ตอนที่ 179 คุณหนูโค่วดูนรลักษณ์เป็นจริงๆ
เบื้องหน้ามีคนคุกเข่าอยู่เป็นแถบ ทำให้ซินโย่วไม่มีที่หลบ
“พ่อแม่พี่น้องรีบลุกขึ้น กินข้าวต้มรองท้องกันก่อน ยังกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้”
ซินโย่วพูดจบ หลิวโจวก็ตะโกนดังขึ้นอีกรอบ
ผู้คนพากันลุกขึ้นมา มีบางคนทำตะกร้าตกเพราะจิตใจเพิ่งได้รับความกระทบกระเทือนมา หลายคนกอดของแน่นด้วยสัญชาตญาณ ข้าวต้มยังอยู่
แต่ยามนี้ผู้คนไหนเลยจะมีกะจิตกะใจกินข้าวต้ม พากันมองไปรอบๆ อย่างงุนงง เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มเซ็งแซ่
“เมื่อครู่แผ่นดินไหวกระมัง”
“น่าจะนะ ข้ารู้สึกว่าแผ่นดินไหว”
“แต่เหตุใดมีเพียงบ้านเรือนแถบพวกเราถล่มลง พวกเจ้าดูทางนั้น ยังดีๆ อยู่เลย” มีคนชี้ไปยังที่ไกลออกไป
ทางนั้นดูแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เพียงแค่มีคนเดินออกมาจากในบ้านดูความเคลื่อนไหวด้านนอกเท่านั้น
“ข้ารู้แล้ว!” ชายหนุ่มผู้หนึ่งชี้ไปยังบ้านที่ถล่มลงมาพลางตะโกนดัง “เพราะหิมะ ถูกหิมะถล่มทับ!”
“ถึงกับเป็นหิมะ!”
เงียบกันไปครู่หนึ่ง มีคนไม่น้อยในกลุ่มคนส่งเสียงร่ำไห้เสียใจ
“สวรรค์ เดิมพวกเราก็ยากจนจนแทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ยังมาชิงบ้านอันเป็นสมบัติชิ้นเดียวไปอีก…”
“ฮือ ฮือ ฮือ พวกเรายิ่งจนก็ยิ่งไม่ยอมให้พวกเราดำรงชีวิต…”
รถม้าที่แบกถังไม้มาหลายคันเริ่มขับเคลื่อนมา ทิ้งเพียงรอยล้อกดทับบนพื้นหิมะ
กลิ่นหอมของเนื้อตุ๋นในถังไม้ที่เผยอฝาเอาไว้ลอยมาตามสายลม ผู้คนได้กลิ่นเนื้อหอมก็หยุดร้องไห้กัน
“พ่อแม่พี่น้อง ชีวิตยังอยู่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด กินเนื้อกันก่อน!” หลิวโจวตะโกนดัง
บางทีเพราะยากจนมานานทำให้คนเหล่านี้เห็นเรื่องเศร้าจนชินชาแล้ว ฝึกฝนจนเป็นคนจิตใจเข้มแข็ง หลังจากควบคุมอารมณ์ไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานพวกเขาก็ยอมรับความจริงได้ เข้าแถวรอแบ่งเนื้อกันต่ออย่างชำนาญ
“ขอบคุณคุณหนูโค่ว”
“ขอบคุณคุณหนูโค่ว!”
คนที่ถือชามเนื้อทุกคนต่างแสดงความขอบคุณซินโย่ว
กู่อวี้ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน มองดูสาวน้อยสะดุดตาท่ามกลางฝูงชน ก็อดอยากจะเข้าไปถามนางไม่ได้
แต่เขาเรียนที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน นางเปิดร้านหนังสือละแวกสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน วันหน้ายังมีโอกาสถามอีกมาก
ใช่แล้ว สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน!
กู่อวี้สีหน้าแปรเปลี่ยน กล่าวกับมารดาว่า “ท่านแม่ ข้ากลับไปขอลาหยุดที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนก่อน”
สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนมีกฎ หากโดดเรียนจะถูกหักคะแนน หากถูกหักครบที่กำหนดก็จะถูกไล่ออก
“รีบไปเถอะ”
กู่อวี้ไม่วางใจ กำชับมารดาอีกครั้ง “ท่านแม่ ข้าขอลาแล้วก็จะรีบกลับมา ท่านแม่อย่ารีบกลับบ้านไปเก็บของ รอข้ากลับมาก่อนนะขอรับ”
“แม่รู้แล้ว เจ้ารีบไปเถอะ”
กู่อวี้ชักเท้าได้ก็วิ่งออกไปทันที จากบ้านเรือนที่พังเป็นแถบไปยังร้านค้าที่ตั้งเรียงราย ยิ่งมุ่งไปยังทิศทางที่เจริญรุ่งเรือง ก็ยิ่งได้เห็นว่าไม่มีอันใดผิดแผกไปจากปกติ
หากจะว่ามีอันใดไม่เหมือน ก็คงเป็นคนมากมายพากันชะโงกหน้าออกมามองท้องถนน วิจารณ์เหตุแผ่นดินไหวเมื่อครู่กัน
ณ สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน อาจารย์และนักเรียนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้
“กู่อวี้ วันนี้เจ้ากลับมาสายแล้ว” นักเรียนคนหนึ่งเห็นกู่อวี้วิ่งมาอย่างร้อนใจ ก็รู้สึกแปลกใจ
ในสายตาบรรดานักเรียนกู่อวี้เป็นนักเรียนที่ไม่เคยมาสาย
“ขอเรียนถามว่าเวินเจียนเฉิง[1]อยู่ที่ใด”
มีคนเห็นเวินเจียนเฉิง จึงชี้ทางให้กู่อวี้
กู่อวี้วิ่งไปถึงก็พบว่านอกจากเวินเจียนเฉิง ยังมีพวกเมิ่งจี้จิ่ว
เมิ่งจี้จิ่วกำลังกำชับพวกเวินเจียนเฉิง “พวกเจ้าปลอบใจนักเรียนให้ดี ข้าไปสอบถามข่าวก่อน”
แม้ว่าแผ่นดินไหวเมื่อครู่เบามากจนทำให้ผู้คนต่างคิดว่าตนเองคิดไปเอง เมิ่งจี้จิ่วกลับมีสีหน้าหนักใจ
แม้เขาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้ แต่เคยอ่านหนังสือมาทำให้เขารู้ว่า ตอนพวกเขารู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนเล็กน้อย ย่อมต้องมีสถานที่ภูเขาถล่ม โลกมนุษย์ดังขุมนรก
กู่อวี้คำนับพวกเมิ่งจี้จิ่ว แล้วก็เดินไปตรงหน้าเวินเจียนเฉิง “อาจารย์ ศิษย์กู่อวี้ อยากขอลาหยุดขอรับ”
“เหตุใดขอลาหยุด” เวินเจียนเฉิงถามน้ำเสียงอ่อนโยน
สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องลาหยุด นักเรียนขอลาหยุดส่วนใหญ่มักเกิดเรื่องไม่ดี
กู่อวี้เอ่ยเบาๆ “เช้าวันนี้เกิดเหตุแผ่นดินไหว บ้านศิษย์ถูกหิมะถล่มทับขอรับ”
เมิ่งจี้จิ่วได้ยินก็หันขวับมาทันที ก้าวเข้ามาตรงหน้ากู่อวี้
“บ้านเจ้าอยู่ที่ใด”
“บ้านศิษย์อยู่ที่เป่ยโหลวฝางขอรับ”
“เจ้ามาจากบ้านหรือ แล้ว…บาดเจ็บล้มตายกันอย่างไรบ้าง” เมิ่งจี้จิ่วถามคำถามนี้ ในใจก็ราวกับมีก้อนหินกดทับ
กู่อวี้ลังเลตอบว่า “อาจจะไม่มีบาดเจ็บล้มตาย”
“เป็นไปได้อย่างไร!” อาจารย์หลายคนในที่นั้นต่างอดส่ายหน้าไม่ได้
เมิ่งจี้จิ่วสีหน้าแปลกประหลาด “ไม่ได้รับบาดเจ็บ?”
“ศิษย์ก็ไม่แน่ใจ” กู่อวี้ลังเลอยู่บ้าง แต่ยังคงเล่าเรื่องซินโย่ว “ตอนบ้านเรือนพังถล่ม พ่อแม่พี่น้องแถบนั้นกำลังรอเนื้อตุ๋นอยู่ ไม่มีคนกลับไป…แต่ก็อาจมีคนไม่ได้ออกจากบ้านมา ศิษย์ไม่แน่ใจ”
เมิ่งจี้จิ่วสีหน้าดีขึ้นมาก หากที่ศิษย์ผู้นี้พูดมาเป็นความจริง แม้มีคนไม่ออกจากบ้าน แต่ก็น้อยมาก เทียบกับจำนวนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นผลที่ดีมาก
“คุณหนูโค่วท่านนั้นก็คือคุณหนูโค่วร้านหนังสือชิงซง?”
“ขอรับ”
เมิ่งจี้จิ่วให้เวินเจียนเฉิงอนุมัติวันลาให้กู่อวี้ ก่อนจะนั่งรถม้าตามกู่อวี้ไปเป่ยโหลวฝาง พอเห็นสภาพเศษซาก เมิ่งจี้จิ่วก็ตกใจ
บ้านเรือนถล่มสภาพเช่นนี้ หากตอนนั้นทุกคนอยู่ในบ้าน จะมีคนตายมากเพียงใด ไม่กล้านึกภาพเลยจริงๆ
“คุณหนูโค่วล่ะ” เมิ่งจี้จิ่วจำหลิวโจวคนงานร้านหนังสือชิงซงได้จึงถามขึ้น
“ท่านเจ้าของร้านกลับไปก่อนแล้ว สั่งให้พวกเราอยู่ดูว่ามีอันใดช่วยเหลือได้หรือไม่”
เมิ่งจี้จิ่วพยักหน้า นิ่งเงียบมองไปทางบ้านเรือนถล่ม
หลังจากรออีกสักระยะหนึ่งไม่พบว่ามีเหตุแผ่นดินไหวอีก ชาวบ้านก็พากันกลับบ้านตนเอง เริ่มค้นหาของที่ยังใช้ได้จากกองซากปรักหักพัง แทบจะอาศัยเพียงแค่มือควานหา
เมิ่งจี้จิ่วไม่ได้อยู่นานนัก ก็เข้าวังไป
ยามนี้ในวันมีขุนนางใหญ่เข้ามากันไม่น้อย กำลังรอฮ่องเต้เปิดประชุมยามเช้า พากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ในวันนี้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรบรรดาขุนนางด้วยสีพระพักตร์ที่เคร่งเครียดยิ่งกว่า รีบรับสั่งการให้แต่ละหน่วยงานไปดูสภาพการณ์ในเมืองหลวงทันที
ตอนนี้เอง นักเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนยังไม่ทันรู้ตัวว่าเหตุสั่นสะเทือนเล็กน้อยเมื่อตอนเช้านั้นมีอันใดน่าวิตก แต่พอเรื่องกู่อวี้ขอลาแพร่ออกไป พวกเขาก็หันมาสนใจเรื่องนี้ทันที
“ได้ยินไหม บ้านกู่อวี้พังถล่มทั้งแถบ โชคดีที่คุณหนูโค่วไปแจกข้าวต้มอยู่ที่นั่น จึงได้ทำให้หลายคนรอดเคราะห์ครั้งนี้มาได้”
“เหตุใดคุณหนูโค่วไปแจกข้าวต้มแถวบ้านกู่อวี้”
“ผู้ใดจะรู้เล่า…”
“พี่ต้วน พี่ไม่ใช่พี่ชายญาติกับคุณหนูโค่วหรือ รู้ไหมว่าเหตุใดคุณหนูโค่วไปแจกข้าวต้มที่นั่น”
ต้วนอวิ๋นหลางถูกรุมล้อมก็มีสีหน้างุนงง “แจกข้าวต้มอันใด ข้าไม่รู้”
ในห้องหนึ่ง จังซวี่ตบหน้าขาดังฉาด “ข้าก็ว่า!”
สหายหลายคนรีบถามขึ้นว่า “ทำไมหรือ”
จังซวี่ตื่นเต้นจนเสียงสั่น “พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ คุณหนูโค่วพูดไว้ว่าอย่างไร”
“นางบอกว่ากู่อวี้จะมีเคราะห์เลือดตกยางออก…”
“ใช่แล้ว! พวกเจ้าคิดดู หากไม่ใช่เพราะคุณหนูโค่วแจกข้าวต้ม ตอนนั้นกู่อวี้ยังอยู่ในบ้าน บ้านถล่มลงมาย่อมถูกทับอยู่ใต้นั้น!”
“ซี๊ด คงได้ไร้ลมหายใจไปแล้ว!”
“กล่าวเช่นนี้ คุณหนูโค่วไปแจกข้าวต้มที่นั่นก็เพื่อช่วยกู่อวี้?”
“เรื่องนี้ไม่สำคัญ!” จังซวี่ไม่สนใจว่ากู่อวี้จะเป็นหรือตาย “ที่สำคัญก็คือ คุณหนูโค่วดูนรลักษณ์เป็นจริงๆ!”
[1] เจียนเฉิง เป็นตำแหน่งผู้ดูแลกฎระเบียบในสำนักศึกษา