ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1315 เลี้ยงดูซุนซื่อและลูกสาว + ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1316 ลับลมคมใน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1315 เลี้ยงดูซุนซื่อและลูกสาว

บทที่ 1315 เลี้ยงดูซุนซื่อและลูกสาว

เมื่อเห็นพวกเขาออกจากร้านไปแล้ว จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ “พี่ใหญ่ฉิน เหตุใดท่านถึงไม่สนใจข้าสักนิด”

สีหน้าของนางดูเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา

ลี่เหนียงไม่อยากสนใจนาง จึงเดินหายเข้าไปข้างหลังผ้าม่านทันที

กู้ซินเถาเห็นท่าทางเศร้าใจของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็รีบเข้าไปปลอบ “อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ต้องเสียใจ กู้เสี่ยวหวานเป็นคนช่วยพี่ใหญ่ฉินจากความตาย อยู่ต่อหน้านาง เขาย่อมไม่กล้าพูดคุยกับพวกเรา”

อันที่จริงกู้ซินเถายังมีคำพูดอีกครึ่งหนึ่งที่ยังพูดไม่จบ ต่อให้กู้เสี่ยวหวานไม่ได้อยู่ด้วย เขาก็ไม่มีทางมองเจ้า และไม่มีทางพูดกับเจ้าแม้แต่คำเดียว

กู้ซินเถานึกถึงสิ่งที่ตนเคยทำให้ฉินเย่จือคับข้องใจในอดีต ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า

กู้เสี่ยวหวาน! ในเมื่อเจ้าไม่อยากให้ข้าได้ดี ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าได้ดีเหมือนกัน! กู้ซินเถาคิดอย่างมาดมั่น

“ซินเถา ที่เจ้าบอกว่าหากไม่ได้อยู่ต่อหน้าหญิงผู้นั้น พี่ใหญ่ฉินจะชายตามองข้า มันหมายความว่าอย่างไร” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างมีความหวัง ดวงตาเปล่งประกายมองมาที่กู้ซินเถาอย่างตื่นเต้น เฝ้ารอคำตอบจากนาง

“อืม… อวิ๋นเอ๋อร์งดงามถึงเพียงนี้ พี่ใหญ่ฉินย่อมต้องมองเจ้าอยู่แล้ว” กู้ซินเถาพูดเอาอกเอาใจ ทว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กลับมองมาด้วยสายตาแข็งกร้าวและพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ฉินได้คนเดียวเท่านั้น เจ้าห้ามเรียก”

กู้ซินเถารีบพยักหน้าพร้อมส่งเสียงตอบรับ ท่าทางตกใจปนประหม่าเดินตามจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กลับไป

รถม้าของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์รออยู่ข้างนอก กู้ซินเถาต้องทำตัวราวกับสาวใช้ ประคองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ขึ้นรถม้าก่อน ตนถึงตามขึ้นไป ระหว่างทางกลับไปที่ตระกูลจ้าว จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และกู้ซินเถาเอาแต่คุยกันถึงแผนการที่จะทำให้กู้เสี่ยวหวานตกลงจากหลังม้า

หลังจากหารือเรื่องแผนการตอบโต้ ในที่สุดจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ลงจากรถม้าและกลับบ้าน ทว่ากู้ซินเถาก็ตามเข้าไปด้วย…

ที่แท้กู้ซินเถาก็ประจบจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เพื่อให้ตนเองได้อยู่ในเมืองรุ่ยเสียน! นางไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง นางจึงต้องมาอาศัยอยู่ที่เรือนของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ชั่วคราว

กู้ซินเถาและจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เดินมาถึงห้องโถงพร้อมกัน ซุนซื่อและหงซื่อกำลังนั่งคุยกันอยู่ ทันทีที่เห็นจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กลับมาแล้ว หงซื่อจึงพูดหยอกเย้าว่า “ดูซินเถาของเจ้าสิ สวยสง่าราศี ไม่เหมือนเจ้าเด็กดื้อรั้นของข้า”

กู้ซินเถารู้ว่าหงซื่อพูดตามมารยาท แต่นางก็ยังยิ้มเขิน ๆ ตอบ

ทว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ผู้เติบโตมาท่ามกลางถ้อยคำชื่นชมของหงซื่อและคนอื่น จู่ ๆ ได้ยินแม่ตัวเองยกย่องคนอื่นต่อหน้าผู้คนมากมาย จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ถึงกับหันไปจ้องมองกู้ซินเถาด้วยสายตาดุดัน

กู้ซินเถารู้สึกได้ถึงสายตามุ่งร้ายของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ จึงรีบพูดอะไรสักอย่างทันที “ฮูหยิน หากจะพูดถึงความงามแล้วนั้น ผู้ใดจะมาเทียบความงามทั้งกายและใจของอวิ๋นเอ๋อร์ได้”

กู้ซินเถารีบพูดยกยอจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ ซุนซื่อผู้เข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นลูกต้องการจะสื่อ จึงรีบพูดเสริมทันที “ใช่แล้ว ๆ เรามาจากตระกูลเล็ก ๆ เท่านั้น จะไปเทียบกับคุณหนูจ้าวผู้สูงศักดิ์และสง่างามได้อย่างไรกัน”

สองแม่ลูกพูดจาชื่นชมจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่หยุด นางก็เริ่มใจชื้นขึ้น เชิดหน้าขึ้นด้วยภาคภูมิ เดินไปนั่งประจำที่ของตน ทำราวกับไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่น

หงซื่อมองเข้าไปในดวงตาของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็รู้ได้ทันทีว่ากู้ซินเถาตกอยู่ใต้อำนาจของนางเสียแล้ว

ยามนี้กู้ซินเถาเหมือนเด็กน้อยว่านอนสอนง่าย ยืนมือประสานไว้ด้านหน้าลำตัว ก้มมองพื้นอย่างกับสาวชาวบ้านฐานะธรรมดาที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้าง หงซื่อหันมองไปมองอวิ๋นเอ๋อร์ของนางที่มักจะได้รับคำชื่นชมจากผู้คนมากมายจนกลายเป็นเรื่องชินชาในหัวใจ ใบหน้าของผู้เป็นแม่พลันเปลี่ยนเป็นภูมิใจ

หงซื่อและซุนซื่อพูดคุยกันอีกสองสามคำ จากนั้นจึงสั่งให้คนพาสองแม่ลูกตระกูลซุนกลับไปที่เรือนรับรองเล็ก ๆ

ทันทีที่พวกนางจากไป จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ทำหน้าบึ้งตึงทันที “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงให้พวกนางอยู่ที่เรือนของเราด้วย”

แถมยังให้นางญาติดีกับกู้ซินเถา ตัวนางสูงส่งขนาดไหน เหตุใดต้องมาแสร้งทำดีกับหญิงสาวชาวบ้านที่มาจากชนบทอย่างกู้ซินเถาด้วย นี่มันเป็นการลดตัวให้ต่ำลงชัด ๆ

สีหน้าไม่พอใจของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยิ่งชัดขึ้นเมื่อนึกถึงยามที่กู้ซินเถาเรียกฉินเย่จือว่าพี่ใหญ่ฉินเหมือนตนเอง ‘พี่ใหญ่ฉิน’ สามคำนี้ออกมาจากปากของหญิงสาวชาวบ้าน ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง!

หงซื่อเห็นสีหน้าไม่สบอามารณ์ของลูกสาว นางก็รู้ว่าลูกสาวผู้นี้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนต้องสั่งให้นางทำเช่นนั้น แม้ว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์จะทำตาม แต่ก็หาได้เต็มใจไม่

ย้อนกลับไปในยามที่ได้พบซุนซื่อและกู้ซินเถาจนตรอกอยู่ที่ร้านจิ่นฝู หงซื่อตัดสินใจพาคนทั้งสองกลับมาด้วย เชิญหมอมารักษา หาข้าวปลาอาหารดี ๆ ให้พวกนางได้ดื่มกิน

และที่นางทำเช่นนี้ก็เพราะเหตุผลบางอย่างที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังไม่เข้าใจ

“ท่านแม่ ท่านจะเก็บพวกนางไว้เพื่อสิ่งใดกัน พวกนางไม่มีประโยชน์ ถูกกู้เสี่ยวหวานเล่นงานอย่างหนักจนต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์พูดอย่างเหยียดหยามพลางนั่งลงตรงที่ที่ซุนซื่อนั่งก่อนหน้านี้

“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าไม่เข้าใจข้า” หงซื่อเห็นสีหน้าร้อนรนราวกับทนไม่ไหวแล้วของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ ก็รีบอธิบายให้นางเข้าใจทันที “ก็เพราะว่าพวกนางถูกกู้เสี่ยวหวานเล่นงานอย่างหนักอย่างไรเล่า เราจึงต้องทำดีเพื่อดึงพวกนางมาเป็นพวกเดียวกัน บางทีพวกนางอาจจะมีประโยชน์กับเราก็ได้”

ยิ่งความโกรธแค้นระหว่างคนในตระกูลกู้สายหลักกับกู้เสี่ยวหวานรุนแรงขึ้นมากเท่าไรก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น และจะดีที่สุดหากทั้งสองฝ่ายหันมาต่อสู้กันเอง

หากเป็นอย่างที่คิด แผนการใช้ตระกูลกู้สายหลักเพื่อจัดการกู้เสี่ยวหวานช่วยนางได้เยอะทีเดียว

“ท่านแม่ ท่านคิดจะทำสิ่งใด” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ขมวดคิ้ว เคยตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าเรื่องนี้นางจะเป็นคนจัดการเอง เหตุใดจึงต้องดึงกู้ซินเถาเข้ามาเกี่ยวด้วย

ครั้นนึกถึงท่าทางเจ้าเล่ห์ของกู้ซินเถายามที่ช่วยพยุงนางขึ้นรถม้า ทั้งยังบังอาจมาเรียกพี่ใหญ่ฉินเสียงอ่อนเสียงหวานอีก จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามครั้งยิ่งใหญ่

“อวิ๋นเอ๋อร์ แม่ไม่ได้คิดสิ่งใดเลยนอกจากเรื่องแต่งกู้เสี่ยวหวานเข้ามาเป็นสะใภ้” หงซื่อถอนหายใจเสียงดังเฮ้อยาว ๆ

ขอเพียงเจี๋ยเอ๋อร์ได้แต่งกับกู้เสี่ยวหวาน เพียงเท่านี้สถานะของเจี๋ยเอ๋อร์ก็จะสูงส่งกว่าจ้าวจื่อชงมากโขแล้ว

นายท่านนับวันอายุก็ยิ่งมากขึ้น แล้วผู้ใดกันเล่าจะได้เป็นผู้ดูแลจวนตระกูลจ้าวต่อไป แน่นอนว่าไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของลูกชาย

จ้าวจื่อชงเป็นลูกชายคนโต โอกาสที่เขาจะได้เป็นหัวหน้าตระกูลจ้าวย่อมมีมากกว่าเจี๋ยเอ๋อร์ เรื่องนี้ฮูหยินเฒ่าได้เปรียบนาง หากเป็นอย่างนั้นจริง แล้วเราสามแม่ลูกจะยังมีที่ยืนอยู่หรือไม่?

แต่จ้าวสวิ่นให้ความสำคัญกู้เสี่ยวหวานมาก หากคว้าตัวกู้เสี่ยวหวานมาได้ โอกาสที่เจี๋ยเอ๋อร์จะได้เป็นนายท่านตระกูลจ้าวก็จะมีมากขึ้น

 


 

บทที่ 1316 ลับลมคมใน

บทที่ 1316 ลับลมคมใน

“ท่านแม่ เราตกลงกันแล้วว่าข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ท่านยังต้องกังวลสิ่งใดอีก” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์แสดงสีหน้าไม่พอใจที่หงซื่อทำเหมือนไม่มั่นใจในฝีมือของนาง

หงซื่อเห็นสีหน้าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่พอใจ มีหรือที่คนเป็นแม่จะมองไม่ออก? หงซื่อไม่รอช้า รีบรุดเข้าไปจับมือจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ “เด็กโง่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า เพียงแต่ครั้งนี้ข้าต้องคว้าตัวกู้เสี่ยวหวานมาให้ได้ แผนการนี้เราจึงไม่อาจล้มเหลว เช่นนั้นข้าจึงวางใจไม่ได้ ข้าจะต้องมัดตัวกู้เสี่ยวหวานไว้บนเกี้ยวเพื่อให้นางแต่งงานกับพี่ชายของเจ้าอย่างเต็มใจด้วยมือของข้าเอง”

“ท่านแม่ แต่สองแม่ลูกนั้นเล่า พวกนางมีประโยชน์อันใดกับเรา วันนั้นที่ร้านจิ่นฝู ท่านก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าพวกนางสองแม่ลูกถูกกู้เสี่ยวหวานปฏิบัติอย่างเลวร้ายเพียงใด” ถึงตอนนี้จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ยังไม่เห็นว่าสองแม่ลูกคู่นี้มีประโยชน์อย่างไร

“เจ้ายังไม่เข้าใจ แม้ว่าสองคนนี้จะไร้ประโยชน์ แต่พวกนางก็เป็นญาติของกู้เสี่ยวหวาน พวกนางจึงเข้าถึงกู้เสี่ยวหวานได้ง่ายกว่าเรา อีกอย่าง ยิ่งพวกนางถูกกู้เสี่ยวหวานทำให้เจ็บช้ำน้ำใจมากเท่าไร พวกนางก็ยิ่งเกลียดกู้เสี่ยวหวานมากขึ้นเท่านั้น โอกาสที่พวกนางจะร่วมมือกับเราก็มากขึ้น ตอนที่เจ้าเพิ่งมาถึงคงไม่ทันได้ยิน เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าซุนซื่อพูดสิ่งใดกับแม่?” หงซื่อพูดอย่างมีลับลมคมใน

“สิ่งใดหรือ?”

“นางขอให้ข้าช่วยพูดกับท่านพ่อของเจ้าว่าให้ช่วยกู้ฉวนลู่” หงซื่อหน้าระรื่น

“ในเมืองหลิวเจียนี้ เพียงท่านพ่อของเจ้ากระทืบเท้า ทั้งเมืองเป็นต้องสั่นสะท้าน แค่เอ่ยปากสองสามคำก็ช่วยกู้ฉวนลู่ได้แล้ว หากเราช่วยกู้ฉวนลู่ออกมาได้ สองแม่ลูกนั่นก็ไม่ใช่แค่ตั๊กแตนในกำมือแล้ว ไม่ว่าจะใช้ให้พวกนางทำสิ่งใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น”

ความเยือกเย็นแผ่ออกมาจากใบหน้าของหงซื่อ ท่าทางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ได้แต่ครุ่นคิดอย่างอื่นเงียบ ๆ อยู่ในใจ

หลังจากจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กลับไปที่ห้องของตน หงซื่อก็รีบส่งคนไปเชิญจ้าวสวิ่นทันที

เดิมทีคืนนี้จ้าวสวิ่นจะกลับไปที่จวนบรรพบุรุษ แต่เมื่อได้ยินว่าหงซื่อส่งคนมาเชิญ จึงตระหนักได้ว่าตนไม่ได้ไปหานางนานแล้ว เช่นนั้นคืนนี้เขาควรต้องไปหานาง

ด้านหงซื่อก็จัดเตรียมสำรับอาหารเย็นไว้เรียบร้อยพอดี ส่วนจ้าวสวิ่นก็รีบมาหานางทันทีที่เสร็จงาน

เมื่อทั้งสองได้พบกัน จ้าวสวิ่นที่เห็นว่าคืนนี้หงซื่อแต่งตัวเรียบร้อยงดงาม ท่าทางอ่อนหวาน พลันนึกถึงหลายวันที่ผ่านมาที่ตนละเลยนาง ในใจของจ้าวสวิ่นจึงรู้สึกผิดยิ่งนัก และคิดว่าคืนนี้จะต้องชดเชยให้นางอย่างอบอุ่น

หงซื่อเป็นคนฉลาด รู้ว่าเมื่อใดควรพูดสิ่งใด เมื่อใดไม่ควรพูดสิ่งใด

บนโต๊ะอาหารค่ำ หงซื่อดื่มเหล้าเพียงเล็กน้อย ดวงหน้ามนทรงเสน่ห์ชวนให้จ้าวสวิ่นหลงใหลจนไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้ ในใจร้อนรนอยากจะเปลื้องผ้าทั้งสองคนแล้วรีบไปทำเรื่องรื่นรมย์กันในทันใด

ทั้งสองผลัดเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จากนั้นจ้าวสวิ่นก็โอบกอดร่างของหงซื่อไว้พลางหอบหายใจหนักเพื่อหยุดพักสักครู่

ครั้นเห็นว่าพักได้พอสมควรแล้ว หงซื่อที่อิงแอบแนบชิดบนอกกว้างของจ้าวสวิ่น และสัมผัสปอยผมของเขาเล่นไปพลาง ๆ ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายท่าน นานแล้วที่ท่านไม่ได้มาหาข้า คงไม่ใช่ว่าท่านคืนดีกับพี่หญิงแล้วลืมข้าใช่หรือไม่?”

หงซื่อเกิดมาเป็นคนงาม ยามนี้นางยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นราวกับดอกท้อ ทว่านัยน์ตากลับดูเศร้าสร้อยชวนให้ใจคนมองทั้งเอ็นดูทั้งสงสาร รวมถึงคำพูดอ่อนหวานเหล่านั้น ยิ่งทำให้จ้าวสวิ่นรู้สึกผิดต่อหงซื่อขึ้นไปอีก

เขารีบกอดหงซื่อให้แน่นขึ้น พลางจูบปากบางสีแดงของนางแล้วเอ่ยขอโทษนาง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก แต่หลังจากเรื่องยุ่ง ๆ นี้ผ่านไป ข้าจะอยู่กับเจ้าให้มากขึ้นเพื่อชดเชยที่ข้าละเลยเจ้า เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”

หงซื่อส่งเสียงตอบรับเอาอกเอาใจ เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าช่วงนี้จ้าวสวิ่นยุ่งจริงหรือไม่

ต่อให้จ้าวสวิ่นจะยุ่งสักเพียงใด แต่เขาก็ยังต้องมีเวลาพัก เพียงแต่เวลาที่ว่าเขาเอาไปใช้กับหญิงชราที่เรือนบรรพบุรุษ ไม่ได้คิดจะมาหานางสักนิด

หงซื่อกดเก็บความแค้นไว้ในใจ นางยังระเบิดออกไปตอนนี้ไม่ได้ เพราะยังมีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำ

“นายท่าน ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ท่านอย่าได้ถือสาข้าเลย นายท่านดีต่อข้าขนาดนี้ ข้าจะโทษท่านได้อย่างไร” หงซื่อพูดเอาอกเอาใจไม่หยุด

จ้าวสวิ่นชอบหงซื่อตรงที่นางเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ อีกทั้งนางยังเข้าอกเข้าใจเขาเป็นอย่างดี

เขาได้รับสิ่งเหล่านี้มาก็หลายครั้ง แต่เหตุใดครั้งนี้ในใจเขาถึงไม่ชอบเหมือนเมื่อก่อน

พูดแล้วก็ต้องแปลกใจ ตอนยังเป็นหนุ่มชอบความน่ารักมีเสน่ห์และเข้าอกเข้าใจ หลงคิดไปว่าผู้หญิงต้องเป็นดั่งสายน้ำไหล*[1]

แต่ในวัยนี้กลับพบว่าฮูหยินที่บ้านที่มักทะเลาะกับตนอยู่เสมอคือตัวจริง

เฮ้อ… ภรรยาเอกก็คือภรรยาเอก ต่อให้อนุภรรยาจะดีแค่เพียงใดก็เทียบกับฮูหยินที่ยกย่องออกหน้าออกตาไม่ได้

หลายปีผ่านไปถึงคิดได้ว่าคนที่ตนควรรู้สึกผิดและขอโทษก็คือ ฮูหยินที่จวนบรรพบุรุษต่างหาก

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จ้าวสวิ่นก็รู้สึกสบายใจ แต่เมื่อมองใบหน้าอันบอบบางของหงซื่อที่อยู่ในอ้อมแขน เขากลับรู้สึกขยะแขยงในใจ แขนที่กำลังโอบกอดหงซื่อค่อย ๆ คลายออกอย่างไม่รู้ตัว ความเสน่หาที่ปรากฏบนใบหน้าเมื่อสักครู่ก็จางหายไปเช่นกัน

หงซื่อไม่ทันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในใจของจ้าวสวิ่น

เพราะในใจของนางยังมัวคิดเรื่องช่วยกู้ฉวนลู่อยู่

และแล้วนางก็ตัดสินใจว่า ยามนี้แหละคือโอกาสดี

หงซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา “นายท่าน ข้ามีบางสิ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”

จ้าวสวิ่นหัวใจกระตุกวูบ แต่สีหน้ายังคงเดิม “เจ้าคือภรรยาข้า ระหว่างเจ้ากับข้า มีสิ่งใดจะพูดก็พูดมาเถอะ”

หงซื่อตอบรับเสียงแผ่ว สีหน้ามั่นใจขึ้น “นายท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าพบเจอผู้ใด”

“ผู้ใด?”

“ภรรยาและลูกสาวของคนทำบัญชีในร้านซุ่นซินคนก่อน”

“เจ้าหมายถึงกู้ฉวนลู่?” จ้าวสวิ่นรู้จักคนผู้นี้ เมื่อก่อนเขาเป็นบัณฑิตผู้ร่ำเรียนอย่างหนัก แต่ก็สอบปากู่เหวินไม่ผ่าน เขาจึงหันไปเป็นคนทำบัญชีในร้านอาหาร

เขาเป็นคนมีความสามารถ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีศีลธรรม

เรื่องราวฉาวโฉ่ของเขา จ้าวสวิ่นก็เคยได้ยินมาไม่น้อย

“เจ้าพบภรรยาและลูกสาวของเขาได้อย่างไร” จ้าวสวิ่นถามด้วยความแปลกใจ

“ไม่กี่วันก่อน ร้านจิ่นฝูกลับมาเปิดกิจการแล้ว นายท่านรู้หรือไม่”

จ้าวสวิ่นพยักหน้าแสดงว่าเขารู้อยู่แล้ว

เวลานี้ร้านจิ่นฝูเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดในเมืองหลิวเจีย ตัวเขาเองส่วนใหญ่ก็ไปทานอาหารที่ร้านจิ่นฝู

*[1] ผู้หญิงต้องเป็นดั่งสายน้ำไหล หมายถึง ผู้หญิงต้องมีความอ่อนโยน อ่อนนุ่ม อ่อนไหวเหมือนสายน้ำ เห็นแล้วต้องพาให้ชุ่มชื่นหัวใจ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท