บทที่ 1330 แต่งไม่ได้
บทที่ 1330 แต่งไม่ได้
ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่ากังวล แต่กลับตรงกันข้ามกับหงซื่อ
หงซื่อจับคนมาให้พูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับกู้เสี่ยวหวาน เพื่อที่จะดูถูกกู้เสี่ยวหวาน หากแต่มันไม่ประสบความสำเร็จ และยังถูกเสี้ยนจู่รู้ทัน
ยังไม่ทันได้ง้างปากของคนอื่น ก็ถูกบุกมาหาถึงที่ จ้าวสวิ่นโกรธมากจนอยากจะทุบหัวของหงซื่อ
ผู้หญิงคนนี้จะทำตัวให้มีสมองกว่านี้ได้หรือไม่
เห็นหงซื่อนอนอยู่บนพื้นเหมือนหมาจนตรอก ปากเอาแต่คร่ำครวญและขอร้องให้เขายกโทษให้ตนเอง ในใจจ้าวสวิ่นยากที่จะกลืนคำสบประมาทลงไป สุดท้ายจึงชี้ไปที่หงซื่อและเริ่มด่าทอ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปแส่หาเรื่อง อย่าไปยั่วยุนาง แต่เจ้าก็ไม่ฟัง คราวนี้ไม่เป็นไร ถูกคนอื่นจับได้ หงซื่อ! สมองของเจ้าได้รับการกระทบกระเทือนหรือ นั่นคือเสี้ยนจู่ แม้แต่ข้ายังต้องเคารพนาง แต่เจ้ากล้าแตะต้องนาง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร”
จ้าวสวิ่นโกรธเคืองหญิงคนนี้ยิ่งนัก เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับง้างเท้าเตะหงซื่อที่กำลังกรีดร้อง “นายท่าน ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้ว”
“เจ้าเพิ่งรู้งั้นหรือว่าตนเองทำสิ่งใดลงไป ความคิดของเจ้านั้นมันบิดเบี้ยว คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าอยากให้เจี๋ยเอ๋อร์แต่งงานกับเสี้ยนจู่ เจ้าคิดว่าทำให้ชื่อเสียงของนางเสียหายแล้วให้เจี๋ยเอ๋อร์แต่งงานกับนาง เจ้าฝันอยู่หรือไร แม้แต่ชงเอ๋อร์ก็ไม่ได้นางมาครอบครอง นับประสาอะไรกับเจี๋ยเอ๋อร์” ตามที่คิดไว้ จ้าวสวิ่นโกรธมากจนไม่สามารถยับยั้งคำพูดใดได้
เดิมทีหงซื่อนั้นขาดเหตุผล หลังจากฟังถ้อยคำด่าทอจ้าวสวิ่น ก็ตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้นทันทีพร้อมกับชี้หน้าจ้าวสวิ่นและด่าว่า “จ้าวสวิ่น ข้ารู้ว่าท่านคิดอย่างไร เจี๋ยเอ๋อร์ไม่ดีเท่าจ้าวจื่อชง ท่านแค่สนใจลูกของท่าน เจี๋ยเอ๋อร์เองก็เป็นลูกของท่านไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านถึงลำเอียงเช่นนี้”
หงซื่อกล่าวโทษจ้าวสวิ่นทั้งน้ำตา กล่าวว่าจ้าวสวิ่นปฏิบัติต่อลูกชายอย่างลำเอียง
“จ้าวสวิ่น หัวใจของท่านอยู่ที่ไหน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ท่านไม่ให้ข้าสู่ขอกู้เสี่ยวหวาน แต่ท่านกลับให้หญิงชราผู้นั้นไป ท่านก็อยากให้จ้าวจื่อชงแต่งกับกู้เสี่ยวหวาน ยกระดับวงศ์ตระกูลจ้าวของพวกท่าน เจี๋ยเอ๋อร์เองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน เจี๋ยเอ๋อร์ยังคนของตระกูลจ้าว ทำไมท่านไม่คิดถึงเขาบ้าง” หงซื่อพูดอย่างคร่ำครวญราวกับจะขาดใจตาย ไม่เหลือแล้วความอ่อนโยนที่สร้างไว้
“ข้าอยู่กับท่านมาหลายปี ให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวแก่ท่าน แต่ตอนนี้พวกเขากลับกลายเป็นคนนอก ข้าไม่สามารถแม้แต่จะเหยียบย่างเข้าไปในตระกูลจ้าวได้ ข้าไม่ได้ต้องการสถานะ แต่ลูกชายกับลูกสาวของข้าล่ะ ไม่มีสถานะ หากถึงเวลาแต่งงาน พวกเขาจะทำอย่างไร?”
หงซื่อร้องไห้สะอึกสะอื้น จ้าวสวิ่นมีสีหน้าอึดอัด ความขุ่นเคืองในใจลดลงไปไม่น้อย ความรู้สึกผิดและการตำหนิตัวเองกลับเพิ่มขึ้นในใจ
แต่การโทษตัวเองและความรู้สึกผิดนี้เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งถูกครอบงำด้วยความโกรธ
“จ้าวสวิ่น ท่านไม่ใช่คน ทำลายชีวิตของข้ายังไม่พอ ท่านยังทำลายชีวิตของเจี๋ยเอ๋อร์และอวิ๋นเอ๋อร์ ทำไมข้าถึงโชคร้ายนัก ข้าไม่มีสถานะหรือเกี่ยวข้องกับท่านตลอดชีวิตที่เหลือ และตอนนี้ท่านยังต้องการทำลายอนาคตของลูกข้าอีก ท่านมันไม่ใช่คน”
หงซื่อคร่ำครวญจะเป็นจะตาย ใบหน้าบวมเป่งที่เพราะถูกจ้าวสวิ่นทุบตี มวยผมที่มักจะหวีอย่างประณีตก็ยุ่งเหยิงไปหมด เพราะร้องไห้เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าจึงหายไปหมด เสื้อผ้าก็ขาดวิ่น สภาพของหงซื่อในตอนนี้ช่างไม่น่ามอง
จ้าวสวิ่นเป็นคนอย่างไร เพียงแค่เขากระทืบเท้า ทั่วทั้งเมืองหลิวเจียก็สั่นคลอน แม้ว่าตอนนี้ตระกูลจ้าวจะพ่ายแพ้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อจ้าวสวิ่นเดินออกไป ทุกคนก็ยังต้องคำนับเขา และขานเรียกเขาว่านายท่านจ้าว
หงซื่อที่ปกติจะอ่อนโยน ทว่าตอนนี้กลับกำลังอ้าปากด่าทอตนเองด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทั้งยังบอกว่าตนเองไม่ใช่คน
จ้าวสวิ่นเคยโดนผู้อื่นดูถูกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? แม้แต่ตอนที่มีปากเสียงกับฮูหยินจ้าวก่อนหน้านี้ นางก็ไม่เคยด่าตัวเองแบบนี้มาก่อน
เยี่ยมมาก เป็นเพียงแค่นางบำเรอ แต่กลับชี้หน้าด่าทอว่าตนเองไม่ใช่คน
จ้าวสวิ่นโกรธเคืองยิ่งนัก เขาก้าวไปข้างหน้าและเตะหงซื่อเต็มแรงจนกระเด็นออกไปไกล “ปากร้าย หญิงปากร้าย”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กับจ้าวจื่อเจี๋ยเฝ้ารออยู่ข้างนอกตลอดเวลา ครั้นได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็หมุนกายเตรียมวิ่งเข้าไป หากแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าก็เห็นร่างกายของมารดากระเด็นลอยออกมาจากด้านในแล้วกลิ้งออกมาจนถึงลานบ้าน
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และจ้าวจื่อเจี๋ยประคองหงซื่อไว้ในอ้อมแขน ซุนซื่อถูกเตะเข้าที่หน้าอก ปากกระอักเลือดออกมาไม่หยุด
“ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน เกิดอะไรขึ้น” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์มองไปที่หงซื่อในอ้อมแขนด้วยความตื่นตระหนก นางหวาดกลัวจนพูดไม่ออก
“ท่านพ่อ ท่านทุบตีท่านแม่ทำไม” จ้าวจื่อเจี๋ยลุกขึ้นยืนพูดกับจ้าวสวิ่นอย่างไม่เกรงกลัว “ท่านแม่ทำเพื่อข้า เพื่อตระกูลจ้าว ขอแค่ข้าแต่งงานกับเสี้ยนจู่ก็จะเป็นเกียรติแก่พวกเราตระกูลจ้าว”
เห็นได้ชัดว่าจ้าวจื่อเจี๋ยเองก็รู้เกี่ยวกับแผนการของหงซื่อเช่นกัน ทันทีที่จ้าวจื่อเจี๋ยพูดสิ่งนี้ออกมา ทำให้จ้าวสวิ่นอดรนทนไม่ไหวจนอยากจะตบหงซื่ออีกสักฉาด
“ไร้สาระ เจ้ายังยึดติดเหมือนแม่เจ้าอยู่อีกหรือ” จ้าวสวิ่นโกรธมากจนแทบกระอักเลือด
“เสี้ยนจู่เป็นคนที่พวกเจ้าจะไปทำให้ขุ่นเคืองได้หรือ เจ้าอยากแต่งงานกับนาง เจ้าคงทำได้แค่ฝัน”
“ข้าเป็นผู้ชาย นางเป็นผู้หญิง ทำไมข้าจะแต่งกับนางไม่ได้” จ้าวจื่อเจี๋ยถามกลับ
“เจ้า!” มือของจ้าวสวิ่นสั่นระริกด้วยความโกรธ “ในเมื่อเจ้าอยากรู้ว่าทำไมถึงแต่งไม่ได้ ข้าก็จะบอกเจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงแต่งไม่ได้!”
“เจ้ามีทรัพย์สินมากมายหรือมีฐานะที่สูงส่งหรือไม่ แต่พ่อของเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ข้าไม่โทษเจ้า หลายปีมานี้เจ้ากินเหล้าเคล้านารีและเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพนัน นอกจากนี้เจ้ายังทำเรื่องไม่ดีหลายอย่าง ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ตระกูลจ้าวตกต่ำลงเรื่อย ๆ แต่ถ้าเจ้าคิดว่าการแต่งงานกับกู้เสี่ยวหวานจะทำให้ฐานะของตระกูลจ้าวดีขึ้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดผิด อย่าว่าแต่จะดีขึ้น มันกลับลากตระกูลจ้าวลงมา เจ้าไม่รู้หรือ! นางไปเมืองหลวงเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของไทเฮา ถ้าถึงตอนนั้นนางพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพวกเราต่อหน้าฮ่องเต้หรือไทเฮา ตระกูลจ้าวก็จะลากพวกเจ้าฝังลงไปด้วย”
จ้าวสวิ่นพูดจบ จ้าวจื่อเจี๋ยก็หวาดกลัวจนพูดไม่ออก
แม้แต่หงซื่อก็ตกตะลึง ดวงตาของนางเบิกกว้างและพูดไม่ออก
“นางเป็นเสี้ยนจู่ซึ่งได้รับพระราชทานตำแหน่งจากฮ่องเต้เอง ไปคราวนี้ฮ่องเต้ต้องได้พบนางอย่างแน่นอน ถ้านางไม่มีความสุขและพูดอะไรออกไปล่ะก็… ฮ่องเต้รู้จักนาง ทั้งยังรู้จักพวกเรา ทั้งตระกูลเราได้จบสิ้นแน่” หลังจากจ้าวสวิ่นตบหน้าอกด้วยความกลัว ใบหน้าของเขาก็ฉายชัดถึงความหวาดกลัว
ไม่ผิด เขากลัว
กลัวว่าจะต้องตาย ตั้งแต่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังจะไปเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าไทเฮา เขาก็ไม่กล้ายั่วยุกู้เสี่ยวหวานอีกเลย
นอกจากจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นแล้ว มันอาจจะสร้างความขุ่นเคืองอีกด้วย
ในทางกลับกัน ฮูหยินจ้าวจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
รักษาระยะห่างกับกู้เสี่ยวหวาน ทำให้นางไม่รู้สึกถึงการประจบสอพลอที่มากเกินไป แต่ยังทำให้รู้สึกถึงความเคารพที่มีต่อนาง
นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเข้าหาผู้คน
อย่าทำตัวสนิทสนมเกินไป จะทำให้คนอื่นคิดว่าเจ้าประจบสอพลอ
อย่าทำให้บาดหมางเกินไป จะไม่ทำให้คนรู้สึกว่าเจ้าไม่ชอบนาง
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดเช่นนี้สามารถยืนยาวและยั่งยืนมากขึ้น
ฮูหยินจ้าวทำได้ แต่หงซื่อล่ะ
เมื่อก่อนจ้าวสวินรู้สึกว่าหงชื่อเป็นดอกไห่ถัง ฮูหยินจ้าวเป็นเสือตัวเมีย ทุกคนรักดอกไห่ถัง แต่ทุกคนเกลียดชังเสือตัวเมีย
แต่ตอนนี้ ดอกไห่ถังนี้อาจเป็นดอกไม้ที่มีหนาม และเสือตัวเมียตัวนี้อาจเป็นลูกแมวที่อ่อนโยน
เฮ้อ…
จ้าวสวินถอนหายใจ คร้านจะมองหน้าหงซื่ออีกต่อไป
“เจ้าไม่ได้ต้องการแค่สถานะของลูกสองคนใช่ไหม ข้าจะพาเจี๋ยเอ๋อร์และอวิ๋นเออร์ไปที่ตระกูลจ้าว จากนี้ไปจะถูกเลี้ยงดูภายใต้ชื่อฮูหยิน แต่เจ้าจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ ดูแลตัวเองตลอดไป ใครก็ได้พาคุณชายและคุณหนูกลับไปยังตระกูลจ้าว” จ้าวสวิ่นพูดอย่างเย็นชาก่อนจากไป หงซื่อกลอกตาด้วยความโกรธ และไม่นานก็หมดสติไป
จ้าวจื่อเจี๋ยและจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ถูกคนบังคับไป ส่วนหงซื่อถูกทอดทิ้งไว้ในลานบ้านเหมือนผ้าขี้ริ้ว
จ้าวสวิ่นไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมฮูหยินจ้าวอย่างไรให้นางรับลูกทั้งสองคนนี้ไว้
เพียงแค่ความคิดของจ้าวจื่อเจี๋ยและจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์อยู่เหนือจินตนาการของจ้าวสวิน
….
ร่างกายของฉือโถวดีขึ้นทุกวัน ไม่นานกู้เสี่ยวหวานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ท่านอา ท่านเตรียมทำอะไร” กู้เสี่ยวหวานเห็นกู้ฟางสี่ถือถุงหอมและผ้าเช็ดหน้าไว้จำนวนมาก เดินอย่างระมัดระวังจึงรู้สึกสงสัย เสี่ยวอี้เป็นคนปักผ้าเช็ดหน้ากับถุงหอมนี้ ทำไมต้องเตรียมมาเยอะขนาดนี้
ใช้หมดแล้วค่อยปักใหม่ก็ได้ไม่ใช่หรือ
อีกอย่าง ถุงหอมและผ้าเช็ดหน้าเยอะขนาดนี้ จะรีบนำออกมาทำไม
กู้เสี่ยวหวานหยิบขึ้นมาดูสองอันและรู้สึกประหลาดใจมาก “ท่านอา ท่านปักมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
บทที่ 1331 จัดเตรียมสัมภาระ
บทที่ 1331 จัดเตรียมสัมภาระ
“เจ้าเด็กโง่ ไปเมืองหลวงคราวนี้ แน่นอนว่าต้องเจอหญิงสาวมากมาย เตรียมถุงหอมและผ้าเช็ดหน้าไปเยอะ ๆ เมื่อถึงเวลาก็มอบให้กับคนที่อยากให้ หรือไม่ก็ให้รางวัลตอบแทนสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหญิงสาวเหล่านั้น เจ้าดูสิ งานปักของเสี่ยวอี้ยอดเยี่ยมมาก เมื่อถึงเวลาหยิบออกมามอบให้กับผู้หญิงเหล่านั้น ข้ากับเสี่ยวอี้เป็นคนปัก เมื่อถึงเวลาเจ้าอย่าลืมนะ” กู้ฟางสี่วางของลงในมือและบอกกู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานกลับหัวเราะ “ท่านอา ท่านบอกอาจั่วเถอะ ข้าจำไม่ได้หรอก ในสายตาข้า งานปักของทุกอย่างล้วนหน้าตาเหมือนกันหมด”
พูดจบก็วางของในมือกลับที่เดิม กู้ฟางสี่กลับรีบหยิบขึ้นมา “เอ๊ะ เจ้าอย่าวางมันมั่วซั่ว มันไม่เหมือนกัน”
กู้เสียวหวานแปลกใจ “ตรงไหนที่ไม่เหมือนกัน ข้ารู้สึกว่ามันเหมือนกันหมดเลย”
“เหมือนตรงไหน เจ้าดูสิ รอยเย็บของเสี่ยวอี้กับรอยเย็บของข้าไม่เหมือนกัน ในเมืองหลวง ผ้าเช็ดหน้ากับถุงหอมขายในราคาสิบสองตำลึง มีราคาแต่ไม่มีตลาด แต่ข้าก็บอกอาจั่วเรียบร้อยแล้วล่ะ ตอนนี้ข้าก็บอกเจ้าเช่นกัน เจ้าห้ามทำผิดเด็ดขาด” กู้ฟางสี่พูดย้ำเป็นพัน ๆ ครั้ง พูดแล้วพูดอีกจนอาจั่วจำได้ขึ้นใจแล้ว แต่กู้ฟางสี่ยังไม่วางใจจึงเอ่ยย้ำอีกครั้ง
เห็นนางเตือนสติและให้ระวัง กู้เสี่ยวหวานก็ได้แต่ยิ้มอย่างเห็นด้วย
กู้ฟางสี่และอาจั่วจัดเตรียมของ เมื่อไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตอนเอง กู้เสี่ยวหวานก็ทำได้เพียงนั่งข้าง ๆ และจิบชาไปพลาง ๆ ทันใดนั้นเหมือนนึกอะไรออกแล้วถามว่า “ช่วงนี้พี่เย่จือเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ค่อยเห็นเขาเลย”
ไม่เห็นจริง ๆ
ตอนกลางวันไม่เห็นฉินเย่จือที่ไหนเลย
อาจั่วรู้เรื่อง แต่นางไม่สามารถพูดออกไปได้ และทำเพียงนิ่งเงียบเหมือนคนใบ้
กู้ฟางสี่วางของในมือลง ยืดตัวขึ้นและถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ใช่ ๆ ช่วงนี้ไม่เห็นเขาเลย ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
อาจั่วยังคงจัดการสิ่งของในมือ ทันใดนั้นก็ได้ยินกู้เสี่ยวหวานถามตัวเอง “อาจั่ว เจ้ารู้หรือไม่?”
อาจั่วรีบส่ายหน้าเหมือนป๋องแป๋ง “ไม่รู้เจ้าค่ะ ช่วงนี้ข้าอยู่กับคุณหนูไม่ใช่หรือ พี่ใหญ่ฉินเป็นอย่างไร แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า เมื่อเห็นท้องฟ้ามืดแล้วจึงคิดว่าเขาน่าจะใกล้กลับมาแล้ว จึงตบมือแล้วพูดว่า “ข้าไปเดินเล่นที่ลานบ้านก่อนนะ”
ทว่าเมื่อถึงเวลากินมื้อเย็น ฉินเย่จือก็ยังไม่กลับมา
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกโกรธเคือง และกินมื้อเย็นอย่างไม่มีความสุข แต่ฉินเย่จือก็ยังไม่กลับมา
นางมองอาหารบนโต๊ะหลายจานที่ขอให้ป้าจางทำ ทุกจานล้วนเป็นอาหารที่ฉินเย่จือชอบ กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกเศร้า
“เสี่ยวหวาน เกรงว่าเสี่ยวฉินจะไม่กลับมากินข้าว เช่นนั้นข้าเอาไปเก็บเลยก็แล้วกัน” กู้เสี่ยวหวานเดินย่อยอาหารอยู่ในลานบ้านกี่ครั้งแล้วก็จำไม่ได้ ป้าจางจึงเดินมาถามนางที่ลานบ้าน
อาหารที่ร้อน ๆ กลายเป็นเย็นชืด อาหารที่เย็นชืดก็นำไปอุ่นจนกลายเป็นร้อนอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดมิด จนแล้วจนรอดฉินเย่จือก็ยังไม่กลับมา และคิดว่าคงจะไม่กลับมาแล้วเช่นกัน
กู้เสี่ยวหวานได้แต่พยักหน้า “ป้าจาง ท่านเก็บของเสร็จแล้วก็รีบไปพักเถอะ”
“แล้วเจ้าล่ะ?” ป้าจางมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยสีหน้าลำบากใจ “บางทีเสี่ยวฉินอาจจะยุ่งอยู่ ดูเหมือนว่าช่วงนี้เขาจะยุ่งมาก”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “อืม ข้ารู้แล้ว ป้าจาง ข้าจะเดินย่อยอาหารรอบบ้านสักหน่อย ท่านกลับไปก่อนเถอะ”
ป้างจางเห็นนางยืนกรานแบบนั้นก็กลับไปที่ห้องครัว ตอนออกมาเห็นนางยังอยู่ที่ลานบ้าน นางอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร อาจั่วเฝ้าอยู่ตรงระเบียงตลอด ป้าจางที่ไม่รู้จะพูดอะไรก็กลับห้องไป
กู้เสี่ยวหวานรออยู่สักครู่ก็ไม่เห็นใคร นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปที่ห้อง ปากก็เอาแต่บ่นพึมพำ หากใครเห็นก็คงจะมองออกว่าตอนนี้นางกำลังไม่มีความสุข
อาจั่วเห็นแบบนั้นก็ถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนู บางทีพี่ใหญ่ฉินออกไปเพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ”
มีเรื่องที่ต้องทำจริง ๆ
ในวันธรรมดา แม้ว่าฉินเย่จือจะยุ่งอยู่ตลอด แต่เขาก็มักจะออกไปตอนเช้า และกลับมากินข้าวในตอนเย็น กู้เสี่ยวหวานยุ่งอยู่ข้างนอกตลอดเวลา จึงไม่ได้สังเกตอะไรเลย
ทว่าคราวนี้แม้แต่เงาของเขา นางก็ไม่ได้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
อาจั่วรีบแก้ต่างให้ฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานเองกลับนิ่งเงียบไม่พูดจา หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เข้านอนพักผ่อนทันที
อาจั่วเห็นว่าพูดไปก็ไม่ช่วยอะไร จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดับไฟและออกจากห้องไป นางยืนอยู่ที่ประตูรอฉินเย่จือกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
กลางดึก ฉินเย่จือรีบกลับมาอย่างเงียบเชียบและไม่อยากรบกวนใคร อาจั่วที่อยู่ตรงประตูถูกปลุกให้ตื่น ครั้นเห็นว่าฉินเย่จือกลับมาแล้ว จึงรีบลุกขึ้นแล้วพูดเสียงเบา “คุณหนูรอท่านมาทั้งคืน”
ฉินเย่จือเงยหน้าขึ้น ส่งเชือกบังเหียนในมือให้กับอาจั่ว แล้วเดินตรงเข้าไปข้างใน
ฉินเย่จือก้าวเข้ามาอย่างแผ่วเบา มันเบามากราวกับเหยียบลงบนเมฆ
ยังไม่ได้พักผ่อนมาครึ่งคืน แม้ฝีเท้าจะเดินอย่างรวดเร็ว แต่ยังเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้า
ฉินเย่จือเดินไปที่ห้องของกู้เสี่ยวหวาน ครั้นมาถึงหน้าประตูแต่กลับยืนนิ่ง และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเคาะประตูปลุกนางให้ตื่นกลางดึก
กลางดึก เกรงว่าแมวน้อยจะหลับไปแล้ว
ฉินเย่จือยิ้มอย่างขมขื่น วันนี้ปล่อยให้นางจับได้อย่างไร
ช่างเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมารับผิดกับนางแล้วกัน
ฉินเย่จือหันหลังกลับเตรียมเดินจากไป แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากในห้อง และตามมาด้วยเสียงประตูที่ถูกเปิดออก
ฉินเย่จือที่หันหลังกำลังจะจากไปพลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ เมื่อหันหลับมามองก็เห็นแมวน้อยสวมเสื้อสีขาว ผมสีดำยาวประบ่ายืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง
เชิดหน้าขึ้นแสดงความไม่พอใจต่อตัวเอง
แต่ดวงตาอันสดใสที่แสดงออกถึงความประหลาดใจกำลังมองมาที่ตัวเอง
กู้เสี่ยวหวานมองคนตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อราวกับว่ายังคงฝันอยู่ นางยื่นมือออกมาขยี้ตาตนเองแล้วเบิกตากว้างเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป จากนั้นมุมปากของนางก็ยกขึ้น แสดงถึงความสุขที่เอ่อล้นออกมา
………………………………………………….