บทที่ 1289 เล่าชีวิตประจำวัน
บทที่ 1289 เล่าชีวิตประจำวัน
มือของท่านเสี้ยนจู่นั้นเนียนนุ่ม ขาวราวกับหยวกกล้วย แต่มือของตัวเองมีผิวหนังด้านจำนวนมากเนื่องจากการทำงานหนักมาหลายปี และเนื่องจากเพิ่งกลับมาจากทุ่งนา แม้ว่าจะล้างมือในคูน้ำแล้ว โคลนในซอกเล็บก็ยังคงมีอยู่ มันทำให้มือของทั้งสองแตกต่างกันอย่างชัดเจน
กู้เสี่ยวหวานดึงฟ่านหลิงและมองนางอย่างระมัดระวัง
ฟ่านหลิงก็ไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน เพราะนางต้องทำงานในทุ่งหลายปี นางค่อนข้างแข็งแรง ตอนนี้นางเพิ่งกลับมาจากทุ่งนา อากาศก็ร้อนอบอ้าว นางสวมรองเท้าแตะฟาง เท้าของนางจึงเต็มไปด้วยคราบน้ำและยังสามารถเห็นโคลนได้อีกด้วย คิดว่าเมื่อนางมาที่นี่ นางคงล้างมันในคูน้ำแล้ว แต่กลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะรอนานเกินไปจึงล้างอย่างเร่งรีบ
นางสวมกางเกงขายาวสีเทา กางเกงถูกมัดด้วยเชือกป่าน และถูกดึงเพื่อสะดวกต่อการทำงาน
ในชนบท ไม่มีกฎมากมายในการบังคับผู้หญิง กฎที่บอกว่านอกจากมือและใบหน้าแล้ว ไม่สามารถเผยร่างกายให้ใครเห็นได้แม้แต่นิดเดียว
หากพวกนางต้องการอยู่รอดก็ต้องไปทำงานในไร่นา และหากต้องการทำงาน พวกนางต้องผูกผ้าซึ่งสะดวกและป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าสกปรก
ฟ่านหลิงแต่งตัวเรียบร้อย และนางดูเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป
ในขณะนี้ ฟ่านหลิงก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวาน
ในความทรงจำ นางเคยเห็นท่านเสี้ยนจู่จากระยะไกลหลายครั้ง
นางเคยเห็นท่านเสี้ยนจู่สองสามครั้ง และนางมักจะสวมเสื้อผ้าที่ดีอยู่เสมอ วัสดุของเสื้อผ้าสามารถเปล่งแสงแวววาวภายใต้แสงแดด ไม่ว่าใครเห็นก็สามารถบอกได้ว่าวัสดุนั้นมีราคาแพง คนอย่างพวกเขาไม่สามารถที่จะสวมใส่ได้ตลอดชีวิต
แต่วันนี้ ท่านเสี้ยนจู่สวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดาไม่มีการตกแต่งเพิ่มเติม และแม้แต่ชายกระโปรงก็สูงกว่าปกติหนึ่งชุ่น
มีเพียงปิ่นปักไม้ที่แกะสลักลวดลายดอกเหมยที่ปักอยู่บนศีรษะ นอกนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเทียบได้กับสถานะเสี้ยนจู่ของกู้เสี่ยวหวานได้
ฟ่านหลิงเป็นคนฉลาด และนางก็รู้สึกขอบคุณอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม มือของนางยังเปื้อนโคลน ดังนั้นจึงกังวลมากว่าจะทำให้มือของกู้เสี่ยวหวานสกปรก
ฟ่านหลิงต้องการดึงมือออก แต่นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้กู้เสี่ยวหวานปล่อย
ฟ่านหลิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยและรีบลดเสียงลงแล้วพูดว่า “เสี้ยนจู่ มือของข้าสกปรก” นางไม่ได้พูดอะไรต่อไป เดาว่าท่านเสี้ยนจู่คงเข้าใจ
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม จับมือฟ่านหลิงแน่นขึ้นและตอบด้วยรอยยิ้ม “เป็นไรหรอก ข้าเคยทำงานในไร่นา แล้วข้าก็เคยตกลงไปในบ่อโคลน”
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานพูดนั้นเป็นความจริง เป็นความจริงในอดีต
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่สนใจ ฟ่านหลิงก็รู้สึกโล่งใจ
กู้เสี่ยวหวานต้องการคุยกับนาง ทว่าที่นี่มีคนมากเกินไปจึงเป็นการยากที่จะพูดอะไร นางจึงพูดว่า “แม่นางฟ่าน ไปนั่งคุยในห้องเจ้ากันเถอะ”
ฟ่านหลิงตกลงอย่างรวดเร็ว และทั้งสองก็จับมือกันเข้าไปในบ้าน
ตอนที่ฟ่านต้าฉวีไปตามฟ่านหลิง กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เข้าไปในบ้านคนอื่นโดยพละการ เขาไม่ได้เชิญตนเอง และนางไม่สามารถเข้าหรือออกจากบ้านของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตได้
ครั้งนี้ฟ่านหลิงพานางเข้ามาด้วยตนเอง นางจึงมีโอกาสได้มอบรอบ ๆ บ้านที่เงียบสงบหลังนี้
แท้จริงแล้วนางเดาถูกว่าตระกูลฟ่านเป็นครอบครัวที่ยากจน ในห้องโถงใหญ่ นอกจากโต๊ะสี่เหลี่ยมและเก้าอี้ยาวสองสามตัวแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก อย่างไรก็ตาม บ้านกลับสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างไม่มีที่ติ
ฟ่านหลิงพากู้เสี่ยวหวานไปที่ห้องของนาง เมื่อเข้าไปข้างใน แม้ว่าจะมีเพียงเตียงและตู้ แต่ผ้านวมบนเตียงถูกพับอย่างเรียบร้อย และแม้แต่ผ้าปูก็เรียบกริบเป็นระเบียบ แม้ว่าผ้านวมจะเก่าจนสีซีด แต่ก็ถูกซักจนสะอาด
จากภายในบ้านจะเห็นได้ว่าครอบครัวนี้เป็นอย่างไร
บ้านของครอบครัวฟ่านนั้นสะอาดและเป็นระเบียบ จะเห็นได้ว่าพวกเขารักษาความสะอาดมาก
ฟ่านหลิงย้ายเก้าอี้สองตัวจากด้านนอกเข้ามาด้านในและเชิญกู้เสี่ยวหวานให้นั่งลง นางต้องการรินน้ำ แต่กู้ถูกเสี่ยวหวานหยุดไว้
“มาคุยกันเถอะ ข้ายังไม่กระหายน้ำ” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟ่านหลิงได้แต่นั่งลงและรอให้กู้เสี่ยวหวานคุยกับตัวเอง และอารมณ์ของนางก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เสี้ยนจู่เป็นคนดี ไม่เช่นนั้นนางคงไม่จงใจไม่สวมเสื้อผ้าธรรมดา ๆ มาที่นี่ เมื่อฟ่านหลิงเห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกซาบซึ้ง
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าฟ่านหลิงกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นนางจึงเอ่ยปากเป็นคนแรก แต่สิ่งที่นางพูดนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ฟ่านหลิงทำในแต่ละวัน
ฟ่านหลิงก็ตอบทีละคำถามเช่นกัน
หลังจากได้ยินคำตอบของฟ่านหลิง กู้เสี่ยวหวานก็สนใจมาก นี่ทำให้นึกถึงตอนที่นางเพิ่งมาถึงโลกนี้ ทุกวันนางต้องขึ้นภูเขาเพื่อตัดฟืน หาอาหาร ทำอาหาร และมีอะไรให้ทำทุกวันไม่รู้จบ
พวกนางคุยกันเรื่องสัพเพเหระ และช่องว่างระหว่างนางก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
กู้เสี่ยวหวานเป็นคนถ่อมตัว และเมื่อนางเห็นฟ่านหลิงอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจเมื่อพบเงาชีวิตของตัวเอง
เวลานั้นก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่นี่ของกู้เสี่ยวหวานอย่างเป็นธรรมชาติ
“แม่นางฟ่าน จุดประสงค์ของการมาที่นี่ในวันนี้ ท่านลุงฟ่านคงบอกเจ้าไปแล้ว ข้ามาที่นี่ครั้งนี้ก็เหมือนกับเมื่อวาน ข้ามาเพื่อคุยเรื่องแต่งงาน”
โดยไม่คาดคิด ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานพูดจบ ฟ่านหลิงก็ส่ายหน้า “เสี้ยนจู่ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่ไม่สามารถตอบรับท่านได้”
“ทำไมล่ะ?” เมื่อเห็นว่าท่าทีของฟ่านหลิงไม่เปลี่ยนไป กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก “พี่ฉือโถวเป็นคนดี ขยัน ทำงานหนัก และมีความสามารถ ถ้าเจ้าแต่งงานไป ในอนาคตเขาจะต้องเป็นคนที่ปกป้องเจ้าได้อย่างแน่นอนโดยที่เจ้าไม่ต้องทำงานหนักเช่นนี้”
“เสี้ยนจู่ ข้ารู้ แต่ข้าแต่งงานไม่ได้” ฟ่านหลิงยังคงมีท่าทีเหมือนเดิม
“ทำไม เจ้าไม่ชอบพี่ฉือโถวหรือ” กู้เสี่ยวหวานถาม
เมื่อฟ่านหลิงได้ยินสิ่งนี้ นางรีบส่ายหน้าและอธิบายว่า “ไม่ ๆ ฉือโถวดีมากและตระกูลจางก็ดีมากเช่นกัน เป็นข้าที่ไม่คู่ควรกับฉือโถว”
เนื่องจากครอบครัวฟ่านเช่าที่ดินของกู้เสี่ยวหวาน และฉือโถวเป็นคนดูแลที่ดินเหล่านี้ให้กู้เสี่ยวหวาน ในวันธรรมดา ฉือโถวจะไปดูแต่ละที่และเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้กู้เสี่ยวหวานฟัง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การไปที่ทุ่งนาเพื่อดูว่าทุกคนปลูกอะไร และดูว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่
หากมีปัญหาใด ๆ กับพืชผลในทุ่ง หากสามารถแก้ไขได้ในเวลานั้น ฉือโถวจะแก้ปัญหาให้ทันที และหากไม่สามารถแก้ไขได้ เขาจะไปบอกกู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานเป็นผู้เชี่ยวด้านการเกษตรในชาติก่อน ดังนั้นนางจึงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับพืชผล และมันจะมีอาการอย่างไร นางสามารถเข้าใจมันได้อย่างดี
กู้เสี่ยวหวานเป็นผู้เชี่ยวชาญในการกำจัดศัตรูพืชและวิธีรักษาพันธุ์พืช
การกระทำของกู้เสี่ยวหวานได้รับการสนับสนุนจากคนในหมู่บ้าน ตราบใดที่มีปัญหากับที่ดิน พวกเขาจะไปหาฉือโถว
ดังนั้นฉือโถวจึงติดต่อกับฟ่านหลิงอยู่บ่อยครั้ง
หากฟ่านหลิงมีปัญหา นางจะขอความช่วยเหลือจากฉือโถว และทั้งสองจึงรู้จักกัน
หลังจากได้ยินคำพูดของฟ่านหลิง กู้เสี่ยวหวานก็ยิ่งงงงวยมากขึ้น
เนื่องจากฟ่านหลิงคิดว่าฉือโถวนั้นดีมาก แต่ทำไม…
ทำไมนางถึงไม่ตกลงกันล่ะ?
“ทำไมเจ้าถึงไม่เห็นด้วย บอกเหตุผลได้หรือไม่ เป็นไปได้ไหมว่าเจ้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว” กู้เสี่ยวหวานต้องการเข้าใจอย่างชัดเจน หากครอบครัวฟ่านมีปัญหาใด ๆ นางจะแก้ปัญหาเหล่านั้นถ้านางช่วยได้
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ฟ่านหลิงก็รีบส่ายหน้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่ ๆ ข้ายุ่งทุกวัน ดังนั้นข้าจึงไม่มีเวลาชอบคนอื่น นอกจากนี้ ด้วยสถานการณ์ในครอบครัวของข้า ข้าก็ไม่สามารถชอบคนอื่นได้เช่นกัน”
กลัวจะไปลากเขาลงมา
ฟ่านหลิงไม่ได้พูดต่อ แต่ก็สามารถเห็นความอึดอัดในใจของอีกฝ่ายได้จากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ปีนี้นางอายุยี่สิบแล้ว และนางก็เป็นสาวเทื้อในหมู่บ้าน
คนอายุเท่านางแต่งงานกันไปหมดแล้ว แต่นางเป็นคนเดียวที่กลายเป็นสาวเทื้อ มีคนอายุน้อยกว่านางหลายปีมากมาย และด้วยสภาพครอบครัวที่เป็นแบบนี้นางจะแต่งงานกับใครได้
มันคงจะดีกว่าหากจะไม่แต่งงาน อยู่บ้านดูแลท่านพ่อให้ดี ทำนาให้ดี และเก็บเงินสักก้อนเพื่อหาภรรยาให้น้องชาย เมื่อถึงเวลานั้น นางจะพาท่านพ่อไปอยู่บ้านนอก และปรนนิบัติยามที่เขาแก่ชรา
นับตั้งแต่ที่นางพลาดการแต่งงานของตัวเอง เมื่อเห็นว่าตนเองอายุมากขึ้น ความคิดของฟ่านหลิงก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
แต่นางไม่คาดคิดว่าตระกูลจางจะส่งคนมาขอสู่ขอ และพวกเขายังเป็นสมาชิกในครอบครัวของท่านเสี้ยนจู่
เมื่อฟ่านหลิงทราบข่าว นางก็ตกตะลึง
ฉือโถวอายุน้อยกว่านางสองปีและครอบครัวของเขาอยู่ในสภาพดี นอกจากนี้ยังมีเสี้ยนจู่อีกด้วย เขาต้องการแต่งงานกับภรรยาแบบไหนหรือคุณหนูคนไหนในเมืองหลิวเจียก็ได้ ทำไมครอบครัวเขาถึงมาชอบตัวเองกัน
………………………………………………….
บทที่ 1290 การสู่ขอประสบความสำเร็จ
บทที่ 1290 การสู่ขอประสบความสำเร็จ
ฟ่านหลิงรู้ตัวเองดี และนางไม่คิดว่าฉือโถวจะหลงรักในความงามหรือภูมิหลังของครอบครัวของนาง
นางไม่ได้สวย เรียกได้ว่าน่าเกลียดด้วยซ้ำ ใบหน้ากลม หุ่นหนา ผิวของนางก็คล้ำและหยาบกร้านเนื่องจากตากแดดมาหลายปี
โชคดีเพราะเจ้าของที่ดิน ชีวิตจึงค่อย ๆ ดีขึ้น ในสองปีที่ผ่านมาเนื่องจากพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี นอกจากเงินซื้ออาหาร ที่เหลือก็เก็บเป็นค่ายาให้พ่อ แต่ร่างกายของท่านพ่อยังคงทรง ๆ ทรุด ๆ
พวกเขายากจนมาก จนไม่สามารถแม้แต่จะหาหมอที่ดีกว่านี้มารักษาท่านพ่อได้
เมื่อหมดหนทาง นางจึงทำได้แต่ผัดวันประกันพรุ่งแบบนี้ ฟ่านหลิงคิดว่านางทำงานหนักมาสองสามปีแล้ว และต้องประหยัดเงินให้เพียงพอเพื่อรักษาท่านพ่อของนาง
นางหน้าตาธรรมดา ไม่มีชาติตระกูล แถมยังมีท่านพ่อที่ต้องไปพบหมอและรับยา ในสถานการณ์แบบนี้ใครจะชอบนาง ใครอยากจะแต่งงานกับนางกัน?
นางยังไม่อยากแต่งงานแบบนี้ และมันจะทำให้เขาเจ็บปวด
หลังจากได้ยินคำพูดของฟ่านหลิง กู้เสี่ยวหวานก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ตราบใดที่นางไม่มีคนรักในหัวใจก็ไม่เป็นไร
“แม่นางฟ่าน ท่านไม่เด็กแล้ว ถ้าข้าจำไม่ผิด ปีนี้ท่านอายุยี่สิบปีแล้ว” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
ยี่สิบปีแล้ว
ฟ่านหลิงยิ้มอย่างขมขื่น “นั่นคือเหตุผลที่ข้าไม่อยากแต่งงานอีกต่อไป คนที่แก่กว่าข้าหรือคนที่อายุเท่ากันกับข้าล้วนแต่มีแต่งงานและมีลูกแล้วทั้งนั้น ข้าอายุมากแล้ว ขออยู่ตัวคนเดียวรับใช้ท่านพ่อดีกว่า”
สิ่งที่ฟ่านหลิงพูดนั้นค่อนข้างน่าสลดใจ ดูเหมือนว่านางจะหดหู่เล็กน้อย และดูเหมือนว่านางจะมีความคาดหวังสำหรับชีวิตในอนาคต แต่เมื่อเผชิญกับชีวิตจริง นางทำได้เพียงก้มหัวยอมรับความเป็นจริง
เมื่อเห็นท่าทางของนาง กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะได้เห็นตัวเอง
ถ้ากู้เสี่ยวหวานไม่ตายในตอนนั้น เมื่อนางโตเป็นผู้ใหญ่ นางก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างแน่นอน
“ท่านพี่” กู้เสี่ยวหวานถามอย่างไม่แน่ใจ “ไม่ใช่ว่าท่านไม่อยากแต่งงาน แต่ท่านกลัวการแต่งงานใช่หรือไม่”
ฟ่านหลิงพยักหน้า “ข้ามีปัญหาทั้งสองอย่าง ท่านพ่อของข้าสุขภาพไม่ดีต้องไปพบหมอและกินยาตลอดทั้งปี ข้ามีน้องชายอายุสิบแปดปีอยู่ในการดูแลของข้า และใกล้ถึงเวลาต้องแต่งงานแล้ว ข้าอยากทำงานมากกว่านี้เพื่อเก็บเงินไว้รักษาท่านพ่อและเก็บเงินไว้ให้น้องชายแต่งงาน”
กู้เสี่ยวหวานต้องการพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ได้แต่กลืนคำพูดอีกครั้ง
“ท่านพี่ พี่ฉือโถวเป็นคนดี ถ้าพวกท่านแต่งงานกัน เขาก็จะมาช่วยท่านดูแลท่านลุงฟ่าน”
ฟ่านหลิงยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหน้า “ฉือโถวเป็นคนดี ข้าไม่สามารถทำร้ายเขาได้”
“แล้วถ้าเขาไม่คิดว่ามันเป็นการทำร้ายล่ะ?” กู้เสี่ยวหวานถามกลับ
เนื่องจากป้าจางและลุงจางชอบฟ่านหลิง พวกเขาจึงต้องรู้สถานการณ์ของครอบครัวฟ่านเป็นอย่างดี
สิ่งที่พวกเขาชอบคือนิสัยที่ดีของคนตระกูลฟ่าน ไม่ใช่สถานการณ์ของครอบครัวฟ่าน
เช่นเดียวกับฟ่านหลิง นางเป็นผู้หญิงที่ดีที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับความมั่งคั่งและยังคงยึดมั่นในหลักการของตัวเอง
ผู้หญิงที่ดีควรได้รับรางวัล กู้เสี่ยวหวานคิดเช่นนั้นเสมอ
“ท่านลุงฟ่านใช้เวลาเลี้ยงดูพวกท่านมาหลายปี ท่านหมอบอกว่าตราบใดที่เขาทานยาเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง อาการป่วยของท่านลุงก็จะดีขึ้นแน่นอน และน้องของท่าน ฟ่านอวี้ก็เป็นคนเชื่อฟังและมีเหตุผลเช่นกัน ชีวิตของพวกท่านจะค่อย ๆ ดีขึ้นในอนาคต” กู้เสี่ยวหวานกล่าวว่า “ข้านึกถึงเมื่อก่อน ชีวิตของเราไม่ดีเท่าท่าน อย่างน้อยท่านก็ยังมีความรักจากพ่อ แต่พวกเราไม่มีใครเลย นอกจากเด็กสี่คนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันเอง และนี่คือสิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้”
กู้เสี่ยวหวานยิ้มเยาะตัวเอง ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีความคิดที่ทันสมัยและเห็นโลกมามาก ชีวิตของพวกเขาก็คงเหมือนกับตระกูลฟ่านในตอนนี้
ฟ่านหลิงเคยได้ยินเกี่ยวกับบ้านของเสี้ยนจู่ แต่คราวนี้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องครอบครัวจึงทำให้พวกเขาทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น
ฟ่านหลิงยังคงมีความกังวลอยู่มาก แต่ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของกู้เสี่ยวหวาน ความกังวลก็ค่อย ๆ หายไป และในที่สุดนางก็พยักหน้า และตกลงที่จะแต่งงานกับฉือโถว
เมื่อเห็นว่าฟ่านหลิงตกลง กู้เสี่ยวหวานก็ลากนางออกไปทันที
กู้ฟางสี่และทุกคนที่ประตูชะเง้อคอมองเข้าไปข้างในและรอข่าวจากกู้เสี่ยวหวาน
หลังจากรออยู่นานก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากข้างใน และเห็นกู้เสี่ยวหวานดึงฟ่านหลิงออกมา
กู้เสี่ยวหวานมีรอยยิ้มบนใบหน้า โดยมีฟ่านหลิงเดินก้มหน้าตามหลังออกมา
ภรรยาของหลิวต้าจ้วงและกู้ฟางสี่หันมายิ้มให้กัน
ในใจของฟ่านต้าฉวี เขาเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ฟ่านหลิงและฉือโถวจะแต่งงานกัน แต่ลูกสาวของเขาไม่ต้องการแต่งงาน และเขาไม่สามารถบังคับฟ่านหลิงได้ เขาทำได้เพียงทำตามความคิดของฟ่านหลิง
แต่สำหรับการแต่งงานที่ดีเช่นนี้ ฟ่านต้าฉวีรู้สึกเสียใจกับฟ่านหลิง
ตอนนี้เมื่อเห็นลูกสาวของเขาออกมาอย่างเขินอายกับเจ้าของที่ดินที่มีสีหน้ามีความสุข ฟ่านต้าฉวีก็มีความสุขมาก ดูเหมือนว่าลูกสาวของเขาจะตอบตกลงแล้ว
ตระกูลจางเป็นครอบครัวที่ดี ถ้าลูกสาวของตนได้แต่งงาน นางจะไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป
ฟ่านต้าฉวีรักลูกชายและลูกสาวมากกว่าชีวิตของเขาเอง
ฟ่านต้าฉวีโทษตัวเองเมื่อฟ่านหลิงผ่านวัยแต่งงานไปแล้ว แต่ตอนนี้ฟ่านหลิงก็ตกลงแต่งงานในที่สุด ความสุขของเขามากเกินคำบรรยาย และถึงกับหลั่งน้ำตา
การขอสู่ขอประสบความสำเร็จ
ต่อไปก็คือการรับสินสอดและจัดงานแต่งงาน
เนื่องจากกู้เสี่ยวหวานกำลังจะไปที่เมืองหลวงเพื่อฉลองวันเกิดของไทเฮา ป้าจางและลุงจางจึงคุยกันว่าควรรีบจัดงานแต่งงานของฉือโถวและฟ่านหลิง เพื่อให้กู้เสี่ยวหวานได้เห็นฉือโถวแต่งงานก่อนที่จะไปเมืองหลวง
ป้าจางพูดคุยกับฟ่านต้าฉวี และเขาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับการแต่งงาน
ตระกูลจางไม่ดูถูกพวกเขาและให้เกียรติลูกสาวของเขา ถ้าลูกสาวแต่งงานกับครอบครัวจาง นางจะไม่ถูกรังแกอย่างแน่นอน
เมื่อก่อนยังกังวลเล็กน้อยว่าลูกสาวของตัวเองจะถูกรังแก แต่ความกังวลนี้ได้หายไปแล้ว
หลังจากหารือเรื่องงานแต่งงานแล้ว วันแต่งงานก็ถูกกำหนดให้เป็นวันที่สิบเก้า