ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1332 อดหลับอดนอน + ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1333 มีความลับอะไร

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1332 อดหลับอดนอน

บทที่ 1332 อดหลับอดนอน

ฉินเย่จือกวาดสายตาตั้งแต่บนลงล่าง แต่เมื่อเขาเห็นเท้าเปลือยเปล่าสีขาวราวหิมะคู่หนึ่งของนางยืนอยู่บนพื้นเย็นเยือก ฉินเย่จือก้าวไปข้างหน้าและช้อนตัวกู้เสี่ยวหวานขึ้น จากนั้นปิดประตูเบา ๆ และเดินไปที่เตียง

หยกบอบบางในอ้อมกอด นุ่มนวล และส่งกลิ่นหอมละมุน กลิ่นกายของสาวน้อยเจือจางแต่ลึกล้ำ ฉินเย่จือหลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความโลภที่หาที่เปรียบมิได้

หลังจากที่วางกู้เสี่ยวหวานลงบนเตียง ตนเองก็ยังคงไม่ผละออกไป เขาขึ้นไปบนเตียงอย่างแผ่วเบา ยื่นมือออกไปและกอดกู้เสี่ยวหว่านไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง

นอนซุกอยู่ในผ้าห่มอันอบอุ่นที่คุ้นเคย รับรู้อ้อมกอดที่อบอุ่นและคุ้นเคยตรงหน้า กู้เสี่ยวหวานยังคงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

เดิมทีนางต้องการที่จะหลับพักผ่อน แต่นอนอยู่บนเตียงและพลิกตัวไปมาอยู่นานก็นอนไม่หลับ

หลังจากนอนกระวนกระวายอยู่นานก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงลุกขึ้นมา และต้องการดูอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าเมื่อประตูเปิดออกไปก็จะเจอฉินเย่จือยืนอยู่ตรงหน้าของนาง

โชคดีที่นางยังไม่หลับ ถ้าไม่อย่างนั้นนางต้องคิดว่าตัวเองฝันอยู่แน่ ๆ

กู้เสี่ยวหวานยิ้มน้อย ๆ ในมือดึงปอยผมของฉินเย่จือไว้และเล่นกับมันอย่างแผ่วเบา “ดึกดื่นเช่นนี้ ท่านไปไหนมา เหตุใดถึงไม่กลับบ้าน”

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความคับแค้นใจเช่นเดียวกับภรรยาตัวน้อยที่กำลังตำหนิสามีที่กลับบ้านไม่ตรงเวลา ทั้งตำหนิและคับแค้นใจ นางดูเหมือนภรรยาตัวน้อยที่น่ากลัว

ฉินเย่จือรู้สึกชอบเวลาที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ หัวใจพลันเดือนพล่าน

วันนี้เขาออกไปข้างนอกทั้งวันเพื่อตามหาของบางอย่าง โชคดีที่ได้พบมัน ทันทีที่พบมัน เขาก็รีบกลับบ้านทันที ไม่ได้พักสายตาเลยตลอดทั้งวัน

ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานอีกครั้งและได้ยินคำตำหนิของนาง ความเหนื่อยก็หายไปทั้งหมด

แขนของฉินเย่จือกระชับกอดแน่นขึ้น เขากอดกู้เสี่ยวหวานไว้พลางโอบศีรษะของนางให้ซุกลงตรงหน้าอกของตัวเอง จากนั้นวางมือลงบนศีรษะของกู้เสี่ยวหวานพลางลูบเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบเล็กน้อยเนื่องจากความเหนื่อยล้า “ข้าไปหาของบางอย่าง หลังจากตามหามันมาหลายวัน ในที่สุดข้าก็เจอมันจนได้”

“ตามหาสิ่งใดกัน” กู้เสี่ยวสงสัย แค่หาของ เหตุใดต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้

“ผ้าผืนหนึ่ง” ฉินเย่จือตอบกลับสั้น ๆ ภายในห้องมืดสนิท แต่กู้เสี่ยวหวานยังคงมองเห็นดวงตาของฉินเย่จือได้อย่างชัดเจน ราวกับมีดวงดาวระยิบระยับอยู่ข้างใน สว่างวาบ ช่างงดงามจริง ๆ

“ผ้าหรือ?” กู้เสี่ยวหว่านถามกลับด้วยความสงสัย “มันใช้ทำอะไรงั้นหรือ?”

ฉินเย่จือวางมือลงบนแก้มของกู้เสี่ยวหวานพลางลูบเบา ๆ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มจาง “เมื่อถึงเวลา เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”

กู้เสี่ยวหวานเห็นเขาไม่ยอมบอก จึงตอบรับเสียงเบาในลำคอ อย่างไรเสียเดี๋ยวก็รู้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่ถามแล้วกัน

ดังนั้นจึงซบหน้าลงในอ้อมแขนของฉินเย่จืออีกครั้งอย่างเชื่อฟัง

หลังจากรอมาครึ่งค่อนคืน กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกง่วงเล็กน้อย เตียงและอ้อมกอดที่อบอุ่นทำให้หัวใจของนางนิ่งสงบ ดังนั้นจึงขยับตัวเล็กน้อย จัดท่าที่สบายที่สุดสำหรับตัวเองและหลับตาลง หากแต่มือไม่ยอมขยับ ไม่แม้แต่จะปล่อยและกอดฉินเย่จือเอาไว้แน่น

คนในอ้อมแขนของเขาส่งเสียงฟึดฟัดออย่างน่ารัก ฉินเย่จือต้องการที่จะปล่อยมือ แต่เรี่ยวแรงของนางก็ไม่น้อยเลย ทำให้เขาขยับไม่ได้

หากออกแรงมากไปก็เกรงว่าจะแรงจนทำให้แมวน้อยตื่นขึ้น ฉินเย่จือจึงทำได้เพียงนอนนิ่ง ยังดีที่เขานอนอยู่บนเตียงในท่านี้ เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมาและดึงหมอนใบหนึ่งที่อยู่ด้านหลังศีรษะออก เพื่อให้ดูเหมือนท่าทางการนอนปกติ

หยกอ่อนในอ้อมแขนกอดแน่นแนบสนิทกับร่างกายของเขา ทำให้ฉินเย่จือรู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก

แมวน้อยตัวนี้ช่างมั่นใจในตัวนางมากเหลือเกิน อยู่ใกล้เขาขนาดนี้ ไม่กลัวเลยหรืออย่างไร

เฮ้อ… เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่จือไม่กล้าคิดเรื่องที่ไม่มีเหตุผล โชคดีที่หลังจากวิ่งเต้นไปมาหลายวัน ร่างกายก็อ่อนล้ามาก เมื่อเขานอนลงก็ขยับร่างกายส่วนล่างของเขาห่างจากลูกแมวเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจูบหน้าผากนางด้วยความพึงพอใจและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ลูกแมวของข้าหลับแล้ว”

จากนั้นเขาก็หลับตาลงและเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา

เช้าวันรุ่งขึ้น เนื่องจากว่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอน เวลาก็ล่วงเลยไปจนดึกดื่น กู้เสี่ยวหวานจึงไม่ยังไม่ตื่นจนกว่าจะถึงตอนสาย

ถึงแม้ว่าจะตื่นช้ากว่าเดิม แต่เพราะอดหลับอดนอน รอบดวงตายังคงมีร่องรอยดำคล้ำ

ป้าจางมีท่าทางทุกข์ใจมาก จึงต้มไข่สองฟอง ปอกเปลือกแล้วนำมากลิ้งรอบดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน “เสี่ยวฉินก็เหลือเกินนัก จะไม่กลับมาก็ไม่บอกกันสักคำ ดูเจ้าสิ รอจนถึงดึกดื่นเลยใช่ไหม ดูสิ รอบตาเจ้าคล้ำหมดแล้ว รอเขากลับมาก่อนเถอะ ข้าจะว่าเขาสักคำ!”

ป้าจางรู้สึกสงสารกู้เสี่ยวหวานมากที่เห็นนางไม่ได้นอน รอบดวงตานั้นก็คล้ำขึ้นเรื่อย ๆ ในใจคงรู้สึกเป็นทุกข์ จึงได้แต่เอาไข่ต้มไปกลิ้งรอบ ๆ ดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน ปากของนางเอาแต่บ่นไม่หยุด

กู้เสี่ยวหวานหลับตาลงและสัมผัสได้ถึงความอุ่นบริเวณรอบดวงตา จึงรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก “ท่านป้า ที่บ้านยังมีน้ำมันทาแก้ฟกช้ำที่ซื้อมาคราวก่อนหรือไม่”

“เจ้าต้องการยาไปทำอะไร บาดเจ็บตรงไหนให้ข้าดูหน่อย” ครั้นป้าจางได้ยินสิ่งนี้ คิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากัน และกำลังจะเปิดเสื้อของกู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้มหวานและเอ่ยว่า “ท่านป้า ข้าไม่ได้บาดเจ็บ”

“แล้วเป็นอันใดเล่า” ครั้นป้าจางได้ยินว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บก็รู้สึกโล่งใจ แม้ปากจะเอาแต่ถามไม่หยุด แต่ก็รีบนำมันมาให้กู้เสี่ยวหวานทันที

หลังจากกลิ้งไข่แล้ว รอยดำคล้ำบริเวณรอบดวงตาก็ดีขึ้น ป้าจางมองซ้ายทีขวาทีแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานปิดปากแล้วคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เดิมทีนางนอนดึกเพราะนอนไม่ค่อยหลับ กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สนใจเรื่องรอยดำคล้ำที่ตาของตนเองมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากพักผ่อนไม่กี่วัน รอยคล้ำเหล่านี้ก็จะหายไปตามธรรมชาติ

ทว่าป้าจางที่รู้สึกเครียดและเอาแต่กลิ้งไข่ไปมารอบดวงตา และบอกแต่ว่ามันจะหายเร็ว ๆ นี้

กู้เสี่ยวหวานที่เห็นท่าทางเคร่งเครียดของป้าจาง ในใจก็รู้สึกตื้นตันใจ แต่ก็ให้ความร่วมมือกับนางเป็นอย่างดี “ท่านป้า อย่าทำเหมือนกับว่าข้าเป็นเด็กสิ”

“อะไรเรียกว่าเป็นเด็ก เดิมทีเจ้าก็เป็นเด็กคนหนึ่งอยู่แล้ว”

“ท่านป้าข้าอายุสิบหกแล้วนะ ไม่ใช่เด็กแล้ว” กู้เสี่ยวหวานหัวเราะคิกคักเบา ๆ

ชาติก่อนยังนับว่าเป็นเด็กคนหนึ่ง แต่ในยุคโบราณนี้ อายุสิบหกก็เป็นแม่คนได้แล้ว

 


 

บทที่ 1333 มีความลับอะไร

บทที่ 1333 มีความลับอะไร

“ทำไมจะไม่ใช่เด็ก” ป้าจางกล่าวอย่างจริงจัง “แม้ว่าต่อไปเจ้าจะแต่งงานกลายเป็นแม่คน แต่ในใจของป้าคนนี้ เจ้ายังคงเป็นเด็กตลอดเสมอ”

ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานทำได้เพียงยอมแพ้ และรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ

ไม่มีความรักจากพ่อแม่ แต่ก็มีความรักจากท่านอาและป้าจาง กู้เสี่ยวหวานก็พอใจแล้ว

ตอนนี้ตาของนางไม่ได้บวมขนาดนั้นแล้ว กู้เสี่ยวหวานหยิบยาแล้วเดินไปที่ห้องของฉินเย่จือ

เมื่อคืนฉินเย่จือนอนโอบกอดกู้เสี่ยวหวานทั้งคืนจนถึงรุ่งสางจึงจะกลับไปที่ห้องของตนเอง ก่อนจะออกไป ฉินเย่จือก็ขยับข้อมือ เมื่อคืนนางนอนหนุนแขนฉินเย่จือทั้งคืน และเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายตื่นจึงไม่กล้าขยับตัว

เมื่อมาถึงห้องของฉินเย่จือแล้ว แต่คนกลับไม่อยู่ในห้อง

อาจั่วที่อยู่ข้างหลังรีบพูดว่า “คุณหนู พี่ใหญ่ฉินออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ก่อนออกไปเขาต้องการจะบอกลาคุณหนู แต่เขาเห็นว่าคุณหนูไม่ได้นอนทั้งคืน จึงเกรงว่าจะรบกวนการพักผ่อนของคุณหนู เขาจึงบอกข้าแล้วออกไปทันที”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ฟังดังนี้ เดิมทีใบหน้าตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นเหงาหงอย “เมื่อคืนเขาก็กลับมาตอนเที่ยงคืน ทำไมไม่พักผ่อนสักหน่อยก็จากไปแล้ว”

“บางทีพี่ใหญ่ฉินอาจจะมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ” อาจั่วตอบ

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “เมื่อคืนเขาบอกว่ากำลังหาของบางอย่าง และบอกว่าหาเจอแล้ว ในเมื่อหาเจอแล้ว ทำไมยังไม่อยู่บ้านให้นานกว่านี้อีกหน่อย”

กู้เสี่ยวหวานบ่นพึมพำ ทั้งน้อยใจและกลัดกลุ้ม นางขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วดูการตกแต่งที่คุ้นเคยในห้องของฉินเย่จือ รวมไปถึงเสื้อผ้าที่ฉินเย่จือเปลี่ยน นางหยิบเสื้อผ้าของเขาขึ้นมาด้วยสายตาที่เหงาหงอยเหมือนกับหญิงสาวที่หาคนรักในใจไม่เจอ

เมื่ออาจั่วเห็นท่าทางที่ดูหงอยเหงาเศร้าสร้อยของกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกไม่สบายใจมาก

“คุณหนูอย่าเศร้าไปเลย พี่ใหญ่ฉินเอาใจใส่คุณหนูขนาดนั้น ปกติก็ไม่เคยห่างจากคุณหนูแม้แต่ครึ่งก้าว คิดว่าครั้งนี้คงมีเรื่องที่รีบร้อนจริง ๆ จึงบอกคุณหนูไม่ทัน คุณหนูอย่าเสียใจไปเลย เมื่อเขาทำงานเสร็จ ต้องกลับมาอยู่กับคุณหนูทุก ๆ วันแน่นอน” อาจั่วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและถอนหายใจ “ข้าแค่กังวลเรื่องสุขภาพของเขา เขาไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ฟ้าเพิ่งจะสว่างก็ออกไปอีกแล้ว ไม่รู้จักรักตัวเองเลย”

อาจั่วปิดปากและยิ้ม “ถ้าพี่ใหญ่ฉินรู้ว่าคุณหนูห่วงใยเขาขนาดนี้ ไม่ว่าจะเหนื่อยลำบากขนาดไหนมันก็คุ่มค่าแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานเพิ่งตระหนักได้ว่าอาจั่วกำลังหยอกล้อตน จึงพูดด้วยความโมโห “โตแล้วสินะ รู้จักล้อเลียนข้าแล้ว”

เพียงแต่ตอนที่พูดออกมา ถึงแม้หน้าตาจะบูดบึ้ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีรอยยิ้ม

ในเมื่อฉินเย่จือไม่อยู่ กู้เสี่ยวหวานก็อยากไปที่ร้านจิ่นฝู ฉือโถวยังคงรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ จึงไม่ได้ไปร้านจิ่นฝูหลายวันแล้ว ในตอนนี้หากกู้เสี่ยวหวานยังพอมีเวลาก็ไปเยี่ยมเขาได้

หลังจากตัดสินใจไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็มองดูเสื้อผ้าที่ตนเองสวมใส่ แล้วพูดว่า “อาจั่ว เอาชุดสีขาวนวลที่ข้าใส่ในร้านหรูอี้ไม่กี่วันก่อนออกมาหน่อย แล้วพวกเราออกเดินทางกัน”

พออาจั่วได้ฟังก็อุทานออกมาหนึ่งเสียง “อะไรนะ?!”

เหมือนฟังไม่ชัด

กู้เสี่ยวหวานจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “เสื้อสีขาวตัวนั้น ตัวที่ทำใหม่”

“หา?” อาจั่วรีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า พลิกหาซ้ายทีขวาที “คุณหนู เสื้อสีขาวตัวนั้นบางทีท่านอาอาจเอาไปแล้ว ตอนนี้ในตู้เสื้อผ้าไม่มีแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานตอบ “งั้นก็ไม่เป็นไร เปลี่ยนตัวเถอะ”

เห็นได้ชัดว่าอาจั่วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย ในใจกู้เสี่ยวหวานกังวลเรื่องสุขภาพของฉินเย่จือ จึงไม่สังเกตเห็นอาจั่วที่พูดออกมาอย่างโล่งใจ

ครั้นมาถึงร้านจิ่นฝู กู้เสี่ยวหวานก็ตรวจสอบบัญชีของร้านเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาอย่างละเอียด เหลียงอวี้เฉิงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว รายการบัญชีดูสะอาดเรียบร้อยและชัดเจน ดูครั้งเดียวก็เข้าใจได้ทั้งหมด

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “บัญชีนี้ทำได้ดีมาก”

“เถ้าแก่ เป็นท่านที่สอนวิธีทำบัญชีให้ข้า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคนทำบัญชีแบบนี้ เงินเข้า ๆ ออก ๆ เงินออกเอาไปใช้จ่ายส่วนไหน เงินที่เข้ามีเท่าไร มองครั้งเดียวก็รู้ ไม่ง่ายเลยที่จะทำผิดพลาด สวรรค์! เถ้าแก่ ท่านเรียนรู้มาจากที่ไหนกัน” เหลียงอวี้เฉิงมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความเลื่อมใส และในสายตาเต็มไปด้วยดวงดาวแห่งความศรัทธา

“เรียนรู้ด้วยตนเอง” กู้เสี่ยวหวานตอบอย่างหยอกล้อ นั่นยิ่งทำให้เหลียงอวี้เฉิงประทับใจมากขึ้น

ความชื่นชมที่มีต่อกู้เสี่ยวหวานเป็นเหมือนแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวและต่อเนื่องมากขึ้น

“เถ้าแก่เก่งจริง ๆ” เหลียงอวี้เฉิงยังคงชื่อชมไม่หยุด

เรื่องภายในร้านอาหารจัดการเกือบเสร็จแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็เตรียมที่จะกลับสวนกู้ เหลียงอวี้เฉิงรีบส่งกู้เสี่ยวหวานขึ้นรถม้า และยังบอกคนขับรถม้าว่า “ลุงหนิว ระวังตัวด้วย”

ลุงหนิวผู้นี้อายุราว ๆ สี่สิบปี ปากกว้าง จมูกยาว หน้าเหลี่ยม ตากลม ดูเป็นคนซื่อสัตย์

ปกติแล้วคนผู้นี้เป็นคนที่ส่งอาหารของร้านจิ่นฝู วันนี้อาโม่ไม่อยู่และไม่ได้เอารถม้ามา ดีที่ลุงหนิวเพิ่งส่งอาหารที่ร้านอาหารเสร็จ เหลียงอวี้เฉิงจึงขอให้เขาเอารถม้าที่ร้านอาหารส่งกู้เสี่ยวหวานกลับไป

“ลุงหนิว ลำบากท่านแล้ว” กู้เสี่ยวหวานก็รู้จักคนผู้นี้ และหันไปขอบคุณเขาอย่างซาบซึ้ง

เมื่อลุงหนิวได้ยินที่กู้เสี่ยวหวานพูดดังนั้น ก็เบิกตากว้างและมีสีหน้าไม่น่าเชื่อ จากนั้นก็ลูบศีรษะด้วยท่าทางซื่อ ๆ “เถ้าแก่พูดเล่นแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรทำ”

ไม่นานนัก รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไป

วันนี้บังเอิญผ่านตลาดนัดพอดี ถนนเส้นหน้าร้านจิ่นฝูเต็มไปด้วยผู้คนที่แออัด รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า

“ลุงหนิว คุณหนูบอกแล้วว่าไม่รีบ ท่านช้าลงหน่อยเถิด ให้คนผ่านไปก่อน อย่าทำร้ายใคร” อาจั่วเปิดม่านในรถม้าและมองออกไปนอกหน้าต่าง

กู้เสี่ยวหวานมองดูคนนอกหน้าต่างที่กำลังซื้อขายสิ่งของอย่างสนุกสาน พลางดื่มชาหอมกรุ่นที่ทำให้รู้สึกไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

ทั้งสองคนพูดคุยกันบนรถ ดื่มชาและฟังเสียงจากข้างนอกเป็นครั้งคราว จึงรู้สึกไม่เบื่อหน่าย

ทันใดนั้น ก็ไม่รู้ว่ามีเสียงดัง “ตู้ม!” ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง

ประทัดเสียงดังหนวกหูพลันดังขึ้นรอบสี่ทิศ ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงก็เงียบลง

กู้เสี่ยวหวานนึกในใจว่าสถานการณ์มันไม่ดีแล้ว เมื่อเปิดม่านและชะโชกหน้าออกไป จู่ ๆ ม้าก็ยกขาขึ้นแล้วกรีดร้อง ทำให้กู้เสี่ยวหวานเสียการทรงตัวและถูกเหวี่ยงออกจากประตูรถไปด้านหลัง อาจั่วจึงรีบวิ่งไปรับกู้เสี่ยวหวานไว้ทันที

โชคดีที่อาจั่วเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นถ้ากู้เสี่ยวหวานตกลงมาจากรถม้า นางจะต้องแย่แน่

………………………………………………….

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท