บทที่ 1338 อาจั่วร้องขอให้ลงโทษ
บทที่ 1338 อาจั่วร้องขอให้ลงโทษ
กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ตรงนั้น สายตาที่เย็นชากวาดผ่านจ้าวสวิ่น กวาดผ่านจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่ร้องไห้จนตัวสั่นระริกอยู่บนพื้น และยังมีจ้าวจื่อเจี๋ยผู้นั้น จึงเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างเย็นชา “นายท่านจ้าว รบกวนจัดการเรื่องในบ้านเจ้าให้สะอาดหน่อย ถ้าหากมีครั้งต่อไปอีก อย่าโทษว่าเสี้ยนจู่นั้นไร้เมตตา”
กลิ่นอายของกู้เสี่ยวหวานทำให้จ้าวสวิ่นที่ได้ผ่านเรื่องราวมากมายนั้นต้องสั่นสะท้าน เมื่อครู่นี้ดวงตาที่งดงามดั่งภาพวาดนั้นราวกับปีศาจร้ายอย่างไรอย่างนั้น น่าขนลุก น่าขนลุกมาก
จ้าวสวิ่นอ่านคนมานับไม่ถ้วน ในแวดวงข้าราชการ แวดวงการค้าขาย เคยเห็นคนที่ร้ายกาจตั้งมากมาย เคยเห็นเหตุการณ์เรื่องราวใหญ่ ๆ มาตั้งมาก แต่ว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่เคยเห็นสายตาที่เย็นชามากขนาดนั้นมาก่อน กลิ่นอายของเสี้ยนจู่ที่แผ่ออกมานั้นราวกับอยากจะบดขยี้เขาให้จมลงดิน
จ้าวสวิ่นตกตะลึงอยู่สักพัก จึงจะตอบสนองขึ้นมาได้ “แน่นอน แน่นอน”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “เสี้ยนจู่ ข้าไม่โทษท่านหรอก ของข้าที่เสียหายท่านไม่ต้องชดใช้ พรุ่งนี้ข้าจะไปนั่งหน้าบ้านตระกูลจ้าว เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากตระกูลจ้าว”
“ข้าก็ด้วย”
“ข้าเองก็ด้วย”
เสียงของผู้คนรอบด้านดังขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนต่างพากันรุมประณามตระกูลจ้าว
สีหน้าของจ้าวสวิ่นยิ่งไม่น่ามองมากขึ้น จากขาวเป็นแดง จากแดงเป็นดำ แทบอยากจะหาหลุมมุดลงดินไปในตอนนี้ทันที
“นายท่านจ้าว ท่านดูสิว่าตอนนี้กลายเป็นอย่างไรแล้ว เสี้ยนจู่เป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเราชาวบ้านเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อครู่นี้เสี้ยนจู่พูดแล้วว่ามีอะไรเสียหายนางจะชดใช้ให้ แต่ข้าคิดว่าความเสียหายนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเสี้ยนจู่เลย เพื่อนบ้านพวกนี้พูดไว้ก็ไม่ผิด หากนี่ต้องชดใช้ก็ต้องให้ตระกูลจ้าวมาชดใช้” ในตอนนี้จ้าวเหล่าก็เอ่ยปากพูดอีกครั้ง จ้าวสวิ่นรีบพยักหน้ารับ “ข้าจะชดใช้ ข้าจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับทุกคน ตอนนี้ข้าจะให้คนใช้ไปลงทะเบียนไว้ พรุ่งนี้ทุกคนก็ไปรับค่าเสียหาย”
พอดีกับที่คนใช้ที่ฉลาดหลักแหลมของจ้าวสวิ่นคนนั้นพาหมอกลับมาแล้ว ถูกกลุ่มคนขวางไว้ไม่ให้เข้ามา “นายท่าน นายท่าน ข้าเชิญหมอมาแล้ว ข้าเชิญหมอมาแล้ว”
พอกลุ่มคนได้ยินก็พากันหลีกทางให้ทั้งหมด คนใช้คนนั้นก็พาหมอเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาเห็นกู้เสี่ยวหวานที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดี
หมอคนนั้นเองก็เป็นคนกระตือรือร้น พอเห็นกู้เสี่ยวหวานก็วางกล่องยาลงและถามไถ่ว่า “เสี้ยนจู่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน”
“ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ” กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วมองจ้าวสวิ่นเหมือนเดิม พอเห็นสีหน้าของจ้าวสวิ่นเปลี่ยนไป แม้แต่จะขยิบตาส่งสัญญาณให้หมอก็ไม่ทันแล้ว
“อ้าว! ทำไมเจ้าถึงพูดว่าเสี้ยนจู่ได้รับบาดเจ็บเล่า” เมื่อหมอได้ยินเช่นนั้นก็ตีคนรับใช้ที่รีบพาตัวเองมาที่นี่ทันที พ่นลมหายใจใส่หนวดและจ้องมองตาเขม็ง “เสี้ยนจู่สบายดี อย่าพูดจาเลอะเทอะ”
พูดจบก็ขอตัวเตรียมจะจากไป กู้เสี่ยวหวานรีบเอื้อมมือไปรั้งเขาไว้แล้วชี้ไปที่สองคนที่อยู่บนพื้นอย่างรังเกียจ “ท่านหมอ ไปตรวจดูสองคนนั้นเถอะ”
เมื่อหมอเห็นว่าไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นมีบุรุษและสตรีนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ก็รีบพยักหน้าตอบรับแล้วไปตรวจดูอาการของพวกเขาสองคน
ละครเรื่องนี้ สุดท้ายก็จบลงด้วยการที่จ้าวสวิ่นกลับไปพร้อมบุตรที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสองคน
ชายชราท่านนั้นที่เพิ่งพูดสิ่งดี ๆ ให้แก่กู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวานก็มองอย่างซาบซึ้งใจ เมื่อเห็นเขาลูบเคราและกำลังจะจากไป
กู้เสี่ยวหวานก็รีบก้าวไปข้างหน้า ตะโกนเรียกให้เขาหยุด “จ้าวเหล่า ท่านโปรดยั้งเท้าก่อน เมื่อครู่นี้ขอบคุณท่านแล้ว”
จ้าวเหล่าเป็นชายชราที่อายุเกือบแปดสิบปี หน้าตาขาวหมดจดกับผมสีขาว ดูเป็นคนแก่ที่ใจดีมีเมตตา
จ้าวเหล่าฉีกยิ้มยิงฟัน ทำให้เห็นฟันที่เหลืออยู่ในปากไม่กี่ซี่ “ขอบคุณอะไรกันสาวน้อย นั่นเป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรของตระกูลจ้าว เหลวไหลก็ต้องได้รับการสั่งสอน ไม่อย่างนั้นก็คงหลงลืมไปแล้วว่าใครเป็นผู้มีเกียรติที่สุดในเมืองหลิวเจียนี้จริง ๆ”
ในเมืองหลิวเจีย ใครเป็นผู้มีเกียรติที่สุด นั่นย่อมต้องเป็นตำแหน่งเสี้ยนจู่ขั้นห้าของกู้เสี่ยวหวานแล้ว
กู้เสี่ยวหวานยิ้มและพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนว่า “ชื่อเสียงนั้นเป็นเพียงเปลือกนอก แท้จริงแล้วทุกคนเกิดมานั้นเท่าเทียมกัน จ้าวเหล่าเองก็พูดกับนายท่านจ้าวแล้วว่าทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน ขอเพียงแค่ทุกคนทำหน้าที่และสิ่งต่าง ๆ ของตัวให้ดี ใคร ๆ ก็เท่าเทียมเหมือนกันทั้งนั้น”
หลังจากที่ชายชราได้ฟังคำพูดของกู้เสี่ยวหวานแล้วก็ขมวดคิ้วประโยคที่ว่า ‘ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน’ จากนั้นคิ้วก็คลายออกและพยักหน้าอย่างพอใจ “เสี้ยนจู่พูดได้ดี ทุกคนนั้นเท่าเทียมกันอยู่แล้ว ตระกูลจ้าวมาถึงรุ่นนี้ก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สั่งสมรากฐานมาเป็นร้อยปี กลัวว่าจะถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของหนุ่มสาวพวกนี้”
“ขอบังอาจถามว่าตระกูลท่านผู้เฒ่าเกี่ยวข้องกับตระกูลจ้าวหรือ” กู้เสี่ยวหวานถามเพราะชายชราคนนี้เองก็แซ่จ้าว
“อ๋อ… ข้าเป็นเพียงตระกูลจ้าวที่แยกออกมา ตามลำดับอาวุโสแล้วนายท่านจ้าวนั้นยังต้องตะโกนเรียกข้าว่านายท่านใหญ่อีก” จ้าวเหล่าลูบเคราและยิ้มจนเห็นฟันไม่กี่ซี่ด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนใจดี
ไม่แปลกใจที่เมื่อครู่นี้เขาหยิบยกความผิดจ้าวสวิ่นขึ้นมา ทว่าจ้าวสวิ่นนั้นไม่กล้าคัดค้านแม้แต่คำเดียว
ลุงหนิวหารถม้าที่แข็งแรงคันหนึ่งมา ม้าตัวนี้ดูค่อนข้างที่จะเชื่อง เหลียงอวี้เฉิงนึกถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ก็ยังรู้สึกกลัว
คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ให้กู้เสี่ยวหวานกลับไปคนเดียวแล้ว จึงขึ้นรถม้าพร้อมกับลุงหนิวแล้วขับรถม้าไปข้างหน้า ครั้งนี้จะต้องส่งเถ้าแก่กลับบ้านอย่างปลอดภัย
ภายในรถ อาจั่วยังมีแววตาเย็นชา เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ในใจก็มีความหวาดกลัวและความโกรธ ถ้าหากไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นี้คุณหนูมีไหวพริบฉลาดใช้อาวุธลับในเครื่องประดับทำร้ายจ้าวจื่อเจี๋ยแล้วหนีไปได้ ผลที่ตามมานั้นไม่อยากจะคิดเลยจริง ๆ
แค่คิดว่าม้าที่คลุ้มคลั่งแล้วรถม้าก็ถูกกระแทกจนพังยับเยินพร้อมพุ่งชนได้ตลอดเวลา ในรถม้ายังปิดสนิทและบุรุษยังมีเจตนาร้าย พอคิดถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นก็ทำให้อาจั่วอยากจะทรุดตัวลง
“คุณหนู…” อาจั่วไม่แม้แต่จะคิด ลุกขึ้นยืนและคุกเข่าลงในรถแล้วโขกหัวอย่างแรง “เมื่อครู่นี้เป็นความผิดของข้า เป็นข้าที่ไม่ได้ปกป้องแม่นางให้ดี มันผู้นั้นเกือบจะทำร้ายคุณหนูแล้ว คุณหนูโปรดลงโทษข้าเถอะ”
กู้เสี่ยวหวานเห็นนางคุกเข่าลงและแบกรับความผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเอง จึงรีบลุกไปพยุงนางขึ้น “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าจะแบกความผิดไว้ทำไม รีบลุกขึ้นเร็วเข้า”
“แต่ว่า… ถ้าหากตอนนั้นข้าสามารถทำให้ม้าสงบลงได้ทันเวลา จ้าวจื่อเจี๋ยก็จะไม่มีช่องโหว่ที่จะเข้าไปในรถม้า” อาจั่วกำมือแน่น แทบอยากจะรีบเข้าไปฆ่าจ้าวจื่อเจี๋ยในทันที
แม้ว่าคุณหนูจะหลีกเลี่ยงผ่านเขาไปได้ และทำเหมือนไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น แต่ว่านางนั้นไม่อาจฝืนทนแล้วปล่อยผ่านความไม่ยุติธรรมเช่นนี้ไปได้
บทที่ 1339 เกลือจิ้มเกลือ
บทที่ 1339 เกลือจิ้มเกลือ
ถ้าตอนนั้นจ้าวจื่อเจี๋ยผู้นั้นทำสำเร็จจริง ๆ ข้าจะทำอย่างไรดี?
เมื่อครู่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยอมรับว่าจ้าวจื่อเจี๋ยนั้นต้องการฉีกเสื้อผ้าของคุณหนูและทำลายชื่อเสียงของนางให้เสื่อมเสีย หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง…
อาจั่วคิดว่าหากฉินเย่จือรู้เรื่องนี้เข้า… นางไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า สถานการณ์ ณ เวลานั้นมันบีบบังคับ ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ลุกขึ้นเถอะ” เมื่อเห็นว่านางไม่สามารถดึงตัวเองขึ้นมาได้ กู้เสี่ยวหวานจึงพูดได้แค่นั้น
ดวงตาที่หลุบต่ำลงของอาจั่วนั้นฉายแววเย็นเยือก หากแต่ก็ลุกขึ้นตามคำพูดของกู้เสี่ยวหวานและนั่งลงข้าง ๆ หญิงสาว
เมื่อเห็นใบหน้าของนางดูไม่มีความสุข กู้เสี่ยวหวานจึงเอ่ยปลอบโยน “เรื่องเช่นนี้เจ้าไม่สามารถป้องกันได้หรอก โชคดีที่วันนี้ข้าใช้อาวุธลับที่พี่เย่จือมอบไว้ให้ ดูสิ เขาไม่สามารถทำอะไรข้าได้เลย แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นจ้าวจื่อเจี๋ยที่ถูกม้าตัวนั้นเตะ ไม่รู้ว่าบาดเจ็บหนักหรือไม่”
ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเป็นประกาย วันนี้นางรู้สึกอับอายเล็กน้อยจึงไม่ได้ไล่ตามอีกฝ่ายไปมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ไล่ตามในภายหลัง
จ้าวจื่อเจี๋ยต้องการทำลายความบริสุทธิ์ของนางเพื่อจะให้ได้นางไปครอบครอง
เช่นนั้นก็จะทำให้เขาได้สมปรารถนา
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็เรียกหาเหลียงอวี้เฉิงและถามอย่างสบาย ๆ “ข้าได้ยินมาว่านางผู้นั้นเป็นผู้ที่มีแต่ความอ่อนหวานเพ้อฝันและรักใคร่”
เมื่อเหลียงอวี้เฉิงได้ยิน ใบหน้าของเขาก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อยและพยักหน้าอย่างรีบร้อน “ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง”
“นางผู้นั้นอายุเท่าไร”
“อายุสามสิบปีขอรับ” เหลียงอวี้เฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าหญิงผู้นี้เป็นคนคลั่งในความรัก หลังจากแต่งงาน นางไม่สามารถหักห้ามใจตนเองได้ และนั้นทำให้สามีของนางโกรธเคือง หลังจากนั้นเขาก็ปลดนาง ทำให้นางกลายเป็นม่าย”
เสียงของเหลียงอวี้เฉิงแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ และสบถออกมาด้วยความโกรธ “ไร้ยางอาย”
กู้เสี่ยวหวานพยายามครุ่นคิด จ้าวจื่อเจี๋ยอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น และแม่ม่ายผู้นั้นก็อยู่ในวัยสามสิบ ด้วยอายุที่ห่างกันมาก จ้าวจื่อเจี๋ยก็ยังไม่ละเว้น
“แม่ม่ายผู้นั้นแก่กว่าเขาสิบปี พวกเขาทั้งสองจะคบกันได้อย่างไร” กู้เสี่ยวหวานถามด้วยความสงสัย
“แม้ว่าแม่ม่ายจะอายุมากกว่า หากแต่ข้าได้ยินมาว่านางนั้นมากไปด้วยเสน่ห์ ผิวพรรณและรูปร่างได้รับการดูแลดีกว่าหญิงทั่วไป” เหลียงอวี้เฉิงหยุดลงเพียงเท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคำบอกเล่า… แต่มีคนพูดถึงเรื่องนี้มากมาย คาดว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องจริง
หลังจากฟังเหลียงอวี้เฉิงเล่าแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็กระตุกยิ้มเย้ยหยันราวกับเกิดความคิดที่ดี
อาจั่วซึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลา จึงไม่เห็นการแสดงออกทางสายตาของกู้เสี่ยวหวาน และเมื่อเงยหน้าขึ้น ท่าทางเมื่อครู่ก็หายไปแล้ว
เพราะอาจั่วเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา คนภายในสวนกู้จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู้เสี่ยวหวาน และหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ กู้เสี่ยวหวานก็กลับไปที่ห้องของนางเพื่อพักผ่อน
อาจั่วยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูไม่ห่าง
……
หลังจากที่จ้าวสวิ่นพาทั้งสองคนกลับไปแล้ว พวกเขาก็ถูกขังอยู่ในศาลบรรพบุรุษ เมื่อฮูหยินจ้าวได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนถนน นางโกรธมากจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด
ชื่อเสียงของตระกูลจ้าวถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของสองคนนี้
ฮูหยินจ้าวโกรธมากจนแทบไร้เรี่ยวแรง นางจึงไปที่ศาลบรรพบุรุษโดยความช่วยเหลือของสองสาวใช้
จ้าวจื่อเจี๋ยถูกม้าเตะทำให้ซี่โครงหักสองซี่ และมีเหล็กทิ่มแทงอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมาก สันนิษฐานว่าพวกมันถูกเสียบเข้าไปในร่างกายตอนที่เขาอยู่ในรถม้า
ในที่สุด จ้าวจื่อเจี๋ยก็ฟื้นคืนสติ พร้อมกับเอาแต่สบถสาปแช่ง “กู้เสี่ยวหวาน หญิงเลวทราม เจ้ากล้าต่อต้านข้างั้นหรือ ข้าไม่หยุดหยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่”
ผัวะ!
จ้าวสวิ่นตบศรีษะจ้าวจื่อเจี๋ยเต็มแรง
“ท่านพ่อ ท่านตีข้าทำไม วันนี้ข้าเกือบทำสำเร็จแล้วถ้าไม่ใช่เพราะหญิงคนนั้นที่วางแผนต่อต้านข้า กู้เสี่ยวหวานจะได้เป็นสะใภ้ของตระกูลจ้าว นี่คือสิ่งที่ตระกูลจ้าวต้องการไม่ใช่หรือ ตราบใดที่ข้าแต่งงานกับนาง ตระกูลจ้าวก็สามารถเทิดเกียรติให้บรรพบุรุษของพวกเขาได้อีกครั้ง”
จ้าวจื่อเจี๋ยคนนี้ยังคงมีความคิดโหดเหี้ยม จ้าวสวิ่นโกรธมากจนแทบรอไม่ไหวที่จะเตะลูกชายคนนี้ให้ตาย
“เทิดเกียรติบรรพบุรุษหรือ?” จ้าวสวิ่นชี้ไปที่จ้าวจื่อเจี๋ยด้วยมือที่สั่นเทาด้วยความโกรธ เขาอยากที่จะกินเนื้อและดื่มเลือดของตัวเอง เขาไม่มีหน้าไปสู้บรรพบุรุษอีกต่อไป แต่ในขณะนี้จ้าวจื่อเจี๋ยยังคงพูดคำโง่ ๆ อย่างการ ‘เทิดเกียรติบรรพบุรุษ’ ออกมา “ศักดิ์ศรีของตระกูลจ้าวถูกเจ้าทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี เจ้ายังกล้าพูดว่าเทิดเกียรติบรรพบุรุษอย่างนั้นหรือ ตระกูลจ้าวของเรามีลูกชายนอกสมรสอย่างเจ้าได้อย่างไร ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะเกิดมาแล้วเป็นเช่นนี้ ข้าน่าจะบีบคอเจ้าตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
“ท่านพ่อ ท่านจะพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านพี่เป็นลูกชายแท้ ๆ ของท่านนะ แต่กู้เสี่ยวหวานเป็นคนนอก ท่านจะจัดการท่านพี่แทนคนนอกอย่างกู้เสี่ยวหวานได้อย่างไร” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ได้ยินคำพูดที่โหดร้ายของจ้าวสวิ่นจึงพูดขอร้องให้จ้าวจื่อเจี๋ย
“ข้ายังไม่ได้พูดกับเจ้า” ความโกรธของจ้าวสวิ่นยังไม่ดับลง เมื่อเห็นว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์โต้เถียงแทนจ้าวจื่อเจี๋ยในขณะนี้ เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เขายกมือขึ้นและชี้ไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และด่าทอ
“พี่ชายของเจ้าบ้าไปแล้ว ดีนี่! ชื่อเสียงของเจ้าสองคนพี่น้องถูกทำลายไปไม่พอ ยังพาลทำให้ตระกูลจ้าวเสื่อมเสียชื่อเสียงตามไปด้วย ถ้าตอนนั้นข้ารู้ ข้าคงไม่พาพวกเจ้ากลับมาเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษ แล้วให้เจ้ามาสร้างความอับอายให้กับตระกูลจ้าวเช่นนี้!” จ้าวสวิ่นพูดอย่างไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่สนใจสายตาที่ดุร้ายของจ้าวจื่อเจี๋ยเลย
“ท่านพ่อ ถ้าท่านดูถูกเราสองคนพี่น้องได้อย่างไรกัน แม้ท่านจะสามารถขับไล่พวกเราออกไปได้ แต่อย่าคิดว่าพวกเราชอบอยู่ในสถานที่เช่นนี้ของตระกูลจ้าว ท่านบอกว่าพวกข้าหน้าไม่อาย ไม่ละอายแก่ใจ แล้วท่านควรละอายใจมากกว่าพวกข้าหรือไม่ ท่านมีอนุภรรยาอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่พานางเข้าบ้าน ไม่ให้นางออกหน้าออกตา ข้ากับอวิ๋นเอ๋อร์เป็นลูกนอกสมรสมาโดยตลอดหลายปี ท่านบอกว่าพวกข้าหน้าไม่อาย ใช่! พวกข้าหน้าไม่อายมาโดยตลอด พวกข้าไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว พวกข้าไม่มีอะไรจะเสีย” ตอนนี้จ้าวจื่อเจี๋ยก็คลั่งมากเช่นกัน เขาสบถอย่างบ้าคลั่ง
“ถ้าไม่ใช่เพราะแม่เสือตัวนั้นที่กดขี่ท่านแม่ของข้า ท่านแม่ของข้าคงเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการของตระกูลจ้าว อวิ๋นเอ๋อร์กับข้าก็เป็นนายน้อยและคุณหนูอย่างเป็นทางการเช่นกัน เพราะแม่เสือตัวนั้น มันเป็นความผิดของนางทั้งหมด หลายปีที่ผ่านมา ลูกนอกสมรสอย่างพวกข้าถูกแม่เสือตัวนั้นทำร้ายมาโดยตลอด!”
ในขณะนั้นฮูหยินจ้าวก็เดินเข้ามาจากข้างนอกและได้ยินคำพูดของจ้าวจื่อเจี๋ยพอดี
นางแทบล้มทั้งยืน