บทที่ 1336 พี่น้องที่มีเจตนาไม่ดี
บทที่ 1336 พี่น้องที่มีเจตนาไม่ดี
หลังจากกระโดดคว้าตัวคนไว้ ประทัดที่ถือในมือยังไม่ทันจะซ่อนก็หล่นลงบนพื้น
“เป็นจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์” หลังจากที่ผู้คนเห็นว่าผู้ที่ถูกจับนั้นเป็นใครก็แตกฮือกันขึ้นมาอีกทันที
“นางเป็นผู้จุดประทัด!” และยังมีประทัดที่ดับไฟไว้ไม่ทันด้วย
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เหมือนกับเศษผ้าที่ถูกโยนลงบนพื้น ดวงตาที่สดใสพยายามหลบเลี่ยงและยังเถียงแก้ต่างว่า “ข้าไม่ได้จุดนะ ไม่ใช่ข้า ข้าแค่ถือมาเล่น”
ถือมาเล่น?
คิดว่าคนเหล่านี้เป็นเด็กสามขวบจะตบตาหลอกอย่างไรก็ได้หรือ?
จู่ ๆ จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็เงยหน้าขึ้นมองกู้เสี่ยวหวานอย่างมาดร้ายและตะโกนเสียงแข็งว่า “กู้เสี่ยวหวาน พี่ชายของข้าช่วยเจ้าไว้ เจ้ายังจะให้ร้ายข้า เจ้าให้ทุกคนตัดสินดูว่ามีคนทำกับผู้มีพระคุณเยี่ยงนี้เช่นเจ้ารึ!”
“ช่วยข้า?” พอได้ยินสิ่งที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์พูดออกมา กู้เสี่ยวหวานก็เหมือนกับได้ยินเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น
“ไร้สาระสิ้นดี!” อาจั่วดึงมือของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์พยายามอดกลั้นต่อความเจ็บก็ได้แต่ยกแขนขึ้นตาม
“พวกเจ้าสองพี่น้อง คนหนึ่งทำให้ม้าตกใจ คนหนึ่งช่วยชีวิตคน แม่นางจ้าว ตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน หลังจากนั้นจะส่งเจ้าไปหาหมอ เจ้าเองก็จะต้องขอบคุณข้าใช่หรือไม่?” เสียงของอาจั่วนั้นเย็นชา แรงในมือก็เพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ได้แต่อดกลั้นต่อความเจ็บปวด
ครู่ต่อมา ไม่รู้ว่าคมมีดที่ส่องประกายเย็นเยียบในมือของอาจั่วนั้นพาดอยู่บนคอที่สะอาดหมดจดของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ตั้งแต่เมื่อไร
คมมีดที่ส่องประกายสีเงินนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีดสั้นนี้จะรวดเร็วมากเพียงใด
มีดสั้นจ่ออยู่ที่คอของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ สัมผัสที่เย็นเฉียบนั้นทำให้นางแทบทรุด จากนั้นผิวของนางก็ถูกกรีด คอที่สะอาดหมดจดนั้นก็มีรอยเลือดไหลซึมออกมา
ทุกคนมองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และมองจ้าวจื่อเจี๋ยอีกครั้ง ในตอนนี้ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
เห็นได้ชัดว่าพี่น้องตระกูลจ้าวนั้นเป็นโจรร้องจับโจร ทำให้ม้าของคนอื่นตกใจและยังบอกว่ามาช่วยคนอีก เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาที่ไม่ดี
ผู้ที่รู้ความจริงก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที “พวกเจ้าคิดร้ายอยากจะมาทำร้ายเสี้ยนจู่อันผิง โชคดีที่เสี้ยนจู่เป็นคนดี สวรรค์จึงคุ้มครองไม่ให้ถูกพวกเจ้าทำร้าย ถุย! ตระกูลจ้าวเป็นตระกูลใหญ่อยู่ในเมืองหลิวเจียมาร้อยปี ให้กำเนิดพวกเจ้าสองคนที่หน้าไม่อายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน คิดไม่ถึงว่าจะคิดแผนการที่ร้ายกาจเช่นนี้ออกมาได้”
ทุกคนชี้ไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และจ้าวจื่อเจี๋ย
“เสี้ยนจู่อันผิง อย่าเมตตาปรานีต่อนางเลย นางเกือบจะทำร้ายเจ้าแล้ว ก็แค่ฆ่าคนที่ไร้ยางอายผู้นี้”
ทุกคนเริ่มโผล่หัวขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ละคนต่างก็ฮึกเหิม แววตาคมกริบนั้นราวกับมีดที่อยากจะสับฟันพี่น้องตระกูลจ้าวเป็นพันเป็นหมื่นครั้งอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าที่งดงามหมดจดของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ในตอนนี้พลันแดงก่ำเหมือนกับตับหมู
นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว มีดที่จ่ออยู่บนคอนั้นเหมือนกับจะเชือดเฉือนคอของนางทีละน้อย นางสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าคมมีดนั้นแทงเข้าไปที่คอของนาง
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังจะมีท่าทีก้าวร้าวดังเช่นเมื่อครู่อยู่เสียที่ไหน ในตอนนี้เหมือนกับสุนัขที่ไร้เจ้าของอย่างไรอย่างนั้น
จ้าวจื่อเจี๋ยยังนอนอยู่บนพื้น นอกจากขยับตัวดิ้นเป็นบางครั้งแล้วก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก
สติของเขาในตอนนี้ก็เกือบจะฟื้นขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่กล้าที่จะขยับ ถ้าหากผู้คนรู้ว่าเขาฟื้นแล้วก็กลัวว่าจะถูกคนพวกนี้ด่าทอเข้า
นี่มันไม่เหมือนกับตอนที่เขาวางแผนเอาไว้เลย
ไม่ใช่พูดไว้ว่า ‘เมื่อม้าตกใจแล้วเขาก็จะเป็นวีรบุรุษมาช่วยสาวงาม หลังจากนั้นก็ซ่อนอยู่ในรถฉีก ทึ้งเสื้อผ้าของกู้เสี่ยวหวาน โอบกอดนางด้วยตัวเองและปรากฏออกมาต่อหน้าทุกคน’ ไม่ใช่หรือ
ด้วยวิธีการเช่นนี้ แม้ว่านางจะไม่อยากแต่งก็ต้องแต่งให้กับตัวเองแล้ว
ตอนนั้นตัวเองคิดว่าอีกเพียงนิดเดียวก็จะต้องสำเร็จแล้ว
แท้จริงแล้วแรงที่ดีดตัวเองออกไปอย่างแรงนั้นมาจากไหน และยังมีร่างกายเมื่อตอนนั้นที่เจ็บปวดเหมือนกับถูกเข็มทิ่มอีก เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตอนนี้ทุกอย่างนั้นจบลงแล้ว ทุกอย่างนั้นจบสิ้นแล้ว
เมื่ออาจั่วเห็นว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังฝืนอยู่ พอเห็นใบหน้าที่งดงามหมดจด ทันใดนั้น มีดสั้นในมือก็เปลี่ยนที่ใหม่อีกครั้ง ชี้ไปที่ใบหน้าที่ขาวหมดจดและพูดเสียงเข้มว่า “ถ้าไม่เช่นนั้นก็กรีดใบหน้านี้เสีย หลังจากนั้นก็ค่อยไปตามหมอมารักษาให้เจ้า เช่นนี้มีความเมตตามากกว่าจะฆ่าเจ้าเสียอีก”
ในวังนั้นมีวิธีการมากมาย แค่สุ่มเลือกออกมาสักอย่าง ดูสิว่าคนที่บอบบางเช่นนี้จะทนไหวหรือไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังฝืนใจไว้ได้อยู่ สุดท้ายแนวต้านทานภายในใจก็พังทลายลงจนหมดสิ้น
กรีดใบหน้าของนางยังว่ามีความเมตตา
เช่นนั้นไม่สู้ฆ่านางไปเสียเลยสิ!
แม้ว่านางจะเป็นบุตรสาวของจ้าวสวิ่น แต่อย่างไรเสียตัวเองก็ถือกำเนิดจากอนุภรรยา ตอนนี้ถูกเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของฮูหยินจ้าว แต่ว่าเลือดเนื้อเชื้อไขก็ยังเป็นลูกของอนุภรรยาอยู่ดี
นางมักจะหยิ่งผยองมาตลอดก็เพราะใบหน้าที่งดงามนี้ ถ้าหากใบหน้าที่น่ามองนี้ถูกทำลาย ต่อไปนางจะยังออกเรือนกับตระกูลที่ดีได้อย่างไร
ไม่ได้ ไม่ได้
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ร้องไห้ขึ้นมา “เสี้ยนจู่ ประทัดนั้นเป็นข้าที่จุดเอง เป็นข้าที่จุดเอง แต่ทั้งหมดนี้เป็นพี่ชายของข้าที่บอกให้ข้าทำ เป็นเขาที่บอกให้ข้าทำเช่นนี้ ขอเพียงแค่ให้ข้าจุดประทัดและทำให้ม้าตกใจ หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเจ้า ทำลายความบริสุทธิ์ของเจ้า เรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่เกี่ยวกับข้าเลย เจ้าอย่ากรีดใบหน้าของข้า อย่ากรีดใบหน้าของข้า”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ร้องไห้ แต่กลับไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวมากนัก กลัวว่ามีดนั้นจะกรีดใส่ใบหน้าของตัวเองจริง ๆ ตอนนี้จึงผลักความรับผิดชอบทั้งหมดนี้ให้กับจ้าวจื่อเจี๋ย
ในตอนนี้กลุ่มคนที่เงียบสงบก็เริ่มแตกฮือกันขึ้นมาอีก
“เป็นโจรร้องจับโจรเสียจริง เหตุใดตระกูลจ้าวจึงได้ให้กำเนิดคนเช่นนี้ออกมาให้ขายขี้หน้าตระกูลจ้าว” ในนั้นมีชายชราคนหนึ่งลูบเคราพลางเอ่ยปากพูดอย่างชิงชัง
“ใช่แล้ว จ้าวเหล่า ตระกูลจ้าวมีลูกหลานที่นอกคอกเช่นนี้ช่างโชคร้ายเสียจริง” มีคนเห็นด้วย
“คนผู้นี้ไม่ใช่ว่าเกิดจากอนุภรรยาของตระกูลจ้าวหรอกรึ! ลูกของอนุภรรยาก็คือลูกอนุภรรยา เป็นของที่วางอยู่บนโต๊ะแต่กลับไร้คุณค่า” มีคนอยากจะแก้หน้าคืนให้กับตระกูลจ้าว
แต่ก็มีคนไม่เป็นไปตามที่เขาหวัง “เมื่อหลายวันก่อน สองคนนี้ถูกเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของฮูหยินจ้าว ตอนนี้ก็เป็นนายน้อยกับคุณหนูอย่างจริงจังของตระกูลจ้าวแล้ว”
เมื่อคำพูดนี้พูดออกมาก็มีคนตะโกนเยาะเย้ยว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว นายท่านจ้าวมาแล้ว”
จ้าวสวิ่นออกมาจัดการธุระข้างนอกพอดี จึงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายทางด้านนี้ แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
บทที่ 1337 จ้าวสวิ่นประจบเอาใจ
บทที่ 1337 จ้าวสวิ่นประจบเอาใจ
ต่อมาได้ยินว่าม้าที่ตกใจนั้นเป็นรถม้าของร้านจิ่นฝู และผู้ที่นั่งอยู่ข้างในยังเป็นเสี้ยนจู่ ในตอนนี้จ้าวสวิ่นก็นั่งไม่ติดแล้ว หลังจากบอกลาเพื่อนฝูงแล้วก็รีบมาที่เกิดเหตุทันทีโดยไม่หยุดพัก
พลางคิดว่าจะต้องคอยปลอบใจเสี้ยนจู่ให้ดี ๆ เขายังส่งคนที่ฉลาดหลักแหลมข้างกายตัวเองไปเชิญหมอตั้งนานแล้ว รอจังวะจับชีพจรให้เสี้ยนจู่อันผิงที่ตกใจถือโอกาสปลอบใจเสียเลย
เมื่อคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับเสี้ยนจู่อันผิงจะต้องใกล้ชิดกันมากขึ้นในอนาคต จ้าวสวิ่นก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ตอนนี้แทบอยากจะยกสถานที่ที่กู้เสี่ยวหวานอยู่นั้นมาตั้งอยู่ตรงหน้า
แต่ว่าพอยิ่งเข้าใกล้เท่าไร เสียงด่าทอจากข้างในก็ทำให้จ้าวสวิ่นยิ่งไม่มีความมั่นใจแล้ว
เกิดอะไรขึ้น
พี่น้องตระกูลจ้าว
คือเจี๋ยเอ๋อร์และอวิ๋นเอ๋อร์
เหตุใดพวกเขาทั้งสองถึงมาอยู่ที่นี่
เดิมทีจ้าวสวิ่นยังไม่เชื่อ เมื่อได้ยินคนพูดว่าก่อนหน้านี้พี่น้องสองคนนี้ถูกเลี้ยงดูโดยฮูหยินจ้าวและได้เป็นนายน้อยกับคุณหนูของตระกูลจ้าวอย่างจริงจังแล้ว จ้าวสวิ่นไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าข้างในนี้ยังมีลูกชายและลูกสาวของตัวเองอีกสองคน
และยังได้ยินเสียงที่เยาะเย้ยถากถางนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ฝีเท้าของจ้าวสวิ่นเริ่มช้าลง แต่ว่าก็ไม่ทันแล้ว มีคนที่ตาดีเห็นจ้าวสวิ่นเข้าจึงร้องตะโกนเสียงดัง
ในใจของจ้าวสวิ่นรู้สึกไม่ดีขึ้นทันที ฝีเท้าจึงหยุดลงและคิดอยากจะหมุนตัวจากไป ทว่าในตอนนี้กลุ่มคนก็ล้อมรอบเขาแล้ว เจ้าผลักข้าขยับจนดันเขาไปอยู่ตรงกลาง
เป็นไปตามคาด เมื่อจ้าวสวิ่นกวาดสายตามองก็เห็นจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์นั่งอยู่บนพื้นราวกับโคลน ไม่กล้าขยับเหมือนกับสุนัขที่ไร้เจ้าของ มีดสั้นที่ส่องประกายเย็นเยียบอยู่ห่างจากใบหน้าของนางเพียงแค่เล็กน้อย ขอแค่ผู้ที่ถือมีดนั้นขยับมือเพียงเล็กน้อย มีดที่คมกริบนั้นจะต้องกรีดผิวที่งดงามหมดจดอย่างแน่นอน
จ้าวสวิ่นกระวนกระวายใจ เขาเป็นห่วงจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ แต่ขณะเดียวกันก็ยิ่งไม่พอใจต่อลูกสาวที่โง่เขลาคนนี้
เหตุจึงได้เจอนางอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงประมาทเลินเล่อเช่นนี้
กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสง่างามเหมือนกับลำต้นไผ่ แขนเสื้อสะบัดปลิวไปตามสายลม เส้นผมพลิ้วไหวไปตามสายลม คิ้วและดวงตาที่ราวกับภาพวาด เมื่อมายืนอยู่ข้าง ๆ จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่โอ้อวดว่าตัวเองนั้นงดงามอย่างภาคภูมิใจแล้ว กู้เสี่ยวหวานนั้นยิ่งงดงามกว่ามาก
คนหนึ่งเป็นเมฆขาวที่ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า อีกคนนั้นเป็นโคลนอยู่บนพื้นดิน
จ้าวสวิ่นอยากจะกระอักเลือดออกมาจริง ๆ บนใบหน้านั้นจะยังมีรอยยิ้มดั่งเช่นเมื่อครู่นี้อยู่เสียที่ไหน เขาจ้องมองลูกสาวอย่างไม่พอใจด้วยความแค้นเคืองอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็ทำราวกับว่ามองไม่เห็นนาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มพลางเดินเข้าไปหากู้เสี่ยวหวานและทักทายอย่างสนิทสนม “เสี้ยนจู่”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ดวงตาของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็สว่างขึ้น “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย”
พอจ้าวสวิ่นได้ยินเสียงเรียกนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็คลายออกทันที ชี้มือไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์อย่างสงสัยและถามอย่างงงงวยว่า “เสี้ยนจู่ นี่คืออะไรหรือ”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ สตรีชั่วร้ายผู้นี้จะกรีดใบหน้าของลูก ท่านรีบช่วยลูกเร็วหน่อย รีบให้นางเอามีดออกไป” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กรีดร้องเสียงหลง เมื่อเห็นว่าปลายมีดนั้นเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น สีหน้าของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ซีดเผือดลงด้วยความหวาดกลัว “ท่านพ่อ สตรีชั่วร้ายผู้นี้ นางต้องการจะทำลายใบหน้าของลูก”
เมื่ออาจั่วเห็นว่าสตรีผู้นี้กล้าพูดจาไร้สาระทั้งที่ยังลืมตาโดยไม่เกรงใจนางแม้แต่น้อย คมมีดก็พุ่งตรงเข้าไปบาดผิวที่บอบบางของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ ใบหน้าที่หมดจดนั้นก็มีเลือดไหลออกมาทันที
“อ๊า!!!…”
“ไม่นะ!”
ทั้งสองพ่อลูกร้องเป็นเสียงเดียวกัน
“กู้เสี่ยวหวาน เจ้ามันเป็นสตรีที่ชั่วร้าย เกือบจะทำร้ายมารดาของข้า ตอนนี้ยังจะมาฆ่าข้าอีก เจ้ามันเป็นสตรีที่อำมหิต”
เสียงกรีดร้องของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์แหลมเสียดหู จ้าวสวิ่นร้อนรนจนเหงื่อเริ่มไหลออกมา ลูกสาวโง่เง่าผู้นี้ ตอนนี้จะหุบปากไปไม่ได้เลยรึ!
เขาจึงรีบประสานมือขอร้องกู้เสี่ยวหวาน “เสี้ยนจู่ ขอร้องท่านให้อภัยคนผิดด้วย มีเรื่องอะไรพวกเราก็พูดคุยปรึกษากันดี ๆ หน้าตานั้นถือเป็นชีวิตของสตรีนะ ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
ในสายตาของจ้าวสวิ่นนั้นแสดงให้เห็นถึงความกังวลและความตื่นตระหนก เมื่อเห็นคมมีดนั้นบาดผิวจนเลือดไหลหยดออกมา เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป
สตรีผู้นี้เป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ตัวเองนั้นมีบุตรสามคน แต่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เป็นสตรีเพียงแค่คนเดียว
อีกทั้งบุตรสาวคนนี้ก็หน้าตางดงามมาก จ้าวสวิ่นเองก็เจ็บปวดใจเช่นกันเมื่อเห็นนางตกอยู่ในสภาพที่สะบักสะบอมเช่นนี้ เขาก็ไม่สบายใจอย่างมาก บิดาที่เมตตาจึงรีบปลอบโยนจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
คนที่ถูกเรียกว่าจ้าวเหล่าเมื่อสักครู่นั้น ในตอนนี้ก็เอ่ยปากพูดว่า “นายท่านจ้าว บุตรของท่านทั้งสองคนนี้จะต้องคอยสั่งสอนให้ดี ๆ พวกเขาตั้งใจทำให้ม้าของเสี้ยนจู่ตกใจไม่พอ ยังวางแผนเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามอีก รถม้าคันเล็ก ๆ นี้ ผู้ใดจะรู้ว่าบุตรชายของเจ้าที่อยู่ข้างในจะทำเรื่องอะไรบ้างเพื่อทำลายชื่อเสียงของเสี้ยนจู่ ข้ายังได้ยินมามาว่าอนุภรรยาของเจ้าอยากสู่ขอแต่งงานกับเสี้ยนจู่ผิงอัน แล้วเป็นอย่างไรเล่า สู่ขอไม่สำเร็จก็มาทำเช่นนี้รึ!”
จ้าวเหล่าผู้นั้นเป็นชายชราในเมืองหลิวเจีย แม้ว่าภูมิหลังของครอบครัวนั้นจะสู้จ้าวสวิ่นไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโส ไม่อาจมองข้ามได้ แค่จ้าวเหล่ากล่าวขึ้นเพียงสองประโยค จ้าวสวิ่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะโต้แย้ง
ทันทีที่จ้าวสวิ่นได้ฟังคำพูดนี้จบ หน้าก็เขียวแล้ว เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เป็นไปตามคาด ที่ตรงใต้มุมกำแพงนั้นมีคนนอนอยู่บนพื้นกำลังร้องโอดโอยอยู่ เมื่อมองชัด ๆ แล้ว ถ้าไม่ใช่จ้าวจื่อเจี๋ยแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก
จ้าวเหล่าไม่มีทางที่จะพูดจาไร้แก่นสาร ในเมื่อเอ่ยปากแล้วและยังพูดเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานชัดเจนแล้ว แม้ว่าจ้าวสวิ่นอยากจะแก้ต่างให้บุตรสาวและบุตรชายของตัวเอง นั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเยอะแยะมากมายเช่นนี้ คนที่พวกเขาอยากจะทำร้ายยังเป็นเสี้ยนจู่ที่ผู้ใดก็ไม่อาจล่วงเกินได้
จ้าวสวิ่นไม่ถามอะไรเลย พอเห็นสถานการณ์ของบุตรสาวและบุตรชายของตนก็รู้แล้วว่าพวกเขาเพิ่งจะทำเรื่องที่ผิดไปอย่างแน่นอน
ระหว่างทาง ม้าตัวนั้นได้พลิกคว่ำแผงขายของและทำลายข้าวของที่อยู่ริมทาง แค่ไม่มีใครออกมาบอกว่ามีคนได้รับบาดเจ็บล้มตายก็นับว่าโชคดีในความโชคร้ายแล้ว
“จ้าวเหล่า ท่านกล่าวได้ขบขันแล้ว เสี้ยนจู่ผิงอันผู้สูงศักดิ์ ลูกอกตัญญูของข้าผู้นี้จะปีนป่ายไปคบกับผู้ที่มีฐานะสูงส่งกว่าได้อย่างไรกัน เสี้ยนจู่อันผิง วันนี้ล่วงเกินมากแล้ว กลับไปข้าจะต้องสั่งสอนเด็กทั้งสองคนนี้ให้ดี ๆ รับรองว่าต่อไปนี้จะไม่ให้พวกเขามารบกวนเสี้ยนจู่อันผิงอย่างเด็ดขาด” จ้าวสวิ่นรีบร้อนสาบาน ดวงตาที่สดใสนั้นมองกู้เสี่ยวหวานอย่างให้คำมั่นสัญญา