ตอนที่ 405 หลิงฉางจื้้อ
เซียวอี้เป็นตัวเลือกที่สำเร็จรูป
ราวกับการที่เขาเกิดมาก็เพื่อสงครามครั้งนี้!
เขาเป็นแม่ทัพกองทัพใต้คนก่อน นำกองทัพใต้พิชิตสงครามทั้งเหนือใต้ ถือว่ามีความดีความชอบอย่างมาก
อีกทั้งเขาทำสงครามเป็น กล้าทำสงคราม ไม่ใช่คนไร้ความสามารถที่เอาแต่พูดเรื่องกลยุทธ์บนกระดาษนั้น
นอกจากนี้เขายังเป็นเชื้อพระวงศ์ คิดว่าฮ่องเต้จะทรงเชื่อใจเขาในการนำทัพทำสงครามมากกว่า
แต่…
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้กลับมีความลังเล
เวลานี้ มีคนยืนออกมาคัดค้าน พร้อมทั้งทูลเสนอผู้มีความสามารถคนอื่น
ราชสำนักถกเถียงกันอย่างไม่หยุดหย่อน
เวลานี้ หลิงฉางจื้้อยืนออกมาทูลเสนอตัวเอง “กระหม่อมเต็มใจที่จะบรรเทาความทุกข์แทนฝ่าบาท แก้ไขสถานการณ์เลวร้าย จัดระเบียบกองทัพใหม่!”
บรรดาขุนนางต่างผงะไป
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ก็ผงะเช่นเดียวกัน จากนั้นเขาก็หัวเราะร่า
“ใต้เท้าหลิงมีใจบรรเทาความกังวลแทนข้า ดีมาก! เช่นนั้น ข้าจะมอบหมายภารกิจนี้ให้ใต้เท้าหลิง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
“กระหม่อมไม่กล้าทรยศต่อความเชื่อใจของฝ่าบาท!”
เมื่อบรรดาขุนนางเห็นเป็นหลิงฉางจื้้อ ผู้เป็นตัวแทนของบุตรหลานตระกูลขุนนางที่โดดเด่น
เขานำทัพกองทัพใต้ในฐานะขุนนางบุ๋นก็ราวกับเป็นความคิดที่ไม่เลว
ดังนั้นจึงตัดสินใจอย่างไร้ข้อคัดค้าน
…
หลิงฉางจื้้อได้รับบัญชาให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพกองทัพใต้
เขาดำเนินหน้าที่อย่างแข็งขันและเด็ดเดี่ยว
ช่วงเวลาพิเศษย่อมต้องใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดา
เขาใช้องครักษ์ของตระกูลหลิงมาเติมเต็มกำลังพลในกองทัพใต้ บัญชาการเหล่าพลทหารที่เหลือ คัดพลทหารที่ไม่มีคุณสมบัติออก สนับสนุนผู้ที่มีความกล้าหาญในการรบ…
หลังจากกระบวนการทั้งหมด ภาพลักษณ์ของกองทัพใต้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง!
เวลานี้ โจรกบฏเริ่มทยอยเข้าใกล้เมืองหลวง รายล้อมเมืองหลวงเอาไว้แล้ว
“ยโสโอหัง บังอาจโจมตีเมืองหลวง ซือหม่าโต่วหาที่ตาย!”
“กองทัพของท่านอ๋องฉินที่เร็วที่สุดจะถึงเมืองหลวงเมื่อใด”
“คำนวณจากเวลา เกรงว่ายังต้องรออีกหลายวัน”
“พวกทหารที่หยิ่งยโสนั้น หากไม่มีผลประโยชน์ พวกเขาจะยอมรีบมาช่วยเหลือเมืองหลวงได้อย่างไร! ข้าว่า พวกเขากำลังถ่วงเวลาระหว่างทาง!”
“ในเมื่อแม่ทัพท้องถิ่นพึ่งพาไม่ได้ เช่นนั้นก็ดึงกำลังส่วนหนึ่งจากชายแดนด่านหน้าทางเหนือมา!”
กองกำลังที่สามารถรบชนะส่วนใหญ่ของราชสำนักต้าเว่ยล้วนกำลังต่อต้านราชวงศ์อูเหิงอยู่ที่ด่านหน้าทางเหนือ
นครบาลเสียหายจากการถูกโจรกบฏโจมตี
เวลานี้ อันดับแรกคือต้องแก้ไขสถานการณ์อันยากลำบากของเมืองหลวง อันดับต่อไปจึงจะคำนึงถึงสงครามด่านหน้าทางเหนือ
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ทรงเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้อย่างมาก
พระราชโองการหลากหลายฉบับออกมา เร่งเร้าให้ท่านมหาเสนาใต้เท้าชุยอย่างน้อยต้องถอนกำลังส่วนหนึ่งมาช่วยเหลือเมืองหลวง
ต่อมา ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้เจาะจงชื่อแซ่ในพระราชโองการ เขาต้องการให้กองทัพเหลียงโจวมาช่วยเหลือเมืองหลวง
เหตุใดจึงเป็นกองทัพเหลียงโจว
เพราะซื่อจื่อแห่งเหลียงโจว หลิวจางยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ถึงเวลาตาย
พระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงก็อยู่ในกองทัพ
เมื่อเทียบกับกองทัพโยวโจว เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เชื่อใจกองทัพเหลียงโจวมากกว่า
กองทัพที่เติบโตขึ้นมาในพื้นที่ยากจนไม่อาจดูถูกความสามารถในการต่อสู้ได้ อีกทั้งยังถือว่าจงรักภักดีอย่างยิ่ง
แม่ทัพใหญ่ปราบปรามเชลย ท่านมหาเสนาใต้เท้าชุยคัดค้านการตัดสินใจนี้อย่างแน่นอน
กองทัพเหลียงโจวเคลื่อนย้ายไม่ได้
หากเคลื่อนย้าย ย่อมมีผลกระทบต่อภาพรวม
เขาเสี่ยงไม่ได้
สุดท้ายท่านมหาเสนาใต้เท้าชุยตัดสินใจ โยกกองทัพชิงโจวมาช่วยเหลือเมืองหลวง
ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยอย่างมาก
ส่วนบรรดาขุนนางก็ไม่พอใจเช่นเดียวกัน
กองทัพทางเหนือมีมากมาย สุดท้ายใต้เท้าชุยกลับส่งกองทัพที่อ่อนแอที่สุดมาช่วยเหลือเมืองหลวง
จะชนะได้หรือ
ใต้เท้าชุย ท่านจะมองดูเมืองหลวงถูกตีแตกต่อหน้าต่อตาหรือ
ท่านทำเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นคนบาปไปตลอดกาล!
ไม่ว่าบรรดาขุนนางจะก่นด่าอย่างไร ไม่ว่าจะมีพระราชโองการกี่ฉบับมาเร่งเร้า ท่านมหาเสนาใต้เท้าชุยก็ยังคงไม่หวั่นไหว ยืนกรานในการตัดสินใจ
“ขุนนางกบฏ!”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ทรงโกรธจนกระอักเลือด
พระราชโองการถูกส่งออกไปหลายฉบับติดต่อกัน แต่ยังถูกเพิกเฉย
บรรดาขุนนางต่างเสนอ “ฝ่าบาททรงลดเงื่อนไข เรียกร้องให้กองทัพอวี้โจวมาช่วยเหลือเมืองหลวงดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ทรงครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของบรรดาขุนนาง
จากนั้นก็เป็นพระราชโองการอีกหลายฉบับถูกส่งออกไปอย่างเร่งด่วน
คราวนี้ ท่านมหาเสนาใต้เท้าชุยไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธ
ดังนั้น ท่านโหวผิงอู่ สืออุนจึงนำกองทัพอวี้โจวมาช่วยเหลือเมืองหลวง
…
สงครามปกป้องเมืองหลวงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
บนกำแพงเมืองมีแต่เสียงตะโกนโห่ร้องในแต่ละวัน
ราษฎรในเมืองหลวงต่างหวาดกลัว!
ทุกคนต่างอยากออกจากเมืองหลวงเพื่อหลบหลีกภัยสงคราม แต่ประตูเมืองหลวงปิดสนิท
ไม่มีคำสั่งของหลิงฉางจื้้อ ไม่มีพระราชโองการของฝ่าบาท ไม่มีผู้ใดออกจากเมืองหลวงได้
ผู้ที่บังอาจบุกประตูเมืองจะถูกลงโทษเปรียบเสมือนโจรกบฏ กักขังอยู่ในคุกหลวง ถูกองครักษ์จินอู่เฆี่ยนตีอย่างทุกข์ทรมาน!
เมืองหลวงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดวันละเจ็ดถึงแปดชั่วยาม เหลือเพียงกลางวันไม่กี่ชั่วยามให้บรรดาราษฎรออกไปทำงานหาเงินค่าเสบียง
ราคาเสบียงในเมืองหลวงสูงขึ้นจนน่ากลัว
เสบียงหนึ่งหาบจากหาบละสามร้อยเหวินในตอนแรกเพิ่มสูงขึ้นเป็นหาบละสามก้วน
อีกทั้งราคายังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่เหลือทางรอดให้ราษฎรแม้แต่น้อย
ร้านค้าจำนวนมากปิดกิจการเพื่อรออนาคต
ตรอกจินหยินที่คึกคักในอดีตต่างปิดประตูกันทุกเรือน บนถนนมีคนเดินจำนวนน้อย
คนที่ต้องการซื้อสิ่งของทำได้เพียงเคาะประตูตะโกนเรียก
จั่งกุ้ยเปิดประตูเพียงเล็กนอย เมื่อมั่นใจว่าเป็นคนคุ้นเคยมาซื้อของ จึงยอมขายของให้
ตรอกจินหยินขนาดใหญ่มีคนเบาบาง ทรุดโทรมราวกับเพิ่งเผชิญภัยพิบัติมา
หม้อเหล็กขนาดใหญ่ที่วางไว้หน้าประตูร้านมีไอร้อนระอุขึ้น
น้ำแกงเครื่องในที่หอมกรุ่นกระตุ้นต่อมรับกลิ่น ต่อมรับรสของผู้คน ทำให้ผู้คนต่างน้ำลายไหล
แต่กลับมีคนมาซื้อน้อยมาก!
น้ำแกงเครื่องในที่ราคาเพียงสองเหวินในอดีต มีชิ้นส่วนเครื่องในที่หั่นบางราวสิบแผ่น
เวลานี้ก็ยังคงราคาสองเหวิน
เพียงแต่ภายในน้ำแกงไม่เห็นชิ้นส่วนเครื่องในแม้แต่แผ่นเดียว!
สองเหวินกินน้ำแกงชามหนึ่ง ไม่คุ้มค่า!
เวลานี้อยากกินเนื้อ อย่างน้อยต้องเสียสิบห้าเหวิน อีกทั้งยังมีเพียงเศษเนื้อที่บางจนแทบจะมองทะลุไปได้
ภายใต้สถานการณ์ที่ราคาเสบียงสูงขึ้น ทุกคนต่างต้องอดอยากปากท้องนั้น ไม่มีผู้ใดยอมเสียเงินสิบห้าเหวินไปกินน้ำแกงเครื่องในชามเดียว
คนที่อยากกิน กินไม่ไหว
คนที่กินไหว ไม่คิดจะอุดหนุนร้านน้ำแกงเครื่องใน ลดราคาตัวเอง!
เถ้าแก่ซูแห่งร้านผักดอกซูจี้ปีนขึ้นหลังคา มองไปทางประตูเมือง
เขาอยู่ห่างออกมาไกล มองไม่ชัด
แต่ข้างหูยังคงมีเสียงเคลื่อนไหวต่างๆ ดังขึ้น ทำให้คนหวาดผวาในใจ
สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก
เพื่อประหยัดเสบียง ระยะนี้ เถ้าแก่ซูกินอย่างประหยัด เขามักจะกินไม่อิ่มอยู่เป็นประจำ
เสบียงในถังข้าวสารล้วนต้องคำนวณปริมาณในการกินแต่ละวัน
เขาถอนหายใจออกมา
เมื่อลงมาจากหลังคา เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะมาที่หน้าร้าน ถอดบานประตูหนึ่งออก
หลายวันมานี้ เขาเดินออกจากเรือนของตนเองเป็นครั้งแรก มายังร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยสาขาหนึ่งฝั่งตรงข้าม
“วันนี้เถ้าแก่ซูอยากกินสิ่งใด”
เถ้าแก่ซูโบกมือ “กินไม่ไหว กินไม่ไหว! ไม่มีคนมาอุดหนุน วันนี้คงไม่มีคนมาแม้แต่คนเดียวใช่หรือไม่ ไม่ เฝ้าอยู่ตรงนี้ทุกวัน ทั้งฟืน ทั้งเครื่องใน ไม่เปลืองเงินหรือ หรือว่าเถ้าแก่เจ้าไม่สนใจการค้าเล็กๆ นี้”
เกาจั่งกุ้ยเรียกให้เถ้าแก่ซูนั่งลง จากนั้นยกน้ำแกงเครื่องในมาหนึ่งชาม “ข้าเลี้ยงท่าน!”
เถ้าแก่ซูโบกมือระรัว “ไม่ได้ ไม่ได้! ข้าจะกินโดยไม่จ่ายเงินได้อย่างไร”
“ไม่เป็นอันใด แค่น้ำแกงชามเดียว!”
เถ้าแก่ซูสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากน้ำแกงเครื่องใน เขารู้สึกตะกละขึ้นมา
เขาเลียริมฝีปาก “ขอบใจเกาจั่งกุ้ย! เดี๋ยวข้าไปหยิบผักดอกมาให้เจ้า”
“ไม่ต้อง! ระยะนี้กินแต่ผักดองทุกวัน ในปากมีแต่กลิ่นผักดอง!”
ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้ม
เถ้าแก่ซูถือชาม ดื่มน้ำแกงเครื่องในทีละคำ
น้ำแกงร้อนๆ ชามหนึ่งทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนกลายเป็นคนที่มีชีวิตใหม่อีกครั้ง
“เกาจั่งกุ้ยเฝ้าร้านทุกวัน อีกทั้งไม่มีคนมาอุดหนุน ไม่รู้สึกเบื่อหรือ”
เกาจั่งกุ้ยหัวเราะ “เถ้าแก่ไม่ได้บอกให้ปิดร้าน ข้าย่อมต้องเฝ้าร้านเอาไว้ คิดว่าโจรกบฏคงไม่บุกเข้าเมืองหลวงในระยะเวลาสั้นๆ เพียงนี้”
เมื่อพูดถึงโจรกบฏ เถ้าแก่ซูก็เกิดความโกรธขึ้นมา
เขาก่นด่าเพื่อระบายความโกรธภายในใจ
“เกาจั่งกุ้ย เจ้าว่าโจรกบฏจะบุกเข้ามาได้หรือไม่ หากบุกเข้ามาจริง ประชาชนอย่างพวกเราจะรอดหรือไม่”
เกาจั่งกุ้ยพูด “โจรกบฏขาดแคลนอาวุธ ประสบการณ์ในการตีเมืองก็ไม่เพียงพอ แต่ก่อน พวกเขาล้วนอาศัยคนภายในให้ความร่วมมือในการเปิดประตูเมือง น้อยครั้งที่จะบุกเมืองโดยตรง นอกจากนี้กำแพงเมืองของเมืองหลวงเป็นหนึ่งในกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน โจรกบฏคิดจะตีกำแพงเมืองให้แตก เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้!”
“จริงหรือ”
“กลัวแค่โจรกบฏจะซื้อใจคนในเมืองหลวง มีคนเต็มใจเป็นสุนัขรับใช้ของโจรกบฏ แอบเปิดประตูเมืองปล่อยพวกมันเข้ามา”
“เป็นไปไม่ได้! เป็นขุนนางราชสำนักอยู่ดีๆ ไปรับใช้โจรกบฏ สมองมีปัญหาหรือ”
เกาจั่งกุ้ยหัวเราะ “เถ้าแก่ซูพูดถูก อีกทั้งใต้เท้าหลิง แม่ทัพกองทัพใต้ในเวลานี้ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน มีกฎระเบียบเข้มงวด คิดว่าคงไม่มีผู้ใดกล้ารนหาที่ตายในเวลานี้!”
“หากพูดเช่นนี้ เมืองหลวงจะรักษาไว้ได้?”
เถ้าแก่ซูถามอย่างร้อนใจ
เกาจั่งกุ้ยพูด “ข้าได้ยินคนบอกว่า ทางราชสำนักเรียกกองทัพหนึ่งกลับมาจากทางเหนือเพื่อช่วยเหลือเมืองหลวงแล้ว คิดว่าสถานการณ์อันยากลำบากของเมืองหลวงจะจัดการได้ในไม่ช้า สงสารเพียงประชาชนในพื้นที่นครบาล ไม่รู้ตายไปมากน้อยเพียงใด ถูกลักพาตัวไปอีกมากน้อยเพียงใด”
เฮ้อ…
เถ้าแก่ซูถอนหายใจตาม
“ข้ามีญาติหลายคนที่พักอยู่ในชนบทนอกเมือง ไม่รู้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่! หวังว่าพวกเขาจะหลบภัยสงครามเข้าไปในภูเขาได้ทัน”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาภายในชั่วพริบตา
เมื่อมองดูถนนที่อ้างว้าง ทั้งสองคนล้วนมีสีหน้าขมขื่น
ชีวิตนี้จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร