชาม และตอนนี้มันก็ย่อยเกือบจะหมดแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยขอบคุณกู้เสี่ยวหวาน แล้วหยิบขนมชิ้นหนึ่งยัดเข้าไปในปาก
ขณะที่นางกำลังจะกินก็ได้ยินเสียงของอาโม่จากข้างนอก “ท่านป้าหลิว โปรดบอกทีว่าเราควรไปต่ออย่างไร”
ถัดไปเป็นเส้นทางที่คดเคี้ยว และภรรยาของหลิวต้าจ้วงกลัวว่าอาโม่จะไปผิดทาง ดังนั้นนางจึงคิดจะออกไปนั่งข้างนอกเพื่อชี้ทางให้อาโม่
นางรีบยัดขนมทั้งหมดเข้าปากอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากขนมนั้นแห้งฝืดคอ จึงทำให้ขนมนั้นติดคอนาง กู้เสี่ยวขอให้อาจั่วรินชาให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว นางรีบคว้าถ้วยชามาดื่มและส่งมันคืนไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากทานเสร็จ นางก็รู้สึกอับอายและสูญเสียความสงบไป ดังนั้นนางจึงรีบขอบคุณกู้เสี่ยวหวานและอาจั่ว จากนั้นก็ลงจากรถม้าและไปบอกทางให้อาโม่
กู้เสี่ยวหวานและคนอื่นถูกทิ้งไว้ในรถม้า
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าเมื่อกำลังจะถึงที่หมาย จึงชี้ไปที่ขนมบนโต๊ะและกล่าวว่า “กลับไปแล้ว อย่าลืมนำขนมพวกนี้ให้ท่านป้าหลิวนำกลับไปด้วย”
………………………………………………….
บทที่ 1286 รักและเคารพ
บทที่ 1286 รักและเคารพ
วิธีการกินขนมของภรรยาหลิวต้าจ้วงเมื่อครู่ สันนิษฐานว่าวันธรรมดานางคงไม่ได้กินอะไรเหล่านี้บ่อยนัก ท่าทางการกินนั้นทำให้กู้เสี่ยวหวานนึกถึงครั้งแรกที่นางซื้อขนมให้น้องชาย
กู้หนิงผิงรีบร้อนหยิบขนมใส่ปาก และความร้อนของมันก็ทำให้ปากเขาพองเป็นแผลอยู่หลายวัน
ตอนนั้นกู้เสี่ยวหวานขอให้เขาคายมันออกมา แต่เขากลอกตาและไม่เต็มใจที่จะคายมันทิ้ง ต่อมากู้หนิงอันจึงวิ่งไปที่เตาแล้วเทน้ำเย็นให้เขาดื่ม
หลังจากกินขนมจนเสร็จ ใบหน้าของกู้หนิงผิงก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจราวกับว่ากำลังนึกถึงรสชาติในเมื่อครู่
หลังจากกลืนทุกอย่างลงไปหมดแล้ว กู้หนิงผิงก็เอ่ยว่า “ท่านพี่ นี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกหล้า ถ้าข้าสามารถกินได้ทุกวันก็คงจะดี”
กู้เสี่ยวหวานจำท่าทางและความพึงพอใจของกู้หนิงผิงในเวลานั้นได้อย่างชัดเจน และแอบคิดในใจว่าต้องทำความฝันของน้องชายเป็นจริงให้ได้
จำได้ว่าในเวลานั้นพวกเขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะมีอาหารกินทุกมื้อ และไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะได้กินอิ่มทุกมื้อเช่นกัน แต่ในตอนนั้นกู้เสี่ยวหวานมีความเชื่อ
ภายในไม่กี่ปี ความฝันของกู้หนิงผิงก็เป็นจริง
ตอนนี้พวกเขาอยากกินอะไรก็ได้ตราบใดที่ไม่ฟุ่มเฟือย พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องราคา พวกเขาสามารถกินอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ
สำหรับพวกเขา ขนมก็เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะเป็นขนมที่อร่อย แต่ถ้าวางไว้หน้ากู้หนิงผิง เขาก็จะกินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อาจั่วที่อยู่ด้านข้างรู้สึกประทับใจ
กู้เสี่ยวหวานอาจนึกถึงความกระตือรือร้นของภรรยาของหลิวต้าจ้วงที่กลืนขนมเข้าไปในเมื่อครู่ และคิดว่านางไม่เคยกินของแบบนี้ที่บ้าน ดังนั้นนางจึงคิดที่จะนำสิ่งนี้ไปให้อีกฝ่าย
อาจั่วรู้สึกประหลาดใจกับความเอาใจใส่ของเสี้ยนจู่
ด้วยคำแนะนำของภรรยาของหลิวต้าจ้วง รถม้าจึงวิ่งไปตามเส้นทางอย่างช้า ๆ โชคดีที่บนถนนสายเล็ก ๆ นี้รถม้าสามารถผ่านได้ แต่เมื่อถึงทางแยก สภาพของมันก็ไม่ค่อยดีนัก
“เสี้ยนจู่ ไม่นานก็จะถึงบ้านของแม่นางฟ่านแล้ว แต่ถนนที่นี่ไม่ดีนัก รถม้าจึงเข้าไปไม่ได้ ข้าต้องรบกวนเสี้ยนจู่ลงจากรถและเดินไป” รถม้าหยุดลงกะทันหัน และภรรยาของหลิวต้าจ้วงโผล่ศีรษะเข้ามา
ในหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้ รถม้าไม่สามารถเข้าไปได้ แต่เสี้ยนจู่จำเป็นต้องเข้าไป เมื่อนึกถึงเสื้อผ้าที่ท่านเสี้ยนจู่สวมใส่ในวันธรรมดา รองเท้าปักอย่างวิจิตรงดงามและเสื้อผ้าหรูหรา สถานที่ที่เต็มไปด้วยดินโคลนนี้ ข้าเกรงว่าเสี้ยนจู่คงจะต้องลำบาก
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าภรรยาของหลิวต้าจ้วงจะตำหนิตนเองทำไม แต่เมื่อเสี้ยนจู่ลงมายืนอยู่บนถนนเส้นเล็ก ๆ นี้ ดวงตาของภรรยาของหลิวต้าจ้วงก็มองไปที่ร่างของกู้เสี่ยวหวาน และปากของนางก็อ้ากว้าง
หลังจากนั้น ร่องรอยตำหนิตัวเองบนใบหน้าของนางก็หายไปในทันทีและถูกแทนที่ด้วยความชื่นชม
เดิมทีภรรยาของหลิวต้าจ้วงตำหนิตัวเองเล็กน้อย เมื่อวานนี้นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นนางก็รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าเสี้ยนจู่จะไปขอสู่หญิงสาวจากตระกูลฟ่าน แต่ภรรยาของหลิวต้าจ้วงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด
แม้ว่าตระกูลฟ่านและตระกูลหลิวจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่เนื่องจากหมู่บ้านอยู่ติดกับชานเมืองของเมืองหลิวเจีย หมู่บ้านจึงมีขนาดใหญ่มากและฝูงชนอาศัยอยู่ไม่กระจุกตัวมากนัก
ตระกูลฟ่านอาศัยอยู่ด้านในสุดของหมู่บ้าน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นขอบนอกสุดของหมู่บ้าน
เนื่องจากมีครอบครัวอาศัยอยู่ไม่มากนัก ถนนหนทางจึงเต็มไปด้วยความยากลำบากมาก เมื่อไปถึงส่วนในสุดก็สามารถเดินบนถนนลูกรังได้เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องคิดถึงรถม้าด้วยซ้ำ
ภรรยาของหลิวต้าจ้วงรู้สึกตื่นเต้นตลอดทาง และนางก็ตกตะลึงเมื่อรถม้ามาที่นี่
ตอนนั้นเองที่นางจำได้ว่าช่วงสุดท้ายของถนนไปบ้านของตระกูลฟ่านเป็นถนนลูกรังที่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นคันนาและมีแต่ดินโคลน
สามารถเดินผ่านได้เพียงคนเดียว มีทุ่งนาและคูน้ำเล็ก ๆ อยู่สองข้างทาง หากเหยียบพื้นก็มีโอกาสมากที่จะตกลงไปในคูน้ำหรือนาข้าว
เมื่อเห็นความคดเคี้ยวของเส้นทาง และนึกถึงเสี้ยนจู่ผู้มีเกียรติในรถม้า อารมณ์ดี ๆ ของภรรยาของหลิวต้าจ้วงหายไปในทันที แทนที่ด้วยการตำหนิตัวเอง
เป็นเพราะนางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ถ้านางบอกเสี้ยนจู่ว่าถนนสายนี้เป็นแบบนี้ บางทีเสี้ยนจู่อาจจะคิดหาวิธีอื่นในการมาที่นี่
อย่างไรก็ตาม การตำหนิตัวเองนี้หายไปหลังจากที่กู้เสี่ยวหวานลงจากรถม้า
เสื้อผ้าที่กู้เสี่ยวหวานสวมใส่นั้นไม่ได้หรูหราเหมือนปกติ นางสวมรองเท้าผ้าธรรมดาและชุดก็ไม่ซับซ้อนเหมือนปกติ เรียบง่ายเหมือนเสื้อผ้าของผู้หญิงทั่วไป
เมื่อภรรยาของหลิวต้าจ้วงเห็นชุดของกู้เสี่ยวหวาน นางก็ตำหนิตัวเอง แต่ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นทันที
เสี้ยนจู่ไม่รู้สถานการณ์ของตระกูลฟ่าน และนางคงไม่รู้แน่นอนว่ามีถนนที่ยากลำบากมากไปที่รถม้าไม่สามารถผ่านได้ แต่การแต่งกายของเสี้ยนจู่…
เมื่อนึกถึงตระกูลฟ่านที่พวกเขากำลังจะไปหา เห็นได้ชัดว่าท่านเสี้ยนจู่ต้องการลดระยะห่างระหว่างตระกูลฟ่าน
ดูเหมือนจะมีความหมายว่านางการเคารพตระกูลฟ่านมากกว่า
ภรรยาของหลิวต้าจ้วงแสดงความรู้สึกขอบคุณในใจ และมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความเคารพ
เสี้ยนจู่คนนี้มีจิตใจเมตตาและเคารพเกรงใจชาวบ้านทั่วไป พวกนางจะไม่รักผู้หญิงที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร?
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าภรรยาของหลิวต้าจ้วงมีความประทับใจต่อนาง นางมองไปที่คันนา และรู้สึกถึงความคุ้นเคยที่พลุ่งพล่านอย่างไม่มีเหตุผล
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่นางมาอยู่ในเมืองหลิวเจีย นางไม่เคยเดินบนคันนาแบบนี้อีกเลย
เมื่อก่อนตอนที่นางอยู่ที่หมู่บ้านอู๋ซี นางเคยเดินบนคันนาแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
ภรรยาของหลิวต้าจ้วงเป็นผู้นำ กู้ฟางสี่ตามมาติด ๆ กู้เสี่ยวหวานตามมาเป็นคนที่สาม และอาจั่วตามติดกู้เสี่ยวหวานตลอดเวลา