บทที่ 1307 ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างสุดความสามารถ
บทที่ 1307 ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างสุดความสามารถ
รอจนกระทั่งกล่องไม้หวางฮวาหลีพวกนั้นเต็มห้องแล้ว กู้ฟางสี่นับแล้วก็มีสี่สิบแปดกล่อง นี่ยังไม่รวมของใช้ในบ้านอีก เช่น ของตกแต่งในห้องหอ เครื่องนอนบนเตียงบ่าวสาว และของอื่น ๆ อีกมากมาย
นี่หากยกออกไป เกรงว่าคนไม่รู้ตั้งเท่าไรจะต้องเบิกตาโพลง
ป้าจางมองแล้วก็ได้แต่ตกตะลึง “เสี่ยวหวานซื้อของมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร”
แม้แต่กู้ฟางสี่ที่เมื่อครู่นั้นนิ่งเฉยมาก คราวนี้ก็นิ่งไม่ได้แล้ว นางได้แต่เบิกตากว้างมองกล่องไม้หวางฮวาหลีที่วางไว้เต็มห้อง
ในกล่องไม้นั้นมีผ้าพับอย่างดี เครื่องประดับที่ประณีตและยังมีของอื่น ๆ เต็มไปด้วยกล่องแล้วกล่องเล่า
“ข้าจะไปหานาง” ป้าจางรีบออกจากห้องและตรงไปที่ห้องครัว
เมื่อมาถึงห้องครัวแล้ว ยังจะเห็นเงาของกู้เสี่ยวหวานเสียที่ไหน
บนเตานั้นมีเพียงจานที่กินแล้วเท่านั้นที่วางอย่างเรียบร้อยอยู่บนเตา
ทว่าตัวคนไม่อยู่แล้ว
ป้าจางมองสิ่งพวกนั้น ทันใดนั้นก็ปิดปากร้องไห้
ส่วนกู้เสี่ยวหวานที่ทำคนร้องไห้นั้น ตอนนี้นางกินโจ๊กรังนกเสร็จไปนานแล้วและได้เผ่นหนีตามฉินเย่จือไปแล้ว
นางซื้อของเหล่านั้นมาเพื่อให้ฉือโถวใช้แต่งงาน ก่อนหน้านั้นนางไม่ได้บอกกับพวกป้าจางเพราะว่ากลัวพวกเขาจะไม่เห็นด้วย
ข้าวของจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ทั้งหมดนั้นใช้สำหรับการแต่งงานของฉือโถว เมื่อส่งมาแล้ว ป้าจางอยากพูดก็คงไม่พูดอะไรแล้ว
แต่เมื่อเห็นใบหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ในใจกู้เสี่ยวหวานก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
สิ่งเหล่านี้นางยินดีที่จะมอบให้พี่ฉือโถว มันเป็นสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ และป้าจางเองก็สมควรที่จะได้รับด้วยเช่นกัน
“พี่เย่จือ พี่ฉือโถวแต่งงานแล้ว พวกเราก็จะเข้าเมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่” ทั้งสองคนนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกัน ฉินเย่จือดึงบังเหียนม้าและกอดกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขม ทั้งสองขี่ม้าไปอย่างเชื่องช้าบนถนนสายเล็ก
“อืม ได้ยินเถ้าแก่หลี่พูดว่าไทเฮากล่าวเช่นนี้ เส้นทางที่นี่ห่างไกลจากเมืองหลวง ดังนั้นพวกเราต้องออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไม่ให้เร่งรีบ อีกทั้งเมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้าเองก็ต้องทำความคุ้นเคยกับผู้คนและสิ่งต่าง ๆ ในเมืองหลวงด้วย เมื่อถึงเวลาไปอวยพรวันเกิดให้กับไทเฮาก็จะได้ไม่ตื่นเต้น ข้าได้ขอให้เถ้าแก่หลี่จัดเตรียมรายชื่อและบันทึกอุปนิสัยของสตรีในเมืองหลวงเอาไว้ให้เจ้าแล้ว กลับไปแล้วเจ้าก็ลองทำความเข้าใจดู” สองมือของฉินเย่จือกุมบังเหียน กู้เสี่ยวหวานก็พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เขาเท้าคางลงบนหน้าผากของนางเบา ๆ กลิ่นหอมบนเรือนผมทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
“พี่เย่จือ ข้ากลัวนิดหน่อย” กู้เสี่ยวหวานพิงไหล่ของฉินเย่จือและทิ้งน้ำหนักไปที่ตัวเขาเล็กน้อย
“กลัวอะไร” เมื่อรู้สึกถึงความหมดหนทางของคนในอ้อมแขน ฉินเย่จือก็ยื่นมือขวาออกมาข้างหนึ่งโอบเอวของกู้เสี่ยวหวานและดึงนางเข้ามาใกล้ตัวเอง
“ข้าเคยได้ยินมาว่าวังหลวงเป็นสถานที่ที่กินคนไม่คายกระดูก ท่านบอกว่าข้ามีฐานะเป็นเสี้ยนจู่ แท้จริงแล้วจะโชคดีหรือจะโชคร้ายกันแน่”
“ทำไมถึงได้มีความคิดเช่นนี้” ฉินเย่จือขมวดคิ้วที่น่ามอง ปล่อยมือจากเอวของกู้เสี่ยวหวานแล้วจับแก้มของนางพลางลูบไล้อย่างระมัดระวังด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุด
กู้เสี่ยวหวานคล้อยตามราวกับเป็นลูกแมวตัวหนึ่ง นางเอ่ยกระซิบว่า “พี่เย่จือ ข้ากลัวว่าข้าจะไม่เข้าใจมารยาทและกฎเกณฑ์ในวังหลวง ถ้าหากไม่ระวังแล้วเผลอชนใครเข้า เช่นนั้นแล้วข้าจะทำอย่างไรเล่า”
ในเมืองหลวง นางพึ่งพาใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับนาง
ใครจะช่วยเหลือนาง
สถานที่ที่ไม่รู้จักนั้นกลับทำให้นางเกิดความรู้สึกหวาดกลัว
นางไม่คิดว่าตัวเองนั้นจะเหมือนนางเอกแมรี่ซูคนอื่น ๆ ที่มีนิ้วทองคำ แม้จะอยู่ในวังก็สามารถเติบโตขึ้นได้ ทำอะไรก็ราบรื่น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะมีผู้สูงศักดิ์มาคอยช่วยเหลือนาง
“มีข้าอยู่ข้าง ๆ เจ้าไม่เป็นไรหรอก” ฉินเย่จือพูดอย่างหนักแน่น ในแววตามีความมั่นคงที่กู้เสี่ยวหวานมองไม่เห็น
“ดี ถ้าหลังจากนั้นข้าทำสิ่งใดผิดพลาดและไปขัดใจใครเข้า หากพวกเขาต้องการเอาชีวิตข้า แล้วท่านช่วยข้าไม่ได้จะทำอย่างไร” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกอบอุ่นในใจเมื่อได้ยินฉินเย่จือพูดอย่างหนักแน่น
“ไม่มีวันนั้นหรอก” ฉินเย่จือลูบศีรษะของนางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าหากมีวันนั้นจะทำอย่างไร กำลังภายในของท่านก็ช่วยข้าไม่ได้ ทำได้เพียงแต่มองข้าตายเท่านั้น” กู้เสี่ยวหวานกล่าวต่ออย่างดื้อดึง แต่ว่าคำพูดยังไม่ทันเอ่ยต่อ ริมฝีปากที่อบอุ่นของเขาก็ประกบลงบนริมฝีปากนางอีกครั้ง
ทั้งสองนั่งอยู่บนหลังม้า ม้าเดินกุกกักอย่างช้า ๆ รอบด้านนั้นเงียบสงบ มีเพียงแสงแดดที่ส่องลงมาผ่านพุ่มไม้หนาทึบ
จูบนี้ของฉินเย่จือกินเวลานานมาก และดูเหมือนจะยังแฝงไปด้วยการลงโทษ เขาขบกัดริมฝีปากของกู้เสี่ยวหวาน หรือไม่ก็จูบอย่างลึกซึ้งจนแทบจะหายใจไม่ออก ทำให้ร่างกายของนางอ่อนปวกเปียกแล้วทรุดตัวลงในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนแรง แสดงถึงความยอมจำนน
“ต่อไปข้าจะปกป้องเจ้า แม้ว่าคนที่เจ้าจะขัดใจจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ข้าก็จะสู้สุดชีวิตเพื่อเจ้า ปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย หวานเอ๋อร์ เจ้าคือชีวิตของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว” เมื่อฉินเย่จื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานหมดแรงอยู่ในอ้อมแขนตัวเอง การจูบที่ยาวนานนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วก็ได้กระซิบข้างหูของนางเบา ๆ แต่กลับแน่วแน่มั่นคงเป็นพิเศษ
ข้าจะปกป้องเจ้า ต่อให้จะต้องทำให้คนที่มีอำนาจที่สุดในโลกต้องขุ่นเคือง ข้าก็จะต้องปกป้องเจ้า เพียงเพราะเจ้าเป็นผู้เดียวในใจของข้า
ช่วงเวลาเย็น พอกลับถึงสวนกู้ ครั้นเพิ่งเข้าไปในลานบ้านก็เห็นฉือโถวยืนอยู่ตรงประตูเหมือนกับจะรอตัวเองอยู่นานแล้ว
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานกลับมา ฉือโถวก็วิ่งเข้ามาหาและจ้องมองกู้เสี่ยวหวาน ขณะเดียวกันก็ยังเหลือบมองฉินเย่จืออย่างระมัดระวัง ราวกับว่ามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับกู้เสี่ยวหวาน แต่เพราะว่ามีฉินเย่จืออยู่ข้าง ๆ เขาจึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไร
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าฉือโถวมีเรื่องในใจ นางมองฉินเย่จือแวบหนึ่งและหันไปพูดกับฉือโถวว่า “พี่ฉือโถว ท่านมีเรื่องอะไรก็พูดเถอะ พี่เย่จือไม่ใช่คนนอก”
นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ฉินเย่จือย่อมไม่ใช่คนนอก
คนผู้นี้จะเป็นสามีของนางในอนาคต
ยิ่งฉือโถวคิด ในใจก็ยิ่งรู้สึกเศร้า หลังจากที่เห็นข้าวของเต็มห้องนั้น ในใจก็ทั้งโกรธ ทั้งเศร้า ทั้งซาบซึ้ง ความรู้สึกมากมายพลุ่งพล่านอยู่ในใจของเขาจนแทบจะทำให้เขาเกือบหายใจไม่ออก
เขาต้องการให้กู้เสี่ยวหวานพูดต่อหน้าให้ชัดเจนว่า ทำไมนางต้องมอบสินสอดให้เขามากมายขนาดนั้น
“ทำไมเจ้าต้องซื้อข้าวของเยอะแยะมากมายขนาดนั้นด้วย” ฉือโถวเห็นกู้เสี่ยวหวานพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็เปิดปากพูด
………………………………………………….
บทที่ 1308 ข้ามีเพียงแค่เจ้า
บทที่ 1308 ข้ามีเพียงแค่เจ้า
เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะร้องขอให้ฉินเย่จือหลีกไปได้
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชาย เขาก็สามารถเคียงข้างนางได้เพียงแค่สิบปีเท่านั้น แต่ว่าสามีของนางสามารถอยู่เคียงข้างนางได้ตลอดไป
“อ้อ… ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง” กู้เสี่ยวหวานเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก เมื่อครู่ที่เห็นสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดของฉือโถว นางยังกังวลว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือไม่
“เสี่ยวหวาน ทำไมเจ้าถึงได้ซื้อของมามากมายเช่นนั้น” เมื่อฉือโถวเห็นนางไม่ตอบจึงถามใหม่อีกครั้ง
เขารู้ว่าเพราะอะไรกู้เสี่ยวหวานถึงได้ซื้อข้าวของมามากมายถึงเพียงนั้น แต่ว่าเขาก็ยังอยากจะได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของนางเอง
ฉือโถวมองกู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาเปล่งประกาย ทว่าในดวงตาที่แสนธรรมดาคู่นั้นได้ซ่อนความเจ็บปวดรวดร้าวเอาไว้โดยที่คนภายนอกไม่สามารถมองไม่ออกได้
“พี่ฉือโถว ท่านเป็นพี่ชายของข้า ดีต่อข้ามาตั้งแต่ยังเด็ก คอยดูแลและช่วยเหลือข้ามาเสมอ หากไม่มีท่านก็จะไม่มีพวกข้าในตอนนี้ หากไม่มีพวกท่านก็จะไม่มีสวนกู้ในตอนนี้ งานแต่งงานของท่านนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ของพวกนี้ที่ข้าซื้อมาก็มอบให้ท่านใช้แต่งงาน” กู้เสี่ยวหวานตอบตามความจริง ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
กู้เสี่ยวหวานเป็นคนที่รู้บุญคุณคน เมื่อก่อนใครทำอย่างไรกับนาง เมื่อนางเติบโตขึ้น ใครที่ดีต่อนางและใครที่ไม่ดีต่อนาง นางเองก็มองออกได้อย่างชัดเจน
คนที่ดีต่อนางนั้น นางย่อมต้องทำดีกลับไปเป็นเท่าตัว คนที่ไม่ดีต่อนาง นางเองก็ไม่จำเป็นต้องทำดีกับคนพวกนั้น
เมื่อได้ยินคำตอบของกู้เสี่ยวหวาน แม้ว่าจะเป็นเหตุผลที่อยู่ในใจของเขาแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ฉือโถวก็ยังรู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย
ใช่แล้ว เพราะว่านางปฏิบัติต่อตัวเองเป็นเพียงพี่ชายเท่านั้น
“พี่ฉือโถว แม่นางฟ่านเป็นสตรีที่ดี ต่อไปนี้พวกท่านจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่” กู้เสี่ยวหวานเห็นฉือโถวไม่พูด ในตอนนี้นางจึงพูดขึ้น
ฉือโถวพยักหน้า “อืม ข้ารู้แล้ว เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องมีชีวิตที่ดี ไม่ทำให้เจ้าต้องกังวลแน่”
ฉือโถวเงยหน้าขึ้น พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา มุมปากเต็มไปด้วยรอยยิ้มมองกู้เสี่ยวหวานด้วยสีหน้าที่เอาใจ
กู้เสี่ยวหวานเองก็พยักหน้า “ข้าหวังว่าทุกคนจะมีชีวิตที่ดีมีความสุข”
หลังจากแยกกับฉือโถว ฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานก็กลับไปที่ห้องน้ำชา จนกระทั่งฉินเย่จือชงชาแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ยังไม่เอ่ยคำพูดอะไรเลยสักคำ
ฉินเย่จือเองก็เป็นคนที่ฉลาด จึงชงชาหลันเสวี่ยแทนกู้เสี่ยวหวานหนึ่งถ้วย วางลงเบา ๆ ตรงหน้านาง และเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เจ้ารู้ว่าเขาชอบเจ้า”
ฉินเย่จือยังพูดไม่ทันจบก็ลังเลที่จะพูดต่อ
ท่าทางที่เสียใจต่อกู้เสี่ยวหวานในตอนนั้น ฉินเย่จือจะมองไม่เข้าใจได้อย่างไร
“เขาชอบข้าก็เป็นเพียงแค่ความรักของพี่น้องก็เท่านั้น” กู้เสี่ยวหวานจิบชาตรงหน้าเบา ๆ กลิ่นหอมของชานั้นเข้าสู่ร่างกายในทันที นางรู้สึกผ่อนคลายสบายใจไปทั่วทั้งตัว
“ฟ่านหลิงเป็นสตรีที่ดีเหมาะสมกับพี่ฉือโถวมาก” กู้เสี่ยวหวานจะไม่รู้ความคิดของฉือโถวที่มีต่อตัวเองได้อย่างไร แม้ว่านางจะไม่รู้มาก่อน แต่เมื่อครู่ตอนที่เห็นฉือโถวพูดกับตัวเองด้วยสายตาที่อ่อนโยนนั้น กู้เสี่ยวหวานก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่นางมีความรู้สึกต่อฉือโถวเพียงแค่พี่น้องเท่านั้น นอกเหนืออย่างอื่นนั้นไม่มีเลย
ยิ่งไปกว่านั้น นางมีฉินเย่จืออยู่แล้ว
ในโลกนี้ไม่มีใครจะเทียบฉินเย่จือได้
“พี่เย่จือ”
“อืม”
“หลังจากนี้ไป ท่านจะมีสตรีคนอื่นอีกหรือไม่” จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็ถาม
“อะไรนะ” มือของฉินเย่จือบีบถ้วยชาในมือแน่นจนข้อต่อกระดูกมีสีขาว ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความประหม่าเล็กน้อย
ในสายตานั้นยังมีความตื่นตระหนกที่ยากจะสังเกต
“หากท่านกล้ามีสตรีอื่นในวันข้างหน้า ข้าจะทิ้งท่านไปแน่” จู่ ๆ ก็เสี่ยวหวานก็พูด
ฉินเย่จือวางถ้วยชาในมือลงแล้วกุมฝ่ามือของกู้เสี่ยวหวาน “หวานเอ๋อร์ ในโลกนี้ข้าจะมีเจ้าเป็นสตรีเพียงแค่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ด้วยเช่นกัน”
เมื่อฉินเย่จือพูดเช่นนี้ก็มีความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง
บางทีอาจจะเป็นเพราะถูกสายตาที่มั่นคงของฉินเย่จือทำให้หวั่นไหว ความหดหู่ของกู้เสี่ยวหวานเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ก็หายไปในทันที
ในโลกนี้มีความรักมากมายหลายรูปแบบ มีผู้คนมากหน้าหลายตา
แค่ความรักเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้หัวใจคนหยุดเต้นได้ ข้าชอบเจ้ามากที่สุด และคนที่ข้ารักมากที่ก็คือเจ้าเช่นกัน
นอกจากนี้ที่เหลือนั้นก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่ผ่านไปผ่านมาตามกาลเวลาเท่านั้น
ชีวิตคนเราผ่านไปอย่างรีบเร่งไม่อาจนับได้
คนจริงใจมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
วันที่ดีนั้นมาถึง ฉือโถวก็นำสินสอดเหล่านั้นไปด้วยตัวเอง เคาะฆ้องตีกลองไปที่บ้านตระกูลฟ่านเพื่อมอบสินสอด
หีบไม้หวางฮวาหลีที่ใหม่เอี่ยมกับขบวนที่ยิ่งใหญ่กำลังเคลื่อนไปตามทาง
คนในหมู่บ้านเคยเห็นขบวนที่ใหญ่โตมากเช่นนี้เสียที่ไหน ทั้งสองข้างทางจึงเบียดเสียดกันแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
ทุกคนไม่เคยเห็นสินสอดที่มากมายเช่นนี้มาก่อน แต่ละหีบก็เป็นหีบใหญ่ที่ทำจากไม้หวางฮวาหลี
ฉือโถวขี่ม้ารูปงามอยู่ข้างหน้าสุด เนื่องจากวันนี้เขาจะไปมอบสินสอดให้ตระกูลฟ่านด้วยตัวเอง
เพราะว่าใกล้จะต้องออกเรือนแล้ว ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรในบ้าน ฟ่านหลิงก็แย่งมาทำ ด้วยคิดว่าจะต้องช่วยทำงานบ้านให้ดี ๆ ก่อนที่จะต้องออกจากเรือน
วันนี้นางเองก็รู้ว่าฉือโถวจะต้องมามอบสินสอด นางจึงแต่งตัวอย่างเรียบร้อยรอคอยอยู่ในบ้าน
ฟ่านต้าฉวีและฟ่านอวี้ก็รออยู่ในบ้านพลางพูดคุยเป็นเพื่อนนาง
มารดาของฟ่านหลิงด่วนจากไปเร็ว ในบ้านจึงไม่มีสตรีคนใดสามารถพูดคุยด้วยได้ ฟ่านต้าฉวีจึงเป็นทั้งบิดาทั้งมารดาคอยสอนฟ่านหลิงว่าควรใส่ใจกับเรื่องใดในบ้านบ้าง
“หลิงเอ๋อร์ การแต่งงานนี้เป็นการแต่งงานที่ดี เมื่อเจ้าแต่งไปแล้วจะไม่มีทางเสียเปรียบ เจ้าดูท่าทีคนตระกูลจางที่มีต่อเจ้าก็สามารถมองออกแล้ว เจ้าแต่งเข้าไป แม่สามีเจ้าจะต้องมองเจ้าเฉกเช่นบุตรสาว ไม่มีทางที่จะทำให้เจ้าต้องโกรธเคืองแน่ ยังมีเจ้าเด็กฉือโถวนั่น แม้ว่าจะเป็นคนดูที่เฉื่อยชา แต่ว่าพ่อนั้นมองออกว่าเขาก็เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง เจ้าวางใจเถอะ หากแม่เจ้ารู้ว่าเจ้าแต่งงานกับครอบครัวที่ดีมากเช่นนี้ แม่เจ้าเองก็ต้องจากไปอย่างสงบแล้ว” ฟ่านต้าฉวีพูดกับฟ่านหลิงที่อยู่ข้าง ๆ และพูดถึงภรรยาที่จากไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ฟ่านต้าฉวีนึกถึงวันเก่า ๆ ก็เช็ดน้ำตาอย่างเงียบ ๆ
ฟ่านหลิงเองก็หลั่งน้ำตาออกมาเช่นกัน
ฟ่านอวี้ดึงมือของฟ่านหลิงอยู่ข้าง ๆ และพูดว่า “ท่านพี่ ถ้าท่านแต่งงานไปแล้ว หากข้าคิดถึงท่านจะทำอย่างไร ฮือ ๆ ท่านพี่ ข้ายังไปเยี่ยมท่านได้หรือไม่”
ฟ่านหลิงเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนที่จะแต่งงานออกเรือนไป แต่ฟ่านอวี้อยากใช้เวลาอยู่กันฟ่านหลิงให้มากที่สุดในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าถ้าพี่สาวออกเรือนไปแล้ว ในวันข้างหน้าเขาจะไม่สามารถเดินตามหลังพี่สาวได้อีกแล้ว