หวงเสี่ยวหลงก็ส่ายหัวและหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินข้อเสนอของเซี่ยพูถี “ไม่จำเป็น” ภาพเงาของหลี่หลู่ก็ปรากฏขึ้นในจิตใจเขา
เซี่ยพูถีก็หัวเราะให้กับปฏิกิริยาของหวงเสี่ยวหลง “ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้าอยู่นะ หรือว่ามันเป็นเพราะหญิงสาวที่ถูกนิกายนักรบแห่งพระเจ้าพาตัว ที่ชื่อว่าหลี่หลู่ใช่มั้ย?”
หวงเสี่ยวหลงไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ ดังนั้นเขาเลยเปลี่ยนเรื่อง เขาก็เลยถามออกมาว่า “เจ้ารู้จักหอประมูลใหนบ้างที่มีหินจิตวิญญาณระดับ 1 ?”ตระกูลเซี่ยนั้นมีเส้นสายกว้างขวาง ทำให้เซี่ยพูถีอาจจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เจ้าต้องการซื่อหินจิตวิญญาณระดับ 1 งั้นหรือ?”เซี่ยพูถีก็ประหลาดใจ จากนั้นเขาก็พูดต่อ “หินจิตวิญญาณระดับ 1 เป็นของที่ขาดแคลนอย่างมากแม้กระทั่งบริษัทยักษ์ใหญ่ 3แห่งในจักรวรรดิต้วนเริ้นเราก็แทบจะไม่ค่อยมีประมูลเท่าไหร่ แต่ข้ารู้ว่าที่ใหนมีมันบ้าง”
“อ่อ แล้วที่ใหนหล่ะ?”ความสนใจของหวงเสี่ยวหลงก็เพิ่มขึ้น
“เมืองบาป ในดินแดนแห่งความโกลาหล”เซี่ยพูถีก็ลดเสียงลงในขณะที่เขาพูดชื่อสถานที่นี้ออกมา
ข้าวชูเคยพูดถึงสถานที่นี้ให้เขาฟัง ดินแดนแห่งความโกลาหลนั้นเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยการใช้กำลังและความสับสนวุ่นวายมากที่สุดในโลกแห่งนี้ ในที่แห่งนี้นี้ทุกๆวันนั้นเต็มไปด้วยการปล้นฆ่าชิงทรัพย์รวมไปถึงการค้าอันทุจริตอีกด้วย
ในโลกจิตวิญญาณต่อสู้ใบนี้นั้นมีอยู่ 3 ทวีป ได้แก่ ทวีปหิมะโปรยปราย ทวีปดาราเมฆา และทวีปสิบทิศ นอกจาก 3 ทวีปนี้แล้ว มันก็มีดินแดนอื่นๆที่เต็มไปด้วยอันตรายและเป็นสถานที่ต้องห้าม
และดินแดนแห่งความโกลาหลนี้ก็ตั้งอยู่ระหว่างทวีปหิมะโปรายปรายและทวีปสิบทิศ แล้วก็ซากสนามรบโบราณของชนเผ่าเทวะบรรพกาล พื้นที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและกลิ่นอายปีศาจที่หนาแน่น ภูมิอากาศที่นั่นนั้นหนาวจัดซึ่งทำให้พื้นดืนกลายเป็นทุ่งน้ำแข็งที่ยืดยาวไปไกลพันลี้จรนแช่แข็งแม็กม่าที่ร้อนยิ่งกว่าเตาเผาและมันก็เป็นพื้นที่แห้งแล้งที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
เพราะความพิเศษของดินแดนแห่งความโกลาหลนี้เอง ทำให้ไม่มีทวีปใหนหรือจักรวรรดิใหนกล้ารุกรานเลยสักแห่ง สั้นๆคือทั้ง 3 ทวีปไม่กล้ายื่นมือเข้าไปในดินแดนแห่งความโกลาหล
ในหมู่สถานที่ที่สันสนวุ่นวายและเลวร้ายที่สุดนั่นก็คือ เมืองบาปซึ่งเป็นเมืองที่เลวร้ายกว่าเมืองอื่นหลายเท่าในขณะเดียวกันมันก็เป็นสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนโกลาหล
หวงเสี่ยวหลงและเซี่ยพูถีก็ดื่มกันไปในขณะที่พูดคุยกันไปด้วย พอผ่านไป 3 ชั่วโมง เขาก็ออกไปจากบ้านไวน์ จู่ๆด้านอกทางเข้าเซี่ยพูถีก็ได้พูดขึ้น “ นานมากแล้วนะที่พวกเราไม่ได้ประลองกัน ประลองกันสักหน่อยใหม?”
หวงเสี่ยวหลงก็แข็งค้างไปกับคำขอที่จู่ๆก็พรุ่งพรวดขึ้นมา แต่เขาก็ปฏิเสธไป “เอาไว้ครั้งหน้าแล้ว ข้ามีสิ่งที่ต้องทำอยู่ “เขากลัวว่าเซี่ยพูถีคงประหลาดใจมากแน่หากเขาเปิดเผยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เซี่ยพูถีก็โต้แย้งอย่างไม่ลดละ “ไม่มีทาง เมื่อหลายวันก่อนข้าพึ่งจะทะลวงเข้าสู่ระดับเซียนเทยีนขั้นที่ 3 เอง วันนี้ยังไงซะข้าจะต้องประลองกันเข้าเพื่อแก้แค้นในการประลองเมืองจักรพรรดิเมื่อ 3 ปีก่อนให้ได้!”
หวงเสี่ยวหลงก็มองเซี่ยพูถีอย่างจริงจัง “เราต้องประลองกันจริงๆงั้นหรือ?”
เซี่ยพูถีพยักหน้าอย่างจริงจัง “พวกเราต้องประลองกัน!”
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงห้องประลองลับในสถาบันต้วนเริ้น สถาบันต้วนเริ่นนั้นได้สร้างเวทีประลองไว้ 2 เวที หนึ่งคือเวทีประลองแบบเปิดและเวทีประลองลับ ศิษย์สถาบันต่างได้รับอนุญาตให้ใช้เวทีพวกนี้ในการประลองแก่ศิษย์สถาบันด้วยกันเอง สำหรับคนที่หวังจะทำตัวต่ำติดดินไม่โดดเด่นนั้น เวทีประลองลับก็จะเป็นตัวเลือกนึง
ทั้งสองคนก็ได้เข้าไปในเวทีประลองลับพร้อมๆกัน แต่ไม่ถึง 10 นาที พวกเขาก็ได้ออกมา บนใบหน้าของเซี่ยพูถีนั้นเต็มไปด้วยรอยช้ำสีแดงและดำและการก้าวเดินของเขานั้นก็ยังไม่มั่นคงอีกด้วย ตลอดเวลาเซี่ยพูถีมีสีหน้าแปลกๆในขณะที่เขานั้นมองหวงเสี่ยวหลงตลอดเวลา เขารู้สึกหดหู่และอารมณ์ซับซ้อนหลากหลายอย่างต่างผสมปนเปเป็นหนึ่งเดียวกัน
หวงเสี่ยวหลงก็มองเซี่ยพูถีแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าบอกแล้วว่าไว้ครั้งหน้า แต่เจ้าก็เป็นคนต้องการประลองให้ได้”
เซี่ยพูถีก็ด่าทอ “แม่ง เจ้ามันตคัวประหลาดชัดๆที่ทะลวงเข้าสู่ระดับ สี่ได้เนี่ย? ดุเหมือนว่าในอนาคตการจะล้างแค้นด้วยตัวเองนี่คงเป็นไปได้ยากซะแล้วสิ!”
หลังจากพวกเขาเข้าห้องประลองลับไปเมื่อครู่ หวงเสี่ยวหลงก็ได้เปิดเผยความแข็งแกร่งของระดับเซียนเทียนขั้นที่4 แม้จะเป็นแบบนั้น เซี่ยพูถีก็ถูกกระทืบจนถึงจุดที่ว่าเขาต้องร้องไห้อ้อนวอนภายใน 10 นาที สถานการณ์ของเขานั้นอธิบายได้เพียงแค่ว่าอนาถแท้ ซึ่งเขานั้นแทบจะไม่สามารถต่อต้านหวงเสี่ยวหลงได้เลยแม้แต่น้อย
ในปีนั้น ในช่วงการประลองเมืองจักรพรรดิ หวงเสี่ยวหลงเอาชนะเซี่ยพูถีด้วยการบ่มเพาะที่ตำกว่าซึ่งอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นที่ 1 และตอนนี้ความแข็งแกร่งของหวงเสี่ยวหลงนั้นก็ได้ก้าวข้ามเขาไปแล้ว นั่นทำให้ความฝันที่จะล้างแค้นของนั้นต้องป่นปี้กลายเป็นผุยผง
พอได้ยินเซี่ยพูถีกล่าวว่าการบ่มเพาะของเขานั้นก็คือเซียนเทียนขั้นที่ 4 หวงเสี่ยวหลงแก้ไขความเข้าใจผิด มันมีแต่ทำให้เพิ่มเรื่องไม่สำคัญเพิ่มขึ้นเท่านั้นหากเซี่ยพูถีรู้ความจริง ซึ่งไม่เพียงเขาจะทะลวงเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นที่ 5 ความแข็งแกร่งของเขานั้นเกือบใกล้เคียงกับระดับเซียนเทียนขั้นที่ 5 ชั้นสูงสุดอีกด้วย นั่นอาจะทำให้เซี่ยพูถีคงได้เริ่มเอาหัวฟาดกำแพงเป็นแน่แท้
“ข้าโอสถฟื้นฟูบาดแผล เจ้าจะเอาสักหน่อยใหม?”หวงเสี่ยวหลงก็ยิ้มในขณะที่เขาเอาขวดหยกอันเล็กออกมาจากแหวนเทพอสูร
เซี่ยพูถีก็บ่นในขณะที่เขายื่นมืออกไปหยิบขวด “เจ้าช่วยอ่อนโยนสักหน่อยไม่ได้หรือไง”
หวงเสี่ยวหลงก็หัวเราะออกมา “งั้นคราวหน้าข้าจะอ่อนโยนสักหน่อยแล้วกัน”
เซี่ยพูถีก็หนาวสั่นเมื่อได้ยินคำพูนี้ เขาก็รีบส่ายหัวพร้อมกับโบกมืออย่างรวดเร็ว “ลืมมันซะ ไม่ว่าข้าจะหาใครมาประลองด้วย คนๆนั้นคงไม่ใช่เจ้าหรอก!”
ทั้งสองคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ครู่ต่อมา เซี่ยพูถีก็ออกไปจากสถาบันต้วนเริ่น ในขณะที่หวงเสี่ยวหลงเดินทางไปหอสมุดของสถาบัน
ณ ทางเข้าหอสมุด ในขณะที่หวงเสี่ยวหลงจะก้าวเข้าไป เขาก็ถูกหยุดโดยหนึ่งในบรรณารักษ์ห้องสมุด บรรณารักษ์คนนั้นก็มองหวงเสี่ยวหลงจากล่างขึ้นบนในขณะที่เขาพูดออกมา “เจ้าเป็นศิษย์ใหม่หรือ? เจ้าไม่รู้กฏของสถาบันหรือไง? การเข้าหอสมุด ศิษย์ทุกคนจะต้องแสดงเหรียญตราศิษย์สถาบันและสวมเครื่องแบบสถาบัน”
หวงเสี่ยวหลงก็ย่นคิ้วเล็กน้อย
ที่จริงแล้ว ในสถาบันต้วนเริ่นนั้นมันก็มีกฎแบบนั้นเขียนอยู่จริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้ในสถานการณ์ปกตินั้นบรรณารักษ์ไม่ได้ให้ศิษย์ทุกคนที่เข้ามาในห้องสมุดต้องสวมชุดศิษย์สถาบันและแสดงเหรียญตรา นั่นเพราะไม่มีใครกล้าปลอมตัวเป็นศิษย์สถาบันต้วนเริ่นอย่างน้อยเขา คนพวกนั้นจะต้องเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่
‘แต่…บรรณารักษย์นี่ไม่รู้งั้นหรอว่าเป็นข้า? ตั้งแต่ข้าออกไปจากสถาบันก็เพียง 2 ปีเท่านั้นเอง’ หวงเสี่ยวหลงก็จับคางในขณะครุ่นคิด
“ตอนนี้ข้าไม่ได้มีเหรียญตราอยู่กับตัว”หวงเสี่ยวหลงก็พูดออกไป เพราะเขากำลังพูดความจริง
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะไม่มีเหรียญตราศิษย์สถาบันอยู่กับตัว แต่เขามีเหรียญตราทองคำของต้วนเริ่นอยู่ ซึ่งเขากำลังคิดว่าจะเอามันออกมาดีใหม แต่โชคร้ายที่การกระทำของบรรณารักษ์ นั้นเร็วเกินไป บรรณารักษย์คนนั้นก็เย้ยหยันออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าไม่มีเหรียญตราอยู่กับตัวงั้นหรอ ไอ้สารเลว ข้าคิดว่าเจ้าหน่ะไม่ใช่ศิษย์ของสถาบันต้วนเริ่นของเรา !”
หวงเสี่ยวหลงก็มึนงงกับการกล่าวหานี้ จากนั้นเขาก็ยิ้มมุมปากออกมา
แต่บรรณารักษ์นั้นกลับอวดเบ่งแล้วพูดต่อไปว่า “ไอ้เวร เจ้ากล้าปลอมตัวเป็นศิษย์สถาบันต้วนเริ่นของพวกเรา รนหาที่ตาย! มา เจ้าต้องไปกลับข้าที่หอวินัย!”เขาก็ยื่นแขนออกไปและต้องการจะจับตัวหวงเสี่ยวหลง
ดูเหมือนบรรณารักษ์คนนี้ไม่ได้อ่อนแอเท่าไหร่ เขาได้ทำนิ้วเป็นกรงเล็บแล้วพุ่งไปหาหวงเสี่ยวหลงทำให้เกิดสายลมอันรุนงแรงขึ้น แต่หวงเสี่ยวหลงนั้นยืนรออยู่อย่างสงบเงียบ เมื่อแขนของบรรณรักษ์เข้ามาใกล้เขา หวงเสี่ยวหลงก็ยกฝ่ามือแล้วดันออกไปอย่างเบาๆ ซึ่งทำให้การโจมตีท่ากรงเล็บแตกเป็นเสี่ยงๆทันที
บรรณารักษ์คนนั้นก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่โหมกระหน่ำใส่เขา ดันเขาถอยจนชิดขอบ การถูกดันไปอย่างง่ายดายโดยหวงเสี่ยวหลงนั้น ทำให้บรรณารักษ์คนนี้ประหลาดใจและโกรธในเวลาเดียวกัน จากนั้นเขาได้พยายามจะคุมตัวหวงเสี่ยวหลงอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้เขากำลังจะใช้พลังอย่างเต็มที่ เลยทำให้มีแสงระเบิดขึ้นจากร่างเขา
“เดี๋ยว!”หวงเสี่ยวหลงก็ตะโกนออกไป
แต่มันก็ถูกละความสนใจโดยบรรณารักษ์อยู่ดี ในขณะเดียวกันฝ่ามือของบรรณารักษ์คนนั้นก็พุ่งเล็งเป้าหมายไปที่หวงเสี่ยวหลงซึ่งมันมีความแข็งแกร่งมากกว่าก่อนและมันก็ยังผสมไปด้วยจิตสังหารอันเล็กน้อย
พอสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ ดวงตาของหวงเสี่ยวหลงก็เย็นชาขึ้นเนื่องจากความอดทนเขานั้นมีกำจัด เมื่อบรรณารักษ์ผู้นี้เขามาใกล้เขา หวงเสี่ยวหลงก็ได้เอี้ยวตบไปได้ข้างพร้อมกับลอบโจมตีออกไป โดยการโจมตีนี้ได้พุ่งใส่หน้าอกของบรรณารักษ์คนนี้
บรรณารักษ์ก็ได้กรีดร้องในขณะที่ร่างกายของเขานั้นถูกกระแทกลอยไปด้านหลัง เสียงกรีดร้องของเขานั้นดึงดูดความสนใจของคนอื่น ทำให้เสียงฝีเท้ามากมายต่างรีบมุ่งหน้ามาที่ทางเข้าหอสมุดทุกทิศทาง