บทที่ 1299 แผนการร้าย
บทที่ 1299 แผนการร้าย
หงซื่อพรั่งพรูคำพูดต่าง ๆ นานาออกมาในคราวเดียว สิ้นประโยคสุดท้าย นางถึงกับต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยังไม่วายพูดต่ออีกว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าเป็นคุณหนูเพียงคนเดียวในตระกูลจ้าว คนที่เจ้าควรแต่งด้วยจะต้องเป็นคุณชายผู้มั่งคั่ง เจ้าจงวางใจเถิด เจ้าคือบุตรสาวผู้ล้ำค่าของท่านพ่อเจ้า เขาไม่มีทางปล่อยให้เจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจเป็นแน่ เจ้าจะต้องแต่งออกไปเป็นฮูหยิน อย่าลืมว่าตัวเจ้าเป็นคนงาม แม้อยากจะเข้าวังเป็นสนมก็ย่อมได้ แค่จะหาบุรุษรูปงามอกผายไหล่ผึ่งสักคนหนึ่งยิ่งไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงเรามีเงินในมือ ถึงวันออกเรือนของเจ้า แม่จะจัดขบวนเกี้ยวเจ้าสาวยาวสิบลี้ ให้เจ้าแต่งออกไปอย่างยิ่งใหญ่สง่างามดีหรือไม่?”
ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวยาวสิบลี้เมื่อนางแต่งออกไปอย่างนั้นหรือ?
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กำลังเฝ้าฝันถึงสิ่งที่พึ่งได้ยินเมื่อครู่ และหากมันเป็นเรื่องจริง นางคงอิ่มเอมใจไม่น้อย
แต่ว่า… หากได้แต่งกับท่านพี่ฉิน นั่นมันดีเสียยิ่งกว่าดีอีกไม่ใช่หรือ?
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์รู้ดีว่าหงซื่อไม่เห็นด้วยเรื่องที่นางชอบพอฉินเย่จือ แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็ได้มอบหัวใจให้ฉินเย่จือไปจนหมดสิ้นตั้งแต่คราแรกที่พบกันแล้ว
ทุกวันคืนนางเฝ้าคิดถึงแต่ฉินเย่จือ หัวใจก็ยิ่งโหยหาเขา
คงจะดีไม่น้อย หากได้อยู่เคียงข้างท่านพี่ฉินทั้งวันทั้งคืน
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เฝ้าฝันถึงสายตาอ่อนโยนและใบหน้าที่หล่อเหลาของฉินเย่จือ ใบหน้านวลพลันแดงก่ำ ท่าทางขวยเขิน ก้มหน้าหน่อย ๆ หัวเราะคิกคัก
แต่ในใจนางกลับอยากแต่งให้ฉินเย่จือจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
“ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าท่านพอใจในตัวกู้เสี่ยวหวานหรอกหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็ให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า ไม่แน่ว่าหากเราได้นางมาเป็นสะใภ้ใหญ่ ทรัพย์สมบัติของนางก็จะต้องตกเป็นของตระกูลเราด้วย” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่เฝ้าฝันหวานอยู่นาน จู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้นราวกับพึ่งนึกสิ่งใดออก ก่อนจะหันไปสบตากับหงซื่อแล้วบอกสิ่งที่นางคิดออกไป
หงซื่อย่อมอยากได้กู้เสี่ยวหวานเป็นสะใภ้อยู่แล้ว นางมีทั้งเงิน มีทั้งฐานะ แถมยังเฉลียวฉลาดมีความสามารถ
เพียงแต่มันติดอยู่ที่นายท่านคงไม่ยอมให้นางไปทาบทามกู้เสี่ยวหวานแน่ แต่คงจะให้ยายแก่นั่นเป็นคนไปทาบทามให้ลูกชายตนเองแทน
เฮอะ! ของดีขนาดนี้ จะปล่อยให้ยายแก่นั่นฉกไปหน้าตาเฉยได้อย่างไรกัน
“แน่นอนว่าแม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ยังทำได้แค่ฝัน เพราะยายแก่นั่นก็อยากได้กู้เสี่ยวหวานเป็นลูกสะใภ้เหมือนกัน ถ้าหากแม่เอาชนะยายแก่นั่นได้ นางคงแทบกระอักเลือดตาย หลายปีมานี้ นางกีดกันแม่ทุกทาง ไม่ว่าท่านพ่อของเจ้าจะพูดกับนางอย่างไร นางก็ไม่ยอมให้แม่เข้าจวน”
หงซื่อพูดอย่างโกรธจัด
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่สนใจและพูดอย่างเมินเฉย “ท่านแม่ เหตุใดถึงอยากกลับเข้าไปอยู่ที่เรือนเก่า เรือนที่เราอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าที่นั้นสักเท่าไรเลย อีกอย่างท่านพ่อก็ใช้เวลาอยู่กับเรามากกว่าที่เรือนเก่าเสียอีก”
หงซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้ว่าอยู่ข้างนอกจะดีกว่า แต่นางคิดว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับนาง
“เฮ้อ… แม้ว่าการอยู่ข้างนอกจะสบาย แต่สุดท้ายเจ้าก็คือคนในตระกูลจ้าว มีเลือดของตระกูลจ้าวไหลอยู่ในกายเจ้าครึ่งหนึ่ง เจ้ายังต้องกลับไปที่จวนของบรรพบุรุษเพื่อคารวะบรรพบุรุษของเจ้า” พูดจบ หงซื่อก็ถอนหายใจอีกครั้ง หากกลับเข้าไปในจวนบรรพบุรุษได้ ทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งในจวนตระกูลจ้าวก็ต้องตกเป็นของเจี๋ยเอ๋อร์ นางจะต้องหาทางกลับเข้าไปให้ได้
อีกอย่าง นางจะไม่ทนอยู่ข้างนอกอย่างไร้ชื่อไร้เสียงให้คนอื่นหัวเราะเยาะอีกต่อไป ทั้งเจี๋ยเอ๋อร์และอวิ๋นเอ๋อร์ต่างก็เป็นคุณหนูคุณชายของตระกูลจ้าว ความจริงข้อนี้ไม่มีผู้ใดลบล้างได้
แม้ว่านางจะเป็นเพียงอนุ แต่ก็ดีกว่าอยู่อย่างไร้ชื่อไร้ฐานะเช่นนี้
ดังนั้นในใจของหงซื่อจึงต้องมีแผนการอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะ นายท่าน…
ทันทีที่นึกถึงหน้าจ้าวสวิ่น ในใจหงซื่อแทบลุกเป็นไฟ
ยามนี้ นางรับรู้ได้ว่าจ้าวสวิ่นใช้เวลาอยู่ที่บ้านน้อยลงเรื่อย ๆ แม้กระทั่งในยามที่ตัวเขาอยู่กับนาง ใจของเขาก็ยังเอาแต่เหม่อลอย
หงซื่อไม่ใช่คนโง่…
เมื่อก่อนจ้าวสวิ่นปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนหวานปานขี้ผึ้งลนไฟ ตามติดนางไม่เว้นว่างสักวัน
ทว่าจู่ ๆ ความเสน่หากลับกลายเป็นเย็นชา คนที่ความรู้สึกไวเช่นหงซื่อมีหรือจะไม่รู้สึกได้
เพียงแต่นางไม่อาจมีปัญหากับจ้าวสวิ่น หลายปีแล้วที่นางกุมหัวใจของเขาไว้แน่น เพราะนางไม่เหมือนผู้หญิงในจวนเก่าที่วัน ๆ เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์และพูดจาถากถางสามี หญิงเช่นนี้ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย จะไม่ให้สามีออกไปหาความสุขนอกบ้านได้อย่างไร
หงซื่อจะไม่เอาอย่างยายแก่นั่นเด็ดขาด นายท่านยังเคยบอกว่านางเป็นดอกเจี๋ยอวี่*[1]
แต่ไม่ว่าอย่างไร ดอกไม้ย่อมต้องมีวันโรยรา แม้แต่ดอกเจี๋ยอวี่ที่เบ่งบานมานานก็เช่นกัน
ยิ่งนึกถึงท่าทีเฉยชาของจ้าวสวิ่น แผนการในใจของหงซื่อยิ่งผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
ขอเพียงแผนการทำให้กู้เสี่ยวหวานกลายมาเป็นสะใภ้ของนางสำเร็จ จ้าวสวิ่นจะต้องพูดสิ่งใดไม่ออกเป็นแน่ อีกทั้งเขายังชื่นชมกู้เสี่ยวหวานอยู่มาก เขาย่อมต้องพาพวกเรากลับไปที่จวนเก่าอย่างแน่นอน
หึ! ถึงตอนนั้นจะได้กลับจวนเก่าหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ชื่อเสียงและฐานะของกู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้น้อยหน้าตระกูลจ้าวสักนิด แม้ไม่ได้กลับเข้าจวนตระกูลจ้าวก็ช่างปะไร เพียงมีกู้เสี่ยวหวาน ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี
หงซื่อพร่ำเพ้ออยู่ในใจ นึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้หลังจากได้กู้เสี่ยวหวานมาเป็นสะใภ้ ใจนางก็ยิ่งร้อนรุ่ม อยากจะได้กู้เสี่ยวหวานมาเป็นสะใภ้ในทันทีทันใด
หากเป็นได้อย่างใจคิด หญิงเฒ่าที่จวนเก่ามีหรือจะกล้าทำกับนางอย่างเช่นทุกวันนี้ คงเห็นแก่ชื่อเสียงของกู้เสี่ยวหวาน และเชิญนางกลับจวนอย่างว่าง่าย
“ท่านแม่ ข้าคิดแผนการดี ๆ ออกแล้ว” ทันใดนั้น น้ำเสียงยินดีปรีดาของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ พร้อมดวงตาคมขลับเปล่งประกายสดใสก็ปลุกผู้เป็นแม่ให้ตื่นจากห้วงแห่งความเพ้อฝัน
“แผนการอันใด บอกข้ามาเร็ว” หงซื่อได้ยินว่ามีหนทาง สีหน้าจึงเปี่ยมไปด้วยความหวัง หูทั้งสองข้างผึ่งขึ้นทันใด
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เห็นท่าทางดูมีความหวังของผู้เป็นแม่ นางก็ยกยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วค่อย ๆ กระซิบบอกว่า “ท่านแม่ อย่าพึ่งรีบร้อน แล้วก็อย่าได้กังวลไป เพียงท่านกับท่านพี่ทำตามที่ข้าบอก ก็จะต้องได้กู้เสี่ยวหวานมาเป็นสะใภ้อย่างแน่นอน”
พูดจบ สีหน้าของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็เปลี่ยนเป็นดุร้าย แม้แต่หงซื่อที่อยู่ข้าง ๆ ยังไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางมาก่อน ในใจพลันรู้สึกกังวล จึงเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “อวิ๋นเอ๋อร์ แผนการที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่ อย่าคิดทำเรื่องอุจอาจเกินไป หากท่านพ่อของเจ้ารู้เข้า เราต้องแย่แน่”
ทว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กลับไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวใด ๆ กลับกันนางเพียงยกยิ้มน้อย ๆ นัยน์ตาฉายแววแห่งความมั่นใจ “ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าอย่าได้กังวลไป อย่างคำกล่าวที่ว่า ‘ขี้กลัวไม่นับเป็นลูกผู้ชาย ไม่โหดเหี้ยมไม่นับเป็นชายชาตรี’ หากเราไม่ลงมือทำสิ่งใด แล้วนางจะเชื่อฟังเราได้อย่างไร ท่านวางใจเถอะ แผนการของข้าจะต้องสำเร็จ ถึงยามนั้น นางจะต้องยอมแต่งให้ท่านพี่อย่างแน่นอน”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และหงซื่อมีใบหน้าที่คล้ายกันมาก ทั้งใบหน้ารูปเมล็ดแตงโม คิ้วเรียวยาว จมูกเชิดขึ้นเล็กน้อย คิ้วคมตาดำขลับ ช่างมีเสน่ห์ในตัวเอง
สายตาของหงซื่อจ้องมองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่ดูเหมือนตนเองในวัยเด็ก หูทั้งสองข้างตั้งใจฟังสิ่งที่นางพูดออกมาอย่างหนักแน่น แม้ว่าจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร แต่หากแผนการที่ว่ามาสามารถเอาชนะใจกู้เสี่ยวหวานได้ ก็คงต้องลองดูกันสักตั้งแล้วล่ะ
*[1] ดอกเจี๋ยอวี่ เปรียบเปรยว่าเป็นดอกไม้แห่งความเข้าใจ หมายถึง ผู้หญิงสวยที่ฉลาด อยู่ด้วยแล้วรื่นรมย์ใจ
บทที่ 1300 งานเลี้ยงฉลอง
บทที่ 1300 งานเลี้ยงฉลอง
แผนการของอวิ๋นเอ๋อร์นั้นค่อนข้างเลยดีทีเดียว ขี้ขลาดไม่นับเป็นลูกผู้ชาย ไม่โหดเหี้ยมไม่นับเป็นชายชาตรี ตราบใดที่ได้กู้เสี่ยวมาเป็นสะใภ้ ไยต้องสนใจด้วยว่าวิธีการนั้นคือวิธีใด
สองแม่ลูกจากไปโดยไม่ได้สังเกตว่ามีสายตามาดร้ายคู่หนึ่งกำลังจ้องมองแผ่นหลังของพวกนางสองคน
ร้านจิ่นฝูกลับมาเปิดร้านอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เกิดการลดราคาครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนเพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์ของส่วนลดที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงว่ามันเป็นกำไรสำหรับลูกค้าขนาดไหน ร้านอาหารแน่นขนัดไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตา
กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข ในตอนเช้าทุกวันนางจะตรวจสอบบัญชีของเหลียงอวี้เฉิงอีกครั้ง เด็กคนนี้มีความเอาใจใส่และมีพรสวรรค์จริง ๆ แม้ว่าข้อมูลจะซับซ้อน แต่เขาก็สามารถทำออกมาอย่างไร้ข้อผิดพลาด
นอกจากนี้ บัญชีบนกระดานยังชัดเจนและเป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับว่าต้องเป็นคนทำบัญชีระดับที่ทำงานมาหลายสิบปีเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ได้
กู้เสี่ยวหวานพอใจกับผลงานครั้งนี้มาก และเอ่ยให้กำลังใจเขาเป็นครั้งคราว
หลังจากส่งลูกค้าคนสุดท้ายออกไป ทุกคนภายในร้านจิ่นฝูก็มารวมตัวกันอีกครั้ง งานเลี้ยงของกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ เพิ่งเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
หม้อไฟ เหล้าชั้นดี แม้ว่าตอนนี้จะมืดสนิท แต่ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันอย่างตื่นเต้นและสนุกสนาน
แม้ว่าจะมีกิจกรรมจัดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่บัญชีของร้านก็มีเงินสะพัดหลายพันตำลึง กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียว และนำเงินส่วนตัวออกมาแจกลูกจ้างในร้านทุกคนเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ
เรื่องนี้คือสิ่งที่นางและฉินเย่จือได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้แล้ว ลูกจ้างในร้านทุกคนจะได้รับเงินพิเศษคนละห้าตำลึงเงิน เหลียงอวี้เฉิงได้เจ็ดตำลึงเงิน เกาจื่อและหลี่พ่างจื่อได้คนละสิบตำลึงเงิน
ครั้นเกาจื่อและหลี่พ่างจื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานต้องการมอบเงินให้พวกเขาจึงรู้สึกเกรงใจ และคิดว่าตนเองจะกล้ารับเงินนี้ได้อย่างไร แม้ว่าในอดีตตราบใดที่กิจการร้านจิ่นฝูจะดีแค่ไหน เจ้าของร้านจะให้เงินพิเศษแก่พวกเขา นอกจากเงินรายเดือน พวกเขาก็ยังได้รับเงินพิเศษ
การดูแลพ่อครัวของร้านจิ่นฝูนั้นดีกว่าร้านอื่นในเมืองหลิวเจียหลายเท่า
เกาจื่อและหลี่พ่างจื่อไม่ต้องการมัน พวกเขารีบโบกมือพัลวัล และบอกว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาเต็มใจทำ ถ้าอยากจะให้ก็ให้คนอื่นเถอะ
เหลียงอวี้เฉิงและลูกจ้างในร้านคนอื่นก็ไม่ยอมรับเงินเช่นกัน
มีลูกจ้างหลายคนที่เพิ่งมาทำงานใหม่ได้ไม่กี่วัน หลังจากทำงานอย่างขยันขันแข็งก็ได้รับรางวัลอย่างเหมาะสม ซึ่งทำให้พวกเขาทั้งหมดก็ตกใจ และได้ยินมาว่าร้านจิ่นฝูดูแลลูกจ้างในร้านอย่างดี แต่เขาไม่คิดว่ามันจะดีขนาดนี้
มาทำงานได้ไม่กี่วันก็ได้เงินรางวัลห้าตำลึงเงินแล้ว มันเท่ากับจำนวนเงินรายเดือนที่พวกเขาต้องใช้เวลาทำงานหลายเดือน
กู้เสี่ยวหวานเมาเล็กน้อย โบกมือของนางและพูดอย่างภาคภูมิใจ “พวกเจ้ารับไป รับไปเถอะ ตราบใดที่พวกเจ้าทำงานหนักในร้านจิ่นฝู ร้านจิ่นฝูก็จะไม่ปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างเลวร้าย”
แท้จริงแล้ว ร้านจิ่นฝูไม่เคยปฏิบัติต่อใครอย่างเลวร้าย
แม้แต่ลูกจ้างที่แว้งกัดกู้เสี่ยวหวาน หญิงสาวก็คำนวณเงินรายเดือนของพวกเขา และให้เงินเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย หญิงที่เปี่ยมไปด้วยความอดทนเช่นนี้ เมืองหลิวเจียจึงไม่มีใครเทียบได้
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับ กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและพูดต่อ “อาจารย์เกา อาจารย์หลี่ ท่านเป็นผู้อาวุโสของร้านจิ่นฝู ตอนที่ท่านลุงหลี่อยู่ที่นี่ เขาเคารพท่านทั้งสองมากแค่ไหนมีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ ตอนนี้ท่านลุงหลี่ย้ายไปอยู่เมืองหลวงแล้ว และข้าเข้ามาดูแลร้านจิ่นฝูต่อ ข้าก็ควรเคารพท่านในฐานะผู้อาวุโส ร้านจิ่นฝูเป็นของข้า แต่ก็เป็นของทุกคนเหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับผลประโยชน์ที่ร้านจิ่นฝูนำมาให้เรา”
กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยความจริงใจ เกาจื่อและหลี่พ่างจื่อต่างรู้สึกประทับใจมากเช่นกัน
พวกเขาทยอยเข้ามารับเงินทีละคน เหลียงอวี้เฉิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากและรับเงินไปด้วยความซาบซึ้ง เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดยอมรับเงินนี้ไป กู้เสี่ยวหวานก็รินเหล้าหนึ่งจอกและพูดอย่างมีความสุขว่า “มาเถอะ มาดื่มกันเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของเราในอนาคต”
“หมดจอก”
ค่ำคืนนั้นทุกคนร่ำสุรากันอย่างมีความสุข
กู้เสี่ยวหวานมีความสุขมาก หนึ่งคือร้านจิ่นฝู และสองคือพี่ฉือโถว ด้วยเหตุนี้นางจึงดื่มเหล้าไปมากเพื่อดื่มฉลองให้ฉือโถวและฟ่านหลิงเป็นพิเศษ
“พี่ฉือโถว แม่นางฟ่านเป็นคนดี ท่านต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดี และอย่าได้รังแกนางเป็นอันขาด” กู้เสี่ยวหวานพูดกับฉือโถว
ทันทีหลังจากนั้นก็มองไปที่ฟ่านหลิงและพูดว่า “ท่านพี่ พี่ฉือโถวของข้าเป็นคนดี ซื่อสัตย์และไม่ชอบพูด ดังนั้นท่านก็อย่างได้รังแกเขาล่ะ”
กู้เสี่ยวหวานจ้องมองที่พวกเขาสองคนด้วยดวงตาแดงก่ำจากฤทธิ์สุรา และเอ่ยเตือนกับพวกเขาแต่ละคน
ฟ่านหลิงหน้าแดงซ่าน นางเหลือบมองฉือโถวเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเขินอาย ทันใดนั้น ฉือโถวก็ก้มศีรษะลงและลุกออกจากโต๊ะไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างคิดว่าฉือโถวรู้สึกเขิน จึงชี้ไปที่ด้านหลังของเขาและหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ดูฉือโถวสิ เขากำลังจะเป็นเจ้าบ่าวอย่างเป็นทางการ ดูท่าทางเขาสิ ฮ่าๆๆๆ”
“ถูกต้อง เขาจะเป็นเจ้าบ่าวอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ ข้าเกรงว่าเขาคงจะรู้สึกเขิน จะยังมัวมาเขินอันใดอยู่ อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้ ตอนนี้อาจจะรู้สึกเขิน แต่ในอนาคตเขาจะต้องรู้สึกว่ามันสวยงาม ฮ่า ๆๆๆ”
โต๊ะนี้เป็นโต๊ะของเหล่าเครือญาติ นอกเหนือจากคนของสวนกู้แล้วก็มีเพียงเกาจื่อและหลี่พ่างจื่อที่นั่งรวมโต๊ะเดียวกัน
คนในสวนกู้จะไม่พูดเรื่องขบขันของฉือโถวแบบนี้ ดังนั้นจึงมีเพียงเกาจื่อและหลี่พ่างจื่อเท่านั้นที่พูดออกมา
กู้เสี่ยวหวานดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่น
ฉินเย่จือที่อยู่ข้าง ๆ นั่งกุมมือนางอยู่ตลอดเวลา สายตาจ้องมองกู้เสี่ยวหวานไม่วางตา เมื่อเห็นผมที่ติดอยู่กับริมฝีปากของนาง ฉินเย่จือจึงเอนตัวไปและใช้ปลายนิ้วเกี่ยวผมที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากไปทัดหูของนางด้วยความรักใคร่
กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะชินกับมันแล้ว
เกาจื่อและหลี่พ่างจื่อเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง และพูดแซวฉินเย่จือกับกู้เสี่ยวหวาน
“เถ้าแก่ เราจะได้ดื่มเหล้าฉลองงานแต่งของฉือโถวในเร็ว ๆ นี้ แต่ข้าไม่รู้ว่าเราจะได้ดื่มเหล้าฉลองงานของนายน้อยฉินเมื่อไร” เกาจื่อหัวเราะร่วน
และทุกคนบนโต๊ะเงียบลงอย่างกะทันหัน
ไม่มีใครสังเกตว่าฉือโถวที่เดินออกไปแล้ว ชะงักฝีเท้าหลังจากได้ยินประโยคนี้ ร่างกายของเขาเสียการทรงตัวและเกือบจะล้มลงกับพื้น
โชคดีที่มีกำแพงอยู่ข้าง ๆ เขาจึงพยุงตัวลุกขึ้นยืนได้
………………………………………………….