ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1291 เปิดกิจการใหม่อีกครั้ง + ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1292 ความใกล้ชิดสนิทสนมของคนสองคน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1291 เปิดกิจการใหม่อีกครั้ง

บทที่ 1291 เปิดกิจการใหม่อีกครั้ง

ร้านจิ่นฝูถูกตกแต่งใหม่เสร็จเรียบร้อย และกำหนดการเปิดร้านกำลังจะมีขึ้นอีกครั้ง

ตอนนี้ที่สวนกู้ยุ่งกันจนหัวหมุน

ด้านหนึ่งเป็นฉือโถวที่ต้องแต่งงาน อีกด้านหนึ่งคือร้านจิ่นฝูเปิดกิจการใหม่อีกครั้ง เหลือเวลาอีกไม่เกินสองวัน

ฉินเย่จือกลับมาจากเมืองหลวงแล้ว เมื่อได้ยินว่าฉือโถวหมั้นแล้วก็รู้สึกแปลกใจ

แต่ท่ามกลางความรู้สึกประหลาดใจนั้น เขากลับมีความสุขและรู้สึกอิจฉาขึ้นเล็กน้อย

กู้เสี่ยวหวานยุ่งอยู่กับการเปิดร้านจิ่นฝู จึงไม่ได้พูดคุยกับฉินเย่จือเท่าที่ควรและไม่ได้สนใจเขามากนัก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันเปิดร้านเดินทางมาถึงแล้ว

สองสามวันแรกที่กู้เสี่ยวหวานประกาศเปิดกิจการร้านจิ่นฝูใหม่อีกครั้ง มันกลายเป็นเรื่องฮือฮาในเมืองหลิวเจีย

ร้านจิ่นฝูเปิดบริการแล้ว นั่นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในเมือง

แต่มันยังไม่เปิดให้เข้าอย่างเป็นทางการ ลูกค้าที่จองโต๊ะทานอาหารที่ร้านจิ่นฝูนี้ก็รอมาหลายวันแล้ว

ทุกคนต้องการใช้ประโยชน์จากการเปิดร้านจิ่นฝูเพื่อผ่อนคลายกับการบริการและอาหารจานใหม่ที่ลดราคา

ร้านจิ่นฝูเก็บความลับได้ไม่เลว ผู้ใดมาสอบถามล้วนไม่มีใครบอกว่าอาหารใหม่คืออะไร และไม่มีแม้แต่ชื่ออาหาร

ดังนั้นจึงเพิ่มความลึกลับให้กับอาหารจานใหม่นี้เป็นอย่างมาก

เมื่อวันเปิดกิจการมาถึง กู้เสี่ยวหวานมาถึงร้านจิ่นฝูตั้งแต่เช้า ยกเว้นลุงจางที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก และกู้หนิงอันที่ยังเรียนหนังสืออยู่กับอาจารย์ฝาง ทุกคนล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

ฟ่านหลิงและฟ่านอวี้ก็มาด้วย เป็นกู้เสี่ยวหวานที่ตั้งใจให้ฉือโถวกับอาโม่ไปเชิญพวกเขามา หลังจากนี้ฟ่านหลิงคนนี้จะถือเป็นคนในครอบครัวของเรา เรื่องใหญ่แบบนี้ นางก็ควรมีส่วนรวม

ตอนนี้ยังไม่ถึงฤกษ์ ประตูทางเข้าก็เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาแน่นขนัด นอกจากแขกที่จองไว้ กู้เสี่ยวหวานยังเหลือโต๊ะสำหรับคนเดียวอีกสิบกว่าโต๊ะเพื่อให้แขกที่จองโต๊ะไม่ทันได้เข้ามาในร้านอีกครั้ง

เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี การจุดประทัดก็เริ่มขึ้น และทุกคนก็โห่ร้องยินดี

หลังจากนั้นผู้คนก็หลั่งไหลเข้ามาในร้าน ชั่วพริบตาเดียวที่นั่งในร้านก็เต็มทุกที่นั่ง

ผู้คนที่มากินอาหารมีจำนวนไม่ได้มากขนาดนั้น แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีที่นั่งเหลือ

เป็นอีกครั้งที่ร้านจิ่นฝูเปิดรับสมัครชายหนุ่มหลายคน ทั้งหมดได้รับการฝึกฝนล่วงหน้าแล้ว ขณะนี้ลูกจ้างทั้งหมดสวมชุดเครื่องแบบของร้านเดินผ่านผู้คนไปมา ยกอาหาร ซื้อเหล้า ทักษะคล่องแคล่วเลยทีเดียว

และเหลียงอวี้เฉิงยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน มองดูผู้คนมากมายด้วยสีหน้าซีดเซียว

นึกถึงวันแรกของเขา แม้ว่าเคยฝึกมาหลายครั้ง แต่พอเอาเข้าจริงในใจกลับหลีกเลี่ยงความกลัวไม่ได้

เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตื่นเต้นขนาดนั้น กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน และคอยตรวจสอบกับเขา

มีกู้เสี่ยวหวานช่วยเหลือ เหลียงอวี้เฉิงก็สบายใจมากขึ้น

หลังจากคำนวณราคาของหลาย ๆ โต๊ะแล้ว วันนี้ก็ได้เงินมาจำนวนไม่น้อย กู้เสี่ยวหวานเอ่ยชมเขาหลายประโยคให้เขาผ่อนคลาย เหลียงอวี้เฉิงเป็นคนมีความสามารถ เมื่อเห็นเจ้านายตั้งความหวังกับตัวเองไว้สูง ก็รู้สึกกดดันมาก ต้องตั้งใจคิดเงินอย่างรอบคอบแน่นอน จากนั้นก็ส่งกู้เสี่ยวหวานออกไปด้วยความเคารพ

กลับมาถึงห้องรับรอง ในห้องมีแค่ฉินเย่จือนั่งอ่านหนังสืออยู่บนที่นั่งพักคนเดียวอย่างสบายใจ

ป้าจางและกู้ฟ่างสี่ไปช่วยที่ด้านหลังครัว แม้แต่กู้เสี่ยวอี้ก็ตามไปร่วมวงด้วย

………………………………………………….

บทที่ 1292 ความใกล้ชิดสนิทสนมของคนสองคน

บทที่ 1292 ความใกล้ชิดสนิทสนมของคนสองคน

หลังจากปิดประตูห้อง เสียงข้างนอกก็ถูกตัดขาด และทั้งห้องก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน

เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง ฉินเย่จือวางหนังสือลง ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นกู้เสี่ยวหวานเดินเข้ามาหาตนเองด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม

ฉินเย่จือยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน มองหญิงสาวที่เดินเข้ามาด้วยสายตาที่รักใคร่ทะนุถนอม

รูปร่างอรชรและรอยยิ้มนั้นวนเวียนอยู่ในหัวใจของเขาอย่างไม่อาจสลัดทิ้งไปได้

แม้การไปเมืองหลวงครั้งนี้จะใช้เวลาไม่นาน แต่หัวใจของเขาคะนึงหานางเสมอ คิดว่าหลังจากทำงานเสร็จจะรีบกลับมาเร็ว ๆ และในใจก็ยังมีอีกความคิดหนึ่งคือ เขาอยากเอาผูกนางติดไว้ข้างกาย ตัวเองไปที่ไหน นางก็ไปที่นั่นด้วย

ครั้นฉินเย่จือคิดได้แบบนนี้ก็เชิดหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ กางแขนออกรอให้กู้เสี่ยวหวานโผเข้าอ้อมกอดของตนเอง

เมื่อเห็นการกระทำของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะออกมาเบา ๆ และก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ฉินเย่จือเห็นนางเข้ามาใกล้ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปดึงกู้เสี่ยวหวานเข้ามาในอ้อมแขน

กลิ่นหอมละมุนที่คุ้นเคยจากชายหนุ่มลอยมาเตะที่ปลายจมูก ทำให้นางรู้สึกสงบและมีความสุข

ศีรษะของกู้เสี่ยวหวานซบลงที่อ้อมกอดของฉินเย่จือ เหมือนกับลูกแมวน้อยออดอ้อนเจ้าของ

ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขน หัวใจที่ว่างเปล่าถูกเติมเต็ม ไม่มีความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับผลได้ผลเสียอีกต่อไป

ในช่วงเวลานี้ ลูกแมวตัวนี้ยุ่งมากจริง ๆ ยุ่งกับการเริ่มกิจการใหม่ ยุ่งกับการแต่งงานของฉือโถว ออกไปตอนแต่เช้าทุกวัน กว่าจะกลับมาถึงบ้านท้องฟ้าก็มืดสนิท บางครั้งได้เพียงพูดสองประโยคเหมือนแมวขี้เกียจ หัวถึงหมอนก็หลับไปทันที เห็นนางทำงานหนักขนาดนี้ ฉินเย่จือก็อยากให้นางพักผ่อนมาก ๆ

ยากมากที่ฉินเย่จือจะมีโอกาสได้กอดนางแบบนี้ แล้วเขาจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร

ฉินเย่จือก้มลงดมกลิ่นหอมอันคุ้นเคยในอ้อมกอด ซึ่งทำให้จิตใจผ่อนคลาย

“หวานเอ๋อร์” น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเอ่ยออกมาด้วยความอยากลำบาก ในตอนนี้ความรักมันมากล้นจะเอ่อทะลักออกมา ริมฝีปากบางยกขึ้นอย่างมีเสน่ห์

กู้เสี่ยวหวานจมอยู่ในอกกว้าง รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของคนที่โอบกอดไว้ ปลายจมูกยังได้กลิ่นอันหอมละมุนที่แสนคุ้นเคย

นี่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของฉินเย่จือ กลิ่นที่ทำให้นางเคลิบเคลิ้มและหลงใหล “อืม พี่เย่จือ”

นางตอบกลับมาสั้น ๆ โดยไม่พูดอะไรมาก เช่นเดียวกับเขาที่แค่เรียกชื่อตนเองแล้วก็เงียบไป เพียงแค่การขยับมือก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกของนางในขณะนั้น

มือของนางโอบกอดร่างกายของฉินเย่จือแน่น ออกแรงกระชับกอดมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าต้องการฝังตัวเองเข้าไปในอกของเขา

“หวานเอ๋อร์ คิดถึงข้าบ้างไหม” เขาไปเมืองหลวงเป็นระยเวลาหนึ่งเดือน สวรรค์รับรู้ว่าเขาต้องคิดถึงนางจนเข้ากระดูกดำ

“อืม” กู้เสี่ยวหวานตอบรับเจ้าของอ้อมกอดด้วยเสียงแผ่วเบา หลังพูดจบใบหน้าก็สีแดงระเรื่อขึ้นมาเหมือนกับทิวทัศน์ในเดือนสาม ดอกท้อสีชมพูแพรวพราวละลานตาเต็มท้องฟ้านั้น ไม่มีอะไรทำให้เตะตามากกว่านี้อีกแล้ว ตราตรึงในหัวใจไปจนชั่วชีวิต

คำตอบของกู้เสี่ยวหวานทำให้ฉินเย่จือตกใจมาก นางคิดถึงเขาเหมือนกับที่เขาคิดถึงนาง

ความเจ็บปวดจากภายในที่ยากจะแก้ไข

หวังเพียงให้หัวใจเจ้าอยู่กับข้า เหมือนใจข้าที่อยู่กับเจ้า ไม่ให้ความรักลดน้อยลง

หัวใจของเขาแทบจะกระเด็นออกมาจากอก

เขาก้มหน้าลงแล้วคลี่ยิ้ม เสียงที่แผ่วเบาเหมือนสายลมที่อบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ พร้อมกลิ่นหอมชวนหลงใหล “หัวใจของข้าเต้นเร็วมากใช่ไหม”

เต้นเร็วมาก

เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นเร็วและแรงครั้งแล้วครั้งเล่า

นางคลอเคลียอยู่ที่หน้าอกของเขา ใกล้ขนาดนั้น เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงเหมือนกับมีคนตีกลองอยู่ภายในอก

ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะตอบ คางของนางถูกเชยขึ้นเบา ๆ ฉินเย่จือขยับหน้าเข้ามาใกล้ รอให้นางขยับริมฝีปากสีแดงนั้นและก้มลงไปประกบริมฝีปากที่อ่อนนุ่มนั้น

รอมาหนึ่งเดือน ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน

ที่นี่เป็นร้านอาหาร ตอนนางเข้ามาแค่ปิดประตูเบา ๆ หากแต่ไม่ได้ลงกลอน นางเกรงว่าถ้ามีคนเข้ามาจะทำอย่างไร

ความคิดถึงแปรเปลี่ยนเป็นความปรารถนาที่จะใกล้ชิด

ฉินเย่จือคิดถึงวันที่จะได้อยู่กับนางทั้งวันทั้งคืน คิดถึงริมฝีปากที่อ่อนนุ่ม กี่คืนแล้วที่คิดถึงแทบบ้า

เขาถอนหายใจอย่างพึงพอใจ สอดลิ้นเข้าไปในปากของกู้เสี่ยวหวานคล้ายสำรวจหาสิ่งของล้ำค่าแล้วผละออกมา แล้วทำเช่นนั้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า

กู้เสี่ยวหวานกังวลว่าจะมีใครพรวดพลาดเข้ามา เรี่ยวแรงของนางหายไปกับจูบที่รุนแรงนี้

นางยื่นมือออกไปคล้องคอฉินเย่จือให้โน้มลงมาใกล้ชิดกับตัวเองมากขึ้น

ความใกล้ชิดของทั้งสองคนกับจูบที่เร่าร้อนอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ผละออกจากริมฝีปากนั้นอย่างไม่เต็มใจและมองไปที่ริมฝีปากสีแดงสดของกู้เสี่ยวหวาน เขาคิดว่าปากของนางคงจะแตกหากเขายังจูบนางอยู่เช่นนี้จึงได้ยอมแพ้

“หวานเอ๋อร์” ฉินเย่จือก้มลงมากระซิบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและความรัก “หวานเอ๋อร์ ข้ารักเจ้า”

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกสับสน น้ำเสียงสั่น เมื่อกำลังจะเอ่ยบางสิ่งก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางประตู

กู้เสี่ยวหวานตกใจมากจนลุกขึ้นนั่ง

ความต้องการเมื่อครู่หายไปแล้ว เนื่องจากถูกขัดจังหวะ ความโกรธฉายชัดในแววตาของฉินเย่จืออย่างไม่สามารถปกปิดได้

ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ขยับ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “เถ้าแก่ เถ้าแก่ มีคนก่อเรื่อง”

ฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานมองหน้ากัน จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเดินไปที่ประตู

ลูกจ้างที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่มีสีหน้ากังวล เมื่อเห็นประตูถูกเปิดก็รีบพูดว่า “เถ้าแก่ มีผู้หญิงสองคนมาที่ประตู บอกว่าต้องการพบท่าน”

ผู้หญิงสองคน

ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานกำลังคิดว่าเป็นใครก็ได้ยินเสียงดังมาจากนอกร้าน “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าต้องไม่ตายดี เจ้าส่งลุงของตัวเองเข้าคุก เจ้าอยู่ที่นี่กินดีอยู่ดี บังคับให้ลุงของเจ้าไปตายอยู่ในคุก เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่”

เสียงคุ้น ๆ ถ้าไม่ใช่ซุนซีเอ๋อร์แล้วยังจะเป็นใครได้อีก

นางมาทำอะไร

“เถ้าแก่ คนผู้นี้มาร้องไห้โวยวายที่ประตู ปากนางเอาแต่สาปแช่ง” แม้ว่าลูกจ้างผู้นี้จะมาจากครอบครัวที่ยากจน ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้มากนัก แต่กลับไม่เคยใช้ถ้อยคำหยาบโลน แม้จะด่าก็เป็นคำที่ได้ยินกันทั่วไป

แต่ผู้หญิงคนนั้นที่ประตู นางสวมผ้าไหม แต่งตัวดูดี แต่คำที่ออกมาจากปากทำไมถึงไม่น่าฟังเช่นนี้

“นางด่าอะไร” กู้เสี่ยวหวานตะคอกอย่างเย็นชา

ลูกจ้างคนนี้เพิ่งมาทำงานที่ร้านจิ่นฝูวันแรก ยังไม่รู้นิสัยของกู้เสี่ยวหวาน ครั้นเห็นหน้าใบหน้าเย็นชา ก็คิดว่านางกำลังโกรธตัวเองก็หวาดกลัวจนไม่กล้าหายใจและพูดออกมา

การทำงานที่ร้านจิ่นฝูเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน มีค่าตอบแทนที่ดีและยังมีเสื้อผ้าใส่ วันหยุด เงินพิเศษ จะมีสักกี่คนที่ได้เข้ามา ถ้าไม่ใช่เพราะบางคนหักหลังเจ้าของร้านแล้วถูกนางไล่ออกไป ไม่งั้นเขาจะมีโอกาสเข้ามาได้อย่างไรล่ะ

เขารู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าตอบ “เถ้าแก่ นาง… นาง…”

นานมากแล้ว ทว่านางก็ยังพูดไม่จบประโยค

“กู้เสี่ยวหวาน เจ้ามันหน้าไม่อาย เป็นถึงเสี้ยนจู่ เจ้าบินขึ้นไปได้ไม่ใช่เพราะหน้าตาใช่ไหม”

ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานแปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย ก่อนที่จะขยับก็เห็นร่างหนึ่งผ่านตาไป แล้วก็พบว่าฉินเย่จือหายไปในพริบตา

จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและคร่ำครวญมาจากประตูเหมือนผีร้องโหยหวน

กู้เสี่ยวหวานรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง เสียงเอะอะโวยวายข้างนอกกำลังดึงดูดความสนใจของแขกในร้าน บางคนวิ่งไปที่ประตูเพื่อดูความสนุก บางคนที่นั่งติดกับประตู ยืดคอออกไปดูข้างนอก

 

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท