ตอนที่ 649 รอดพ้นจากความตายอย่างหวุดหวิด
ออกมาจากโรงหมอตระกูลหลิน เว่ยเสียพัวพันอยู่รอบตัวฉินหลิวซีพลางเอ่ยถาม ไยจึงไว้หน้าสกุลหลินนี้นัก ยังยื่นบันไดให้เขาลงด้วยตนเองอีก นี่ดูไม่ใช่นิสัยของนาง
“ด้วยนิสัยของเจ้า น่าจะฟันเขาถึงจะถูก” เว่ยเสียมองไปยังแขนของตนที่โดนฟัน เหลือบมองเอวของเถิงเจาเล็กน้อย กริชเล่มนั้น เผาไหม้ดวงวิญญาณได้ด้วยซ้ำ
ตนเองยังถูกฟันแล้ว สกุลหลินวินิจฉัยผิดซ้ำยังมีท่าทีข่มขู่รังแกผู้คน นางกลับปล่อยไป
เรื่องนี้น่าสงสัย
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าจะฟันเขาทำไมกัน บนโลกมีเรื่องไม่ยุติธรรมมากมาย ข้าต้องเหยียบย่ำทุกคนลงกับพื้นหรืออย่างไร สกุลหลินเปิดโรงหมอ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาเก็บค่ารักษาแพงไม่แพง เขามีความคิดช่วยเหลือคนก็ดีแล้ว และสองสามีภรรยานั่น เจ้าไม่ได้ยินถึงสถานการณ์ของพวกเขาหรือ ข้างบนมีคู่สามีภรรยาชราที่ต้องกินยาตลอด ข้างล่างมีลูกอีกสี่คน ทั้งครอบครัวอาศัยบุรุษผู้นั้นล่าสัตว์เลี้ยงดูครอบครัวเป็นหลัก”
เว่ยเสียชะงัก ครอบครัวลำบาก หลายครอบครัวเป็นเช่นนี้
“ไส้ติ่งไม่ใช่กินยาหนึ่งชุดแล้วจะหายขาด ต้องกินยาไประยะหนึ่ง ยังต้องรักษาลำไส้อีก มิเช่นนั้นง่ายที่จะกลับมาเป็นอีกครั้ง โดยเฉพาะเขาที่ล่าสัตว์เป็นหลักจึงกินอาหารไม่ถูกต้อง กินยาบำรุงรักษาไม่ต้องใช้เงินหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ยามนี้มีโรงหมอให้พวกเขาใช้ยาและรักษาให้ ไยต้องไปเสียเงินให้กับโรงหมอที่อื่น เก็บเงินนั้นเอาไว้ซื้อของให้คนแก่และเด็กในบ้านไม่ดีกว่าหรือ”
“เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ใบหน้าและศักดิ์ศรีไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึง โดยเฉพาะกับคนยากจน ยิ่งไม่มีสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พวกเขามีอาหารกินมีเสื้อผ้าใส่ ยิ่งไม่ทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น ท่านเว่ย คนที่อยู่ชั้นล่างไม่ใช่นักปราชญ์ ที่เอาแต่คิดว่าจะอยู่อย่างไรให้ผู้คนชื่นชมเคารพ สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือ จะกินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่อบอุ่นหรือไม่ มีสิ่งเหล่านี้เพรียบพร้อมแล้วจึงจะไปคิดอย่างอื่นได้”
เว่ยเสียจ้องมองนางนิ่ง เนิ่นนานจึงเอ่ยประโยคที่เก็บเอาไว้ออกมา “เจ้าอายุเพิ่งเท่าใด กลับมองทะลุปรุโปร่งเพียงนี้ อย่างกับคนแก่ที่อยู่มานานพวกนั้น”
ฉินหลิวซีถลึงตามองเขา “ข้านั้นฉลาดเฉลียว จิตใจดีมีเมตตา เจ้าเกิดจากชนชั้นนักวิชาการ คงน้อยที่จะได้เห็นถึงความเป็นอยู่ของคนยากจนจริงๆ เพื่อข้าวหนึ่งมื้อ สามารถทำอะไรได้ถึงขั้นไหน ฐานะที่มีเกียรติ นั่นคือสิ่งใด อิ่มท้องหรือไม่”
“อีกทั้งข้ายอมให้บันไดทางลงกับเขา เห็นแก่หน้าของท่านปู่เขาทั้งนั้น”
เถิงเจาเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์และตระกูลหลินมีความสัมพันธ์เก่าแก่กันหรือ”
“เคยพบท่านปู่เขาหนึ่งครั้ง เพราะวินิจฉัยโรคเหมือนกัน ผู้สร้างสกุลหลิน ก็คือหลินหยวนผู้นั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอหลวง เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา สมแล้วที่เขาถอนตัวออกมาจากวังหลวง สถานที่กินคนเช่นนั้น เขาถอนตัวมาอย่างปลอดภัยและได้สร้างโรงหมอขึ้นอีกด้วย ตอนที่เขายังอยู่ ยังเปิดโรงหมอรักษาฟรีด้วย ชื่อเสียงของสกุลหลินเริ่มต้นมาเช่นนี้ เก็บค่ารักษาก็ไม่แพงเช่นนี้ น่าเสียดายแล้ว ถึงรุ่นนี้ กลับไม่ได้มีจิตใจดีงามอย่างสมัยหลินหยวนแล้ว”
เพียงไม่กี่ปี หลินหยวนไม่อยู่แล้ว โรงหมอสกุลหลินก็เปลี่ยนไป
เว่ยเสียเอ่ย “เจ้าไม่กลัวหรือ ว่าหลังจากเจ้าไปแล้วเขาจะหน้าไหว้หลังหลอก อย่างไรเจ้าก็เอาเปรียบทำให้พวกเขากลายเป็นผู้มีความผิด ทั้งยังเขียนใบจ่ายยาวิธีการรักษาด้วย”
ฉินหลิวซีส่งเสียงอ่าขึ้นมา เอ่ย “เจ้าพูดก็ถูก ดูเหมือนข้าต้องให้เจ้าหน้าที่ยมทูตส่งหลินหยวนขึ้นมา สั่งสอนหลานชายผู้นี้ให้ดีสักหน่อย เขาตายไปเพียงไม่กี่ปี คงกำลังต่อคิวไปเกิดใหม่อยู่แน่นอน”
เว่ยเสีย “…”
ในที่สุดคนผู้นี้ก็ปกติแล้ว ท่าทางเคร่งขรึมนั่นทำให้คนอึดอัดจริงๆ
ดังนั้น หลินซื่อเฉวียนและบิดาของเขาจึงถูกชายชราเข้าฝันทุบตีก่นด่าสั่งสอนในคืนนั้น วันต่อมาสองพ่อลูกดวงตาดำคล้ำ ทยอยลดราคาสมุนไพรในโรงหมอลง เพราะชายชราออกคำสั่งแล้ว หากทำเช่นนี้อยู่จะขึ้นมาด่าทุกๆ วัน ใครจะอยู่ได้เล่า
“ท่านหมอเทวดา ช้าก่อน เจ้านายของข้าเชิญท่านขอรับ” ชายหนุ่มในชุดบ่าวรับใช้หยุดคนเหล่านั้นเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความขมขื่น
ฉินหลิวซีหันไป มองไปยังรถม้าที่ห่างออกไปไม่ไกลด้านหลัง ออกมาจากโรงหมอ นางก็สังเกตเห็นรถม้าคันนี้ ถึงตอนนี้ค่อยมายื้อไว้หรือ
“ขอรับการรักษาหรือ”
บ่าวรับใช้ชะงัก เอ่ยชื่นชมเล็กน้อย “ท่านหมอเทวดามหัศจรรย์ยิ่งแล้วขอรับ”
“กลิ่นยาทั่วทั้งตัวของเจ้า แต่ร่างกายเจ้าแข็งแรงไม่มีอาการป่วย ไม่ใช่เจ้า เช่นนั้นก็คงเป็นเจ้านายเจ้ากระมัง ไม่เช่นนั้นจะเข้ามาขวางทางไว้ทำไม” ฉินหลิวซียกมือป้องคิ้วพลางเงยขึ้นมองดวงอาทิตย์ เอ่ย “แดดเริ่มร้อนแล้ว กลับไปคุยกันที่โรงเตี๊ยม ตามข้ามาเถิด”
บ่าวรับใช้ชะงักงัน ราบรื่นเพียงนี้เชียวหรือ
…
ฉินหลิวซีมองชายร่างกายอ่อนแอตัวผอมบางนอนใบหน้าซีดขาวอยู่บนเตียง เนิ่นนานจึงเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค “รอดจากความตายหวุดหวิด รอดพ้นจากความตายแล้วนี่”
โหงวเฮ้งของคนผู้นี้ ใบหน้าดำคล้ำ สีเลือดเกือบจะปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกายแล้ว โหงวเฮ้งรอดตายเก้าชีวิต นั่นยังเหลือหนึ่งชีวิต อ่อนจนใกล้จะมองไม่เห็นคนแล้ว
เขาประสบภัยครั้งใหญ่ เวลาเพียงสามเดือน
ทว่ายังมีชีวิตอยู่ได้
อดทนได้ดีจริงๆ
ชายผู้นั้นอายุราวๆ ยี่สิบห้าปี ได้ยินคำของฉินหลิวซี ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นพลันเปล่งแสงออกมา เอ่ย “อารามชิงผิงเมืองหลีมีนักพรตผู้หนึ่ง มีความสามารถเรื่องการแพทย์และโหงวเฮ้ง ฉายาทางเต๋าว่าปู้ฉิว หรือว่าจะเป็นท่าน”
“โอ้ หรือว่าท่านตั้งใจเดินทางมาหาข้าหรือ” ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว
ดวงตาของชายหนุ่มยิ่งเป็นประกาย ยกมือขึ้นไปทางบ่าวรับใช้ “หว่าซงรีบประคองข้าลุกขึ้น”
บ่าวรับใช้ที่ชื่อหว่าซงและองครักษ์ผู้หนึ่งรีบเข้ามาประคองเขาลุกขึ้น
“ข้าน้อยตู้เหมี่ยน เป็นชาวเมืองลี่ คารวะเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิว” ตู้เหมี่ยนยกมือขึ้นประสานคารวะ “ได้ยินผู้คนร่ำลือว่าเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิววิชาการแพทย์ล้ำเลิศ ดังนั้นข้าน้อยจึงตั้งใจมาขอรับการรักษา ไม่คิดว่าจะได้เจอท่านที่เมืองฝู่ เป็นวาสนาของข้าน้อยแล้วจริงๆ”
เขาเอ่ยจบก็ต้องหอบหายใจ เม็ดเหงื่อซึมออกมาทางขมับ ใบหน้ายิ่งซีดขาวมากขึ้น เห็นได้ชัดถึงความอ่อนแอ
“นายท่าน ท่านอย่าเพิ่งรีบ ค่อยๆ เอ่ยขอรับ” หว่าซงประคองเขา ขยับหมอนอิงมาไว้ด้านหลังให้เขาพิง ใบหน้าเจ็บปวดขึ้นมา
“ไม่เป็นไร” ตู้เหมี่ยนมุมปากกระตุก “ให้ท่านเจ้าอาวาสน้อยต้องขบขันแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ในเมื่อท่านมาขอรับการรักษากับข้า ไยเมื่อครู่จึงหยุดข้าระหว่างทางเล่า”
“เมื่อครู่เห็นท่านอายุยังน้อยก็สามารถวินิจฉัยโรคออกมาได้ จึงมีความคาดหวังอยู่ในใจเท่านั้น” ตู้เหมี่ยนมองมือตนเองที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เอ่ย “ข้าน้อยเป็นคนใกล้ตาย ทว่ายังไม่เต็มใจที่จะตาย เพียงอยากมีความหวังมากขึ้นแต่ไม่คิดว่า จะเจอท่านโดยบังเอิญ จึงได้มาขอร้องอยู่ตรงนี้แล้ว”
ฉินหลิวซี “ดูออกแล้ว เจ้าประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ก็ยังไม่ตาย มีความอดทนยิ่งนัก”
ตู้เหมี่ยน “…”
“นอนลงเถิด คลายเสื้อออก ข้าจะตรวจดู” ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปาก
นางก้าวถอยหลังสองก้าว ตู้เหมี่ยนนอนลงอีกครั้ง เสื้อบนตัวถูกคลายออก เผยให้เห็นบาดแผลอันน่าสยดสยองบนร่างกายของเขา
“ซีด” เว่ยเสียยืดคอมาดู กระโดดหนี “มิน่าถึงได้ปิดมิดชิดเพียงนี้ นี่ไม่เหลือเนื้อดีเลยกระมัง”
ฉินหลิวซีก้าวเข้าไปดู ถอนหายใจอีกครั้ง “เจ้าแข็งแกร่งมากนัก ขนาดนี้ยังไม่ตายไปอีก”
มุมปากตู้เหมี่ยนกระตุกเบาๆ ดวงเขาแข็ง ไม่ต้องเอ่ยย้ำว่ายังไม่ตายหลายครั้งกระมัง ฟังแล้วคล้ายจะดีทว่าไม่ดี เขาไม่รู้จะรับคำอย่างไรด้วยซ้ำ