ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 253 วสันต์ฤดูและสารทฤดู-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 253 วสันต์ฤดูและสารทฤดู-1

ภายในหอทรงปัญญา

ณ ที่พักของหลิวรุ่ยอิ่ง

“เจ้าน่าจะไปหาอาจารย์ของเจ้ามาแล้วกระมัง”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าพูดกับเซียวจินข่าน

หวาหนงมองเซียวจิ่นข่านด้วยสีหน้าประหลาดใจ

เซียวจิ่นข่านเป็นอาจารย์ของเขา

เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์ของตนยังมีอาจารย์อีก

เขาเติบโตในป่าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องปกติ

แต่อาจารย์ก็ไม่ต่างกับบิดามารดา

อาจารย์ถ่ายทอดวิชายุทธ

บิดามารดาให้กำเนิดชีวิต

ผู้หนึ่งให้เจ้ามีชีวิต

อีกผู้หนึ่งสอนให้เจ้าใช้ชีวิตให้ดียิ่งขึ้น

โดยเนื้อแท้ล้วนไม่มีสิ่งใดแตกต่าง

ทั้งสองสิ่งจะขาดผู้ใดไปไม่ได้

จิ่วซานปั้นเงียบไม่ส่งเสียงตั้งแต่หวาหนงกล่าวว่ายี่สิบตำลึงเงินมีค่าเท่ากับสองชีวิต

เขาจ้องรอยนิ้วมือเปื้อนเลือดบนด้ามกระบี่ของตนอย่างเลื่อนลอย

ยี่สิบตำลึงเงินนั่นก็วางไว้บนโต๊ะ

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เก็บมันกลับ

ไม่ใช่ว่าเขาดูแคลนเงินยี่สิบตำลึง

ยิ่งกว่านั้น ยี่สิบตำลึงเงินนี้เดิมก็เป็นของเขาอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่า สิ่งที่เขาอยากจะกล่าวนั้นสำคัญกว่ายี่สิบตำลึงเงินและสองชีวิตเสียอีก

“ยี่สิบตำลึงเงินก็อยู่ตรงนี้ สองชีวิตนั้น ขอเพียงเจ้าต้องการ ข้าจะสังหารแทนเจ้า”

จิ่วซานปั้นเงียบอยู่นานทีเดียว ทันใดนั้นก็โพล่งขึ้นมา

สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของหลิวรุ่ยอิ่งและเซียวจิ่นข่าน

“ข้าสังหารเพียงหนึ่งคน ส่วนอีกคนข้าไม่รู้ว่าเขาตายได้อย่างไร แต่สุดท้ายทั้งสองศพต่างก็อยู่เบื้องหน้าของข้า บวกกับยี่สิบตำลึงเงินนี้”

หวาหนงกล่าว

“ไม่สำคัญ เงินข้าก็ให้แล้ว เรื่องสังหารคนข้าก็ทำได้เช่นกัน”

จิ่วซานปั้นส่ายศีรษะพลางกล่าว

จากนั้นพลันล้วงผ้าเช็ดหน้าปักลายเช็ดคราบเลือดบนด้ามกระบี่อย่างพิถีพิถันจนสะอาด

มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไม่ใช่ของจิ่วซานปั้น

เพราะบนมุมของผ้าเช็ดหน้าปักอักษรตัวใหญ่ไว้

‘โอว’

“อาจารย์ข้าบอกว่าเขาก็ไร้หนทางเช่นกัน”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

ตอบสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งถามเขาก่อนหน้านี้

อันที่จริงเยี่ยเหว่ยอาจารย์ของเขาหาได้เอ่ยกล่าวสิ่งใดไม่

แต่ไม่พูดก็เท่ากับพูด

มีหนทางย่อมพูด

สิ่งที่เซียวจินข่านกล่าวไม่ใช่คำพูดเดิมของเยี่ยเหว่ย

แต่เขาไม่ได้ตีความความหมายของเยี่ยเหว่ยผิดไป

“แต่ข้าพบคนผู้หนึ่งที่ร้านของอาจารย์”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ผู้ใด”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

เขารู้ว่าผู้ที่สามารถนั่งร่วมกับอาจารย์ของเซียวจิ่นข่านได้ย่อมไม่ใช่พวกหัวมังกุท้ายมังกรเป็นแน่

“เถี่ยกวนอิน”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้ว

เขาย่อมรู้ว่าเถี่ยกวนอินเป็นใคร

ประมุขพรรคอาภรณ์แดงฉานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุทธภพในปัจจุบัน

ทั้งยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของกรมสอบสวนกลางอีกด้วย

แม้ว่าเถี่ยกวนอินจะเลื่องชื่อทั่วหล้า

แต่ข้อมูลเกี่ยวกับเขามีไม่มากจริงๆ

แม้แต่ภายในกรมสอบสวนกลาง

ก็มีเพียงประโยคสั้นๆ บนกระดาษว่า

‘เถี่ยกวนอิน’

‘ไม่ทราบนามจริง’

‘ประมุขผู้ก่อตั้งพรรคอาภรณ์แดงฉานในยุทธภพ’

‘ดีชั่วแยกแยะได้ยาก’

ไม่แน่ว่าประโยคที่มีค่าที่สุดในหนังสือทางการใบนี้อาจเป็น ‘ดีชั่วแยกแยะได้ยาก’ ประโยคสุดท้ายนั่น

ในเมื่อแยกแยะได้ยาก

เช่นนั้นหมายความว่าบุคคลนี้มีทั้งดีและชั่ว

แต่สุดท้ายแล้วเขาจะดีเมื่อใดและจะชั่วเมื่อใดนั้น ไม่มีผู้ใดรู้

ทว่าในมุมมองของหลิวรุ่ยอิ่ง

ยามที่เซียวจินข่านพบเจอ เขาเป็นคนดี

“อาจารย์เจ้ายังไร้หนทาง หรือเถี่ยกวนอินนี่จะมีหนทางเล่า”

หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ

“เถี่ยกวนอินก็ไม่เอ่ยสิ่งใด เขาคิดเพียงว่ารีบทำพลั่วและจอบกับอาจารย์ข้าให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเท่านั้น”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ตีพลั่วกับจอบเพื่อสิ่งใด”

หลิวรุ่ยอิ่งถามอย่างไม่เข้าใจ

“ปรุงอาหาร พวกเขาอยากลองว่าอาหารที่ทำออกมาจะอร่อยยิ่งกว่าหรือไม่”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งพูดไม่ออก

คนเช่นนี้ดีชั่วแยกแยะได้ยากดังคาด

ครั้นไร้เดียงสา ก็บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเด็กน้อยหัดพูด

ครั้นโฉดชั่ว ก็สามารถทำให้เลือดอาบกระบี่ทองและย้อมสีแดงฉานทั่วชุดคลุมสีแดง

หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเซียวจินข่านไม่มีทางทำสิ่งใดโดยไร้เป้าหมาย

ในเมื่อเขาเอ่ยนาม ‘เถี่ยกวนอิน’ นี้แล้ว

เช่นนั้นย่อมมีเหตุผลแน่นอน

ที่เขาไม่พูดก็เพราะไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดี

สิ่งสำคัญยิ่งกว่า เขาเข้าใจว่าเซียวจิ่นข่านต้องเอ่ยประโยคต่อไปเป็นแน่

เขากำลังรอ

เซียวจินข่านหันหน้ามา ยกแขนขวาขึ้น ยื่นสองนิ้ว

หลิวรุ่ยอิ่งมองท่าทางนี้ปราดเดียว จึงรีบปรับเปลี่ยนท่าให้สบายและนั่งดีๆ

และไม่ลืมรีบดื่มสุราให้ชุ่มคอ

อย่างที่คาดไว้

สองนิ้วของเซียวจิ่นข่ายแตะบนหน้าผากของหลิวรุ่ยอิ่ง

ม้วนภาพเสียงฟังรื่นหูทว่ายาวนานพลันปรากฏเบื้องหน้าของเขา

ยามนี้ร่างกายและจิตใต้สำนึกของเขาแยกออกจากกัน

เขาหัวเราะ

แม้ไม่รู้ว่ารอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้าหรือไม่

แต่เขาก็หัวเราะจริงๆ

เขาลอบดีใจ

ดีใจที่ตนไม่ได้ตัดสินผิดพลาด

ดีใจที่เมื่อครู่ตนเปลี่ยนเป็นท่าที่สบายที่สุด ทั้งยังดื่มสุราหนึ่งจอก

หากลังเลอีกนิด

จะต้องปวดหลังเมื่อยขบเป็นแน่

เพราะม้วนภาพนี้ยาวมาก

นานกว่าดูตี๋เหว่ยไท่และเสิ่นชิงชิวตัดสินแพ้ชนะเพียงกระบวนท่าเดียวในครั้งก่อนเสียอีก

………………………..

ดูเหมือนว่าเซียวจิ่นข่านจะไม่ค่อยรู้เรื่องในวัยเยาว์ของเถี่ยกวนอินมากนัก

ยามที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเถี่ยกวนอินอยู่ตรงหน้า เขาก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนแล้ว

เพียงแต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรเขาก็ไม่เหมือนบุคคลทรงอิทธิพลที่สามารถก่อตั้งยุทธภพที่ใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้ได้

เป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวนาผู้หนึ่งก็เท่านั้น

หรือจะเป็นชาวไร่

ยามนี้เป็นช่วงสารทฤดูพอดี

สำหรับชาวไร่แล้ว หนึ่งปีมีเพียงสองฤดูเท่านั้น

วสันต์ฤดูและสารทฤดู

ยามวสันต์ต้องดูแลเอาใจใส่ไม้ผล

ยิ่งเอาใจใส่เพียงใด สารทฤดูก็จะได้รับค่าตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น

แต่เถี่ยกวนอินไม่ใช่ผู้ที่เอาใจใส่ขนาดนั้น

เขาเกียจคร้านยิ่งนัก

เกียจคร้านกระทั่งยังไม่อยากจะนำเมล็ดข้าวไปนึ่งด้วยซ้ำ เพียงหยิบกำมือหนึ่งใส่ปากเคี้ยวกินดิบๆ ราวกับเมล็ดแตง

สิ่งนี้ทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งใจสั่นหวาดผวา

เมล็ดข้าวกินเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ

ทว่ามองเถี่ยกวนอินกินเข้าปากกำแล้วกำเล่า ทั้งยังดูสนุกกับตัวเองอีกต่างหาก

หลิวรุ่ยอิ่งพลันรู้สึกแปลกๆ ในใจ

กระทั่งตนรู้สึกอยากจะลองดู

มนุษย์ก็แปลกพิลึกเช่นนี้

ยามที่บางสิ่งไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อน ครั้นมีคนกระทำก็ดูแปลกพิลึกยิ่งนัก

เช่นนั้นคนรอบข้าง ย่อมกระตือรือร้นปรารถนาจะลองอย่างแน่นอน

บางทีปากอาจเอ่ยคำพูดเหน็บแนมไม่เข้าท่าเหล่านี้

แต่หลังจากฝูงชนแยกย้ายกันไป จะต้องแอบกลับไปลองที่เรือนเป็นแน่

จิตวิทยากลุ่มช่างซับซ้อนยิ่งกว่าจิตวิทยาบุคคลจริงๆ

เช่นเดียวกับที่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าการกินข้าวดิบไม่ถูกต้อง

แม้ว่าไม่ตาย

แต่รสชาติแย่มากเป็นแน่

ทั้งยังเปลืองแรงเคี้ยว

แต่เมื่อเขาเห็นเถี่ยกวนอินกินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้ ความขัดแย้งยิ่งจางลงไปเรื่อยๆ

สาเหตุหลักก็เนื่องจากมนุษย์มีอารมณ์ความรู้สึก

ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างเหตุผลและความเป็นจริง อารมณ์มักจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดเสมอ

มันไม่เคยล้มเหลว

ทว่าเถี่ยกวนอินก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

ไม่เช่นนั้นคงไม่เสี่ยงทำเรื่องที่ทั่วหล้าไม่ยอมรับ

ท่ามกลางผู้คนนับหมื่นพัน เลือกที่จะกินข้าวดิบ

หลิวรุ่ยอิ่งพบว่า เถี่ยกวนอินใช้ชีวิตเพียงลำพัง

ทว่าสวนไม้ผลของเขาก็ไม่เล็กจริงๆ

ฉะนั้นจึงไม่ต้องดูแลใส่ใจมันมากเกินไป

ทั้งยังทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องการกินดื่มตลอดทั้งปี

สิ่งนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งอิจฉาอย่างยิ่ง

เพื่อให้ผู้คนรอบข้างยอมรับ แม้ต้องสูญเสียวิจารณญาณและสามัญสำนึกของตนไป ก็ต้องได้รับความปลอดภัยและอำนาจกลับคืนมา

แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะเข้าใจหลักการนี้ดี

แต่เขาก็เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้แล้ว

กรมสอบสวนกลางเป็นฝูงชนกลุ่มหนึ่ง

เจ้าทำได้เพียงเชื่อฟัง

ไม่จำเป็นต้องใช้สมองคิด

ยิ่งครุ่นคิดมากเท่าใด ความผิดพลาดก็ยิ่งมากเท่านั้น

ยามที่ความผิดพลาดมากเกินไป หากไม่ส่งเข้าคุกหลวงก็ศีรษะหลุดจากบ่า

ความปลอดภัยและอำนาจที่ได้มาจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่พลันสูญสิ้น

แม้เถี่ยกวนอินจะเกียจคร้าน

แต่หากขยันขึ้นมา ก็สามารถขยันจนน่าตกใจได้เช่นกัน

ครั้งหนึ่งเขาเคยจับแมลงบนต้นไม้ในสวนและเผาจนตายเกลี้ยง เพราะกลางคืนเขานอนไม่หลับ

ทว่าเครื่องมือของเขามีเพียงตะเกียบกินข้าวคู่หนึ่งเท่านั้น

ค่ำคืนที่มืดมิด

สายลมเย็นฉ่ำ

มือขวาเถี่ยกวนอินถือตะเกียบคู่หนึ่ง ส่วนมือซ้ายถือเตาไฟ

ร่างของเขาขวักไขว่ไปมาระหว่างต้นไม้อย่างรวดเร็ว

ไปถึงที่ใดล้วนไม่ทำลายกิ่งไม้ ใบไม้ก็ไม่ร่วงหล่น

แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งยังมองเห็นไม่ชัดว่าเขาได้ขยับเคลื่อนไหวมือหรือไม่

แต่ควันสีขาวพวยพุ่งจากในเตาไฟอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังส่งเสียง ‘แซ่ดๆ’ ไม่หยุด

เพียงสั้นๆ กว่าหนึ่งชั่วยาม

สวนผลไม้ขนาดใหญ่ไม่มีแมลงสักตัว

เถี่ยกวนอินวางเตาไฟ โยนตะเกียบทิ้งอย่างภูมิใจและกลับไปนอนอย่างพึงพอใจ

“ต้องเคลื่อนไหวบ้างเป็นครั้งคราวจึงจะสามารถนอนหลับสบายดังคาด”

แม้วันนี้เขาจะยืดเส้นยืดสายแล้วก็จริง

แต่กลับไม่สามารถนอนหลับสนิทได้จริงๆ

เพราะเขาโยนตะเกียบเข้าไปในเตาไฟ

ทว่าเตาไฟนั้นหาได้มอดดับไม่

เตาไฟเผาไหม้ตะเกียบ

มิหนำซ้ำสายลมพัดตะเกียบขึ้นไปบนหลังคาอีกต่างหาก

หญ้าจากที่มุงบนหลังคาลุกไหม้ในชั่วพริบตา

เถี่ยกวนอินหลับตาสูดจมูกดม

เห็นได้ชัดว่าเขาได้กลิ่นเพลิงไหม้หญ้า

แต่เขากลับเมินเฉย

เพราะวันนี้เขาหมายมั่นตั้งใจว่าจะนอนหลับฝันดี!

ฉะนั้นแม้เป็นเรื่องใหญ่โต ก็ไม่มีทางทำให้เขาลุกจากเตียง

อย่างน้อยเขาจะไม่ลุกขึ้นเด็ดขาดจนกว่าจะคิดว่านอนหลับสบายแล้ว

ทว่าเพลิงไหม้หลังคาแล้ว ดูเหมือนเรือนนี้จะมีกำแพงเพลิงเพิ่มขึ้นมาหนึ่งด้าน

ในเรือนถูกเพลิงไหม้จึงร้อนขึ้นเรื่อยๆ

เถี่ยกวนอินถีบผ้านวมออกก่อน

ต่อมาครู่หนึ่งก็ถอดกางเกงชั้นในออกอีก

นอนเปลือยโล่งโจ้งอยู่บนเตียงเช่นนี้

จนกระทั่งผ้าปูและหมอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาจึงลืมตาโพลง

พ่นคำด่าสาดเสียเทเสียและพูดออกมาเป็นภาษาถิ่นบางแห่ง

หลิวรุ่ยอิ่งฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เดิมทีเขาคิดว่าเถี่ยกวนอินจะต้องไปดับไฟเป็นแน่

สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เถี่ยกวนอินใช้ผ้านวมที่เพิ่งถีบออกก่อนหน้านี้ห่อตัวและเดินออกจากประตูไป

ไม่ปรายตามองหลังคาที่กำลังลุกไหม้อยู่ด้วยซ้ำ

…………………………………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท