บทที่ 1109 ตอนพิเศษ (13/1)
บทที่ 1109 ตอนพิเศษ (13/1)
เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่ฉาวจิ่งไปหาจงซู่เกินเพื่อยืมเกวียน
ในตอนที่จงซู่เกินพาหยางชิงซือมา หลิวจิ่วจู๋กำลังขนตัวยาที่เตรียมไว้หลายวันนี้
“เจ้าไม่ต้องทำ” ลู่ฉาวจิ่งรับสัมภาระไปจากมือหลิวจิ่วจู๋
“ข้าทำได้” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ข้ากับท่านย่าเคยพึ่งพาอาศัยกัน ท่านย่าอายุมากแล้ว ผู้ที่ขนของล้วนเป็นข้า”
“นั่นเป็นก่อนหน้า ตอนนี้มีข้าแล้ว ย่อมไม่ต้องให้เจ้าขนของ” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย
หยางชิงซือร้องขึ้นว่า “พวกเจ้าสองคนพอได้หรือยัง? เกี้ยวพาราสีกันอยู่เช่นนี้ทั้งวัน ไม่นึกถึงข้าแม่นางน้อยที่ยังไม่ได้ออกเรือนผู้หนึ่งบ้างเลย”
หลิวจิ่วจู๋ผลักแขนของหยางชิงซือเบา ๆ “พูดเหลวไหลอะไรกัน!”
“ข้าพูดผิดหรือไร? หรือว่าพวกเจ้าไม่ได้เกี้ยวพาราสีกัน?”
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
“ข้าจะเข้าเมืองกับพวกเจ้าน่ะสิ!” หยางชิงซือเอ่ย “พี่สะใภ้ข้าร่างกายอ่อนแอ นางจำเป็นต้องกินอาหารดี ๆ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย ข้าก็ตามเจ้าไปเก็บสมุนไพรไม่ใช่หรือ? จะได้นำเข้าเมืองไปแลกเงินซื้ออาหารบำรุงให้พี่สะใภ้กินพอดี”
“ที่บ้านเจ้ามีไข่ไม่ใช่หรือ? กินไก่กับไข่ในช่วงอยู่เดือน นั่นก็บำรุงกำลังมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมอย่างอื่นอีก”
หยางชิงซือทำหน้ามุ่ย “นั่นจะใช่ก็ต่อเมื่อพี่สะใภ้ได้กินไก่กับไข่ของข้า ไก่บ้านเราแต่ละวันออกไข่หลายฟอง แม่ข้านับมันอย่างชัดเจน นางนับไข่ก็แล้วไปเถิด แต่ทุกวันไก่วางไข่กี่ฟอง นางก็จะหยิบออกไปเก็บไว้ในตู้ ตอนเข้าอำเภอก็จะนำไปขายที่ตลาด”
“พี่สะใภ้เจ้าพึ่งคลอดเมื่อคืนนี้ ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องบำรุงร่างกายให้นาง วันนี้ไม่ได้ต้มไข่ให้นางเลยหรือ?”
“ต้มอะไรกัน?” หยางชิงซือเอ่ย “หากภายหน้าข้าคลอด ข้าจะพาลูกสาวข้าจากไปทันที”
ขณะที่กล่าวคำนี้ นางก็เหลือบมองจงซู่เกินแวบหนึ่ง
จงซู่เกินหน้าแดงเรื่อ “ไม่มีทาง ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำอย่างนั้นแน่นอน”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า? เจ้าจะรับรองอะไรได้?” หยางชิงซือหัวเราะเยาะเขา ครั้นนางหันกลับมา ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูไม่เหมือนไม่ชอบใจแม้แต่น้อย
จงซู่เกินถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง
จงซู่เกินบุรุษซื่อ ๆ ผู้นี้จะต้องถูกหยางชิงซือเขมือบตายเป็นแน่ ทว่าเช่นนี้ก็ดี หยางชิงซือเป็นคนจิตใจดีทำอะไรรวดเร็ว จงซู่เกินเชื่องช้า ทว่ามีน้ำใจต่อมิตรสหาย ทั้งสองคนล้วนเป็นคนดี หากกลายเป็นสามีภรรยากัน ภายหน้าคงแยกจากกันไม่ได้อย่างแน่นอน
จงซู่เกินขึ้นไปบนเกวียน ลู่ฉาวจิ่งนั่งลงข้าง ๆ เขา
หยางชิงซือกับหลิวจิ่วจู๋พูดคุยหัวเราะเฮฮา ทั้งสองคนพูดคุยกันเรื่องความสวยความงามตั้งแต่หัวจนถึงกระโปรงที่สวมใส่ จากนั้นก็พูดคุยเรื่องที่ไม่นานมานี้หยางชิงซือปะทะฝีปากกับสตรีปากคอเราะร้ายในหมู่บ้านทำให้อีกฝ่ายวิ่งหนีหางจุกตูดไป นับแต่นั้นก็ไม่กล้าสร้างปัญหาให้นางอีก
“เจ้าอ่อนโยนเกินไป หากเจ้าเป็นอย่างข้า ผู้ใดจะกล้าสร้างปัญหาให้เจ้า? แต่ไม่เป็นไร ครอบครัวแม่เลี้ยงเจ้าทางนั้นกำลังวุ่นวายทีเดียว ไม่มีเวลามาสร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว”
“พวกเขาเป็นอะไรหรือ?” หลิวจิ่วจู๋เอ่ยถาม
“ยังไม่ใช่เรื่องที่ฝางซิ่วหลานถูกจับหรือไร?” หยางชิงซือเอ่ย “ข้านึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าหลิ่วจินเปยจะลุ่มหลงนางจนหน้ามืดตามัว อุทิศตนให้ฝางซิ่วหลานถึงเพียงนั้น ฝางซิ่วหลานมีปัญหาใหญ่โต เขาก็ยังคิดจะประกันตัวนางออกมา คราวนี้ไม่เพียงอวี๋ซื่อไม่ยินดีแล้ว แม้กระทั่งพ่อเจ้าก็ไม่ยินดีเช่นกัน ดังนั้นหลายวันมานี้ล้วนมีปัญหาไม่หยุดหย่อน วุ่นวายอลหม่านไปหมด”
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่คาดคิด”
ถึงขั้นนี้แล้ว หลิ่วจินเปยยังไม่ทอดทิ้งฝางซิ่วหลาน สตรีผู้นั้นให้เขากินยาเสน่ห์อะไรกันแน่?
“หลิ่วจินเปยเรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง ต่อภรรยาแล้วกลับปฏิบัติตัวดีกว่าบุรุษส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเสียอีก”
“หากไม่ใช่เพราะเขาคอยให้ท้าย ฝางซิ่วหลานคงไม่อุกอาจถึงเพียงนี้ ท้ายที่สุดแล้ว ฝางซิ่วหลานกลายเป็นอย่างทุกวันนี้ เขาก็มีส่วนต้องรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง”
การนั่งเกวียนจากหมู่บ้านสกุลหลิ่วเข้าไปในตัวเมืองกินเวลาหลายชั่วยาม
พวกเขาออกเดินทางตอนรุ่งสางจนกระทั่งบ่ายโมงจึงมาถึงตัวเมือง
“ทานอะไรกันก่อนเถอะ!” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ทุกคนคงหิวกันแล้ว”
“โชคดีที่ระหว่างทางกินแป้งทอดมาบ้างจึงยังไม่หิวมาก พวกเรายังคงขายของก่อนเถิด จะได้รู้ว่าจะหาเงินได้กี่มากน้อย” หยางชิงซือเอ่ย “ไม่เช่นนั้นหากร้านยาปิด เช่นนั้นตัวยาของเราก็ขายไม่ได้แล้ว”
“เช่นนั้น เจ้าไปส่งจดหมายก่อนเถอะ?” หลิวจิ่วจู๋หันไปมองลู่ฉาวจิ่ง
ลู่ฉาวจิ่งส่ายหน้าเบา “เรื่องนี้ไม่เร่งด่วน”
เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย ทั้งยังไม่รู้ว่ามีกองคาราวานไปยังเมืองหลวงหรือไม่
หลังจากดูรอบ ๆ แล้วก็พบร้านที่ราคาสมเหตุสมผลที่สุดร้านหนึ่ง
“คราวหน้าพวกเราเข้าเมืองมาขายตัวยากันเถอะ ราคาที่นี่สูงกว่าในอำเภอเสียอีก” หยางชิงซือเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุด นางนำเหรียญทองแดงออกมานับ
“คืนนี้ต้องนอนที่นี่” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “นับรวมระยะทางกับค่าที่พักแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่นก็ขาดทุนอยู่มาก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหยางชิงซือจางลงไปเล็กน้อย
“เฮ้อ…” หยางชิงซือกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “หากข้าร้ายกาจอย่างพระชายาลู่ก็คงดี”
“พระชายาลู่?” ลู่ฉาวจิ่งตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“ใช่สิ ท่านคงไม่ได้ไม่รู้จักพระชายาลู่กระมัง?” หยางชิงซือจ้องมองเขา “ไม่ถูก ไม่ต้องเอ่ยถึงอาณาจักรฮุ่ย แม้กระทั่งคนจากแคว้นอื่น ๆ ก็ไม่มีคนไม่รู้จักพระชายาลู่ ในอาณาจักรฮุ่ยเราแม้กระทั่งเด็กสามขวบยังรู้จักพระชายาลู่ ท่านแซ่ลู่ ไม่มีทางไม่เคยได้ยินชื่อพระชายาลู่กระมัง?”
“ได้ยินน่ะได้ยินมาบ้าง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าท่านจะชื่นชมพระชายาลู่” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว
“ในอาณาจักรฮุ่ยเรา ไม่สิ ทั้งใต้หล้านี้ สตรีใดบ้างไม่ชื่นชมพระชายาลู่?” หยางชิงซือเอามือข้างหนึ่งเท้าสะเอว ราวกับกำลังบอกว่าหากลู่ฉาวจิ่งกล้าปฏิเสธนางก็ลองดู
แน่นอนว่าลู่ฉาวจิ่งย่อมไม่กล้าปฏิเสธ
มีคนบอกว่ามารดาเขาเก่งกาจ เขาคงไม่เอ่ยกับผู้อื่นว่า ‘แม่ข้าไม่ได้ดีเพียงนั้น’ กระมัง? หากกล้าบังอาจเช่นนั้น บิดาคงจะเป็นคนแรกที่ไม่ไว้ชีวิตเขา
“ชิงซือ เจ้าคิดว่านักเล่าเรื่องของที่นี่จะเล่าวีรกรรมของพระชายาลู่หรือไม่?” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “คราวที่แล้วนักเล่าเรื่องผู้นั้นเข้าเมืองมาเล่าเรื่อง ข้าได้ฟังเพียงแค่ครึ่งเดียว ยังไม่รู้เลยว่าภายหลังพระชายาลู่ออกแบบกลไกอย่างไรมาจัดการกับผู้ร้าย!”
“อีกประเดี๋ยวพวกเราไปหาดู อาจจะเจอก็ได้”
จงซู่เกินที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “นักเล่าเรื่องมักจะอยู่ในโรงน้ำชา ทั้งต้องสั่งชาสักถ้วย…”
ดวงตาสองคู่จับจ้องไปยังจงซู่เกิน
“พวกเราสั่งชาที่ถูกที่สุดได้” หยางชิงซือกล่าว “ชาที่ถูกที่สุดราคาสิบอีแปะ ข้าออกเอง”
“ผู้ใดให้เจ้าออกกัน? พวกเราคนละครึ่ง” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ไป ไปเดินเที่ยวเล่นกันก่อนเถอะ เราไม่ได้เข้าเมืองมานานแล้วนี่”
จงซู่เกินถอนหายใจ
“เมื่อครู่อยากให้พวกเจ้าท่านกินบะหมี่สักถ้วย พวกเจ้ากลับตัดใจใช้เงินไม่ได้ บัดนี้ดีนัก กลับจะนำไปดื่มชาเสียแล้ว”
ลู่ฉาวจิ่งหัวเราะออกมา “พี่ใหญ่จง ยามนี้บุรุษอย่างพวกเราทำได้เพียงตามพวกนางไป คอยปกป้องพวกนาง ยากนักที่พวกนางจะได้มีความสุข เหตุใดต้องทำให้เสียบรรยากาศด้วยเล่า?”
“ท่านพูดถูก ข้าเพียงแค่เสียใจที่พวกนางไม่กล้าใช้เงินซื้อของกิน แต่กลับนำเงินนั้นไปฟังเรื่องเล่าเสียได้” จงซู่เกินกล่าว
“ทางนั้นขายซาลาเปา” ลู่ฉาวจิ่งชี้ไปฝั่งตรงข้าม “ข้าจะคอยดูพวกนาง ท่านไปซื้อซาลาเปาเถอะ”