ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 254 วสันต์ฤดูและสารทฤดู-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 254 วสันต์ฤดูและสารทฤดู-2

เขาห่อผ้านวมแล้วเดินลึกเข้าไปในสวนผลไม้

มองหาพื้นดินอ่อนนุ่ม

ปูผ้านวมลงไป

พาดส่วนที่เหลือไว้บนร่างกายท่อนล่างแล้วนอนต่อ

ถึงอย่างไรทั้งสวนผลไม้ก็ไม่มีมดและแมลง

คราวนี้เขานอนหลับสนิทอย่างยิ่ง

หลังเห็นว่าตะวันโด่งฟ้าแล้ว

แสงแดดลอดผ่านกิ่งก้านไม้ใบ ส่องประกายบนใบหน้าเขา

เถี่ยกวนอินจึงตื่นนอนอย่างสบายๆ

เขาหยัดกายยืนขึ้นแล้วเด็ดสาลี่บนต้นไม้

เนื่องจากเมื่อคืนเสียเหงื่อมากเกินไป ตอนนี้จึงกระหายน้ำยิ่งนัก

แสงไฟพวยพุ่งขึ้นฟ้าเมื่อคืนวานและควันดำขมุกขมัวหนาทึบ

ชาวไร่ที่อยู่บนเนินเขารอบๆ หลายแห่งกุลีกุจอเข้าไปช่วย

แต่เมื่อเขาเห็นเถี่ยกวนอินห่อผ้านวมบนร่าง คาบสาลี่ในปาก เดินหรี่ตาออกมาจากส่วนลึกของสวนผลไม้จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ไอ้หยา ยังปลอดภัยดีๆ! เรือนไฟไหม้แต่คนยังอยู่รอด บ้านเรือนน่ะคนเป็นผู้สร้าง ตราบใดที่ยังมีคนอยู่ก็ค่อยสร้างใหม่ได้!”

เถี่ยกวนอินโบกมือกล่าวอย่างสบายๆ

ฝูงชนจึงค่อยๆ ถอยกลับไป

ทว่าเขาพบแท่งไม้เรียวยาวมากไม่รู้มาจากที่ใด

โยนลูกสาลี่ขึ้นไปกลางอากาศ

มือถือแท่งไม้ เจาะทะลุแกนกลางลูกสาลี่ทันที

แม้เรือนจะไหม้วอดทั้งหลังไปแล้วก็ตาม

แต่ความอบอุ่นยังคงอยู่

เถี่ยกวนอินหมายจะใช้ไฟที่เหลือนี้ย่างลูกสาลี่กิน

ทันทีที่เขายื่นลูกสาลี่เข้าไปท่ามกลางซากผนังกองนั้นถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ลูกสาลี่ต้องปอกเปลือกจึงจะมีรสชาติยอดเยี่ยม

ทว่าตอนนี้มีดอยู่ที่ใดเล่า

เถี่ยกวนอินเห็นหญ้าหางแมวอยู่ไม่ไกลจากหลังส้นเท้าของตนจึงเด็ดใบมันติดมือมา

หลิวรุ่ยอิ่งกำลังกลัดกลุ้ม เถี่ยกวนอินจะใช้ประโยชน์จากหญ้าหางแมวเพียงใบเดียวอย่างไร

แต่ภาพต่อไปกลับทำให้เขาตกตะลึงจนเหงื่อชุ่มไปทั่วร่าง

เถี่ยกวนอินใช้หญ้าหางแมวปอกเปลือกลูกสาลี่ออกทีละแถว

หญ้าป่าที่อ่อนอย่างยิ่ง

ครั้นอยู่ในมือเขากลับคมกริบและแข็งแรงยิ่งกว่ามีด

สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจก็คือ

ในเมื่อเขามีความสามารถเช่นนี้

ไฉนยังอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะชาวไร่เล่า

อีกทั้งในวัยนี้ยังมีความสามารถถึงเพียงนี้ได้อย่างไร

มนุษย์ล้วนเกิดจากบิดามารดา

ต่างก็มีบ่าสองข้างแบกหนึ่งศีรษะ

วันเวลาก็ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเช่นเดียวกัน

ไม่ว่าจะข้าวดิบหรือข้าวสุกก็ต้องกินทีละคำเช่นกัน

หากกล่าวว่าท่าร่างก่อนหน้านี้ว่องไว

ยังพออธิบายได้ว่าเขาคุ้นเคยกับพื้นที่และมีสายตายอดเยี่ยม

แต่ตอนนี้ใช้ต้นหญ้าเป็นดาบกระบี่ช่างอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั่วไป

เถี่ยกวนอินนำสาลี่ที่ปอกเปลือกแล้วไปย่าง โดยใช้เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา

จากนั้นกินเข้าไปคำใหญ่

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับรสชาติของมันนัก

แม้จะขมวดคิ้ว เขากลับกินจนเกลี้ยง

สิ่งที่ตนเลือกเอง ต่อให้ทรมานพียงใดก็ต้องทำให้สำเร็จ

……………………..

ปีนี้เป็นปีที่ดีสำหรับชาวไร่

ต่อให้สวนผลไม้ของเถี่ยกวนอินจะไม่ได้รับการดูแล ผลผลิตก็ไม่ถือว่าต่ำ

เขาใช้มือเด็ดสาลี่ข้างละหนึ่งลูกจนเต็มตะกร้าใหญ่สองใบ

ใช้เวลาทั้งคืนก็เดินไปบนเส้นทางภูเขากว่าสองร้อยลี้

จนมาถึงตลาดบริเวณเชิงเขาเพื่อขายมัน

ครั้นหาเงินได้สิบกว่าตำลึงเงิน หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเขาจะนำมาสร้างเรือนใหม่

แม้ท่าทางเถี่ยกวนอินเหมือนจะนอนหลับสนิทบนพื้นดินอ่อนนุ่มยิ่งนัก

แต่ถึงอย่างไรมนุษย์จำต้องมีบ้านเรือนจึงจะนับว่าใช้ชีวิต

ไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม

ไร้บ้านเรือนก็จะไร้ที่อยู่อาศัย

ตราบใดที่มีเรือนเป็นของตนเองสักหลัง แม้จะอดตายในบ้านก็ยินยอมพร้อมใจ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากคิดเช่นนี้ละก็ เขาก็ไม่ใช่เถี่ยกวนอิน

เงินสิบกว่าตำลึงเขาใช้มันหมดไปกับการดื่มสุรา

ทั้งยังเรียกสตรีสองคนในหอนางโลมฝั่งตรงข้ามมาดื่มสุราด้วย

เดิมเงินเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีทางเรียกสตรีงามได้

แต่บังเอิญว่าเขารูปลักษณ์ดูดี

คอแข็งกล้าได้กล้าเสียอย่างยิ่ง

สง่างามคารมคมคาย

ฉะนั้นแม้สตรีงามจะแบ่งได้เพียงคนละสองสามตำลึง แต่ก็ทำให้เหล่าแม่นางต่างแย่งชิงกัน

ดื่มสุราแล้วก็ได้เวลานอน

แต่เขาไม่มีเงินเหลือให้ใช้จองห้องพักแล้ว

ทำได้เพียงนอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะในหอสุรา

แม่นางทั้งสองก็นอนคว่ำหน้ากับโต๊ะอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วย

หลังจากสร่างเมา เขาตบไหล่แม่นางทั้งสองเบาๆ

จากนั้นจากไปอย่างสง่างาม

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่านับตั้งแต่แม่นางทั้งสองมาถึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแตะต้องร่างกายของทั้งสอง

แขกที่สุภาพสง่างามและคารมคมคายเช่นนี้

จะไม่ทำให้คณิกาหอนางโลมเหล่านี้พึงพอใจได้อย่างไร

สามารถมองเห็นได้จากความนึกเสียดายในแววตาของพวกนาง

แต่เถี่ยกวนอินหาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ไม่

เดิมทีก็ไม่มีกะจิตกะใจจะมองดูความเสน่หาที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของพวกนางอยู่แล้ว

หากคราวหน้ามาดื่มอีก ผู้ที่มาจะเป็นแม่นางสองคนนี้หรือไม่ก็ไม่อาจล่วงรู้

หากยอมรับอย่างง่ายดาย จะไม่เสียเวลาผู้อื่นและเสียเวลาตนเองหรอกหรือ

หลิวรุ่ยอิ่งมองทะลุปรุโปร่งแล้ว

เขาเพียงมองหาคนดื่มสุราด้วยก็เท่านั้น

ผลไม้ยิ่งสุกงอมมากเท่าใด

สุราที่เขาดื่มก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

แต่มักจะมีวันที่ผลไม้ขายจนหมดเกลี้ยง

เช่นเดียวกับเงินในกระเป๋าของเขา

ลดเหลือน้อยลงเข้าไปทุกวัน

จนกระทั่งต่อมาเขาซื้อได้แค่สุรา แต่จ่ายเงินเรียกสตรีไม่ไหว

เขาจึงลากเสี่ยวเอ้อร์ในร้านมาเล่นทายนับนิ้ว

แต่ทักษะการทายนับนิ้วของเขาแย่มากจริงๆ

ยามที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเป็นตาที่สามสิบแล้ว เขาไม่เคยชนะเลยแม้แต่ตาเดียว

เสี่ยวเอ้อร์ด้านข้างกระโดดโลดเต้นอย่างร้อนรนใจ

เนื่องจากเขารู้ว่าเงินของเถี่ยกวนอินเพียงพอสำหรับซื้อสุรามากมายเท่านั้น

ทว่าเขากลับไม่ดื่มแม้แต่อึกเดียว

เสี่ยวเอ้อร์เสนอเปลี่ยนกฎเกณฑ์ให้ผู้ชนะดื่มสุรา

เถี่ยกวนอินพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยินดี

ผ่านไปอีกสามสิบตา

เถี่ยกวนอินราวกับคนละคน ไม่เคยแพ้สักตา

ก็เป็นเช่นนี้ ในที่สุดสุราทั้งหมดจึงตกไปอยู่ในท้องของเขาเอง

น่าสงสารก็แต่เสี่ยวเอ้อร์ เล่นกับเขามาทั้งคืนทว่าสุราจอกเดียวก็ไม่ได้ลิ้มรส

……………………..

หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ

หากเขามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขเช่นนี้ต่อไปจะดีเพียงใดกัน

เหตุใดจึงต้องเปลืองทั้งแรงกายแรงใจอย่างไร้ประโยชน์เพื่อให้ได้อาภรณ์แดงฉานทั้งร่างมาเล่า

เถี่ยกวนอินในยามนี้

ไม่ตำหนิสวรรค์ และไม่พึ่งพาผู้อื่น

กำหนดกฎเกณฑ์ให้ตนเอง

แต่ตราบใดที่กำหนดแล้ว ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด

เขาสนุกกับชีวิตจริงๆ

แม้จะไม่ร่ำรวยมีทรัพย์

แต่ใช่ว่าผู้ร่ำรวยจะมีความสุขหรือสนุกมากกว่าเขาเสมอไป

พวกเขาสามารถซื้อค่ำคืนแห่งความสุขกับนางคณิกาที่นิยมชมชอบได้

แต่จะไม่มีวันได้รับความจริงใจที่เหลืออยู่ในก้นบึ้งหัวใจของพวกนาง

พวกเขาสามารถเชิญแขกเต็มทั่วงานและให้ทุกคนสรรเสริญดื่มอวยพรได้

แต่ไม่มีวันได้เห็นท่าทางเกาหูเกาแก้มของเสี่ยวเอ้อร์ที่เล่นทายนับนิ้วเพื่อให้ได้ดื่มสุราหนึ่งจอกแม้แต่คนเดียว

ความจริงใจและลักษณะท่าทางเช่นนี้

เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไม่ใช่หรือ

หลิวรุ่ยอิ่งอดทอดถอนใจไม่ได้

การทอดถอนใจก็ออกมาจากหัวใจของเขาเช่นกัน

ชีวิตก็เหมือนกันทุกคน

แต่ชีวิตสามารถมีหลากหลายสีสันได้

ในเวลาเพียงไม่กี่วันสั้นๆ นี้ เขากลับทำเรื่องที่เหนือความคาดหมายมามากมายแล้ว

และเรื่องราวเหล่านี้นำมาซึ่งความสุข

เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ผู้อื่นจะไม่มีวันได้สัมผัสมัน

หลิวรุ่ยอิ่งจำต้องยอมรับ

อย่างน้อยตนก็ทำไม่ได้

ครั้นนึกถึงผู้คนที่ตนรู้จัก

ดูเหมือนจะมีเพียงจิ่วซานปั้นที่พอจะเข้าเค้า

แต่จิ่วซานปั้นก็ไม่ได้มีความรอบรู้เท่าเขา

ท้ายที่สุดแล้วก็ยังมีประสบการณ์น้อยเกินไป

หากเป็นไปได้

หลิวรุ่ยอิ่งอยากเห็นชีวิตก่อนที่เถี่ยกวนอินจะอาศัยอยู่ในสวนผลไม้นี้ด้วยซ้ำ

เพียงแต่สามารถมองเห็นได้บางส่วนเท่านั้น

คนเช่นนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหรือทำสิ่งใดล้วนเจริญรุ่งเรือง

บางคนบอกว่าลูกสาลี่ของเขาไม่ดี เขาจะโต้เถียงกับผู้อื่นจนถึงที่สุด

ถึงขั้นหยิบมีดของคนขายเนื้อข้างๆ อย่างไม่ลังเล บังคับคนผู้นั้นกินสาลี่ของตน จากนั้นให้เขาตอบว่าดีซ้ำๆ

แต่บางครั้งตระกูลร่ำรวยเหล่านั้นขี่ม้าสูงใหญ่ผ่านตลาดจนน้ำโคลนกระเด็นไปทั่วกายเขา

ทว่าเขาเพียงก้มศีรษะหัวเราะ ไร้การตอบโต้ใดๆ

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไร

แต่นี่จะต้องเป็นกฎเกณฑ์บางอย่างที่เขาตั้งให้ตัวเอง

ส่วนกฎเกณฑ์เหล่านี้คือสิ่งใด ตราบใดที่เข้าใจมันก็จะเข้าใจคนอย่างเถี่ยกวนอิน

ในทางตรงกันข้าม ก็จะรู้เกี่ยวกับพรรคอาภรณ์แดงฉานเช่นกัน

สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเป็นเพียงภาพสะท้อนส่วนเล็กๆ กลางสารทฤดูเท่านั้น

ยังมีวสันต์ฤดูที่สำคัญไม่แพ้กันซึ่งกำลังรอหลังสารทฤดูผ่านไป

หลิวรุ่ยอิ่งตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่อารมณ์ยังค้างอยู่

เขาค่อยๆ เข้าใจความตั้งใจของเซียวจินข่าน

ฉะนั้นจึงสงบสติอารมณ์และเฝ้าดูมันต่อไป

……………………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท