หวงเสี่ยวได้เบิกเนตรนรกและตรวจสอบรอบๆคฤหาสน์ ไม่กี่วิต่อมา ภายในเนตรนรกก็ได้มีเปล่งแสงออกจากนั้นมันก็ได้ยิงลำแสงสองสายพุ่งขึ้นฟ้าไป นกบางตัวที่กำลังอยู่บนฟ้าก็ได้ร่วงลงมากับพื้นพร้อมกับมีเสียง ‘พึด’มาจากร่างของมัน หลังจากพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอดได้ไม่นาน พลังชีวิตของมันก็ได้เลือนหายไป
นี่ก็คือการโจมตีทางวิญญาณของเนตรนรกงั้นหรือ? ตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว นกพวกนักพวกนี้ก็ดูไม่เหมือนว่าพวกมันได้รับบาดเจ็บ
ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตแบบใหน ตราบใดที่มันเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีจิตวิญญาณอย่างนกพวกนี้ที่มีวิญญาณ ภายใต้การโจมตีทางวิญญาณของเนตรนรก วิญญาณของนกพวกนี้จะถูกทำลายทันที
อย่างไรก็ตามหวงเสี่ยวหลงก็ขมวดคิ้วในขณะที่มองดูนกตัวสุดท้ายที่อยู่บนพื้นและพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเพิ่มการบ่มเพาะพลังจิตซะแล้วสิ
พลังโจมตีทางจิตวิญญาณนั้นเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของพลังจิต ในตอนนี้ พลังจิตของหวงเสี่ยวหลงนั้นยังคงอ่อนแอเกินไป มิฉะนั้น นกพวกนี้ก็คงตายทันทีโดยไม่ดิ้นอยู่กับพื้นหลังจากร่วงหล่น
นอกจากนี้ เจ้าพวกนี้มันก็แค่นกธรรมดา จิตวิญญาณของมันเลยอ่อนแอกว่าสิ่งมีชิวิตระดับสูง ถ้าหากเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเทวะที่บ่มเพาะมานานแล้วหล่ะก็ แม้ไม่มีเคล็ดวิช่าบ่มเพาะพลังจิตแบบหวงเสี่ยวหลง พลังจิตของพวกเขานั้นก็แข็งแกร่งกว่านกพวกนี้ร้อยเท่า
ดังนั้นหวงเสี่ยวหลงจึงต้องบ่มเพาะพลังจิตเพิ่มมากขึ้น
หลังจากทดลวงพลังโจมตีทางจิตวิญญาณของเนตรนรก หวงเสี่ยวหลงก็ได้ไหลเวียนปราณเทพอสูรในร่างของเขาอีกรอบ ทำให้เนตรนรกที่อยู่บนหน้าผากของเขาก็ค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆแล้วหายไปโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งหวงเสี่ยวหลงนั้นก็ได้กลับคืนสู่ปกติ
จากนั้นหวงเสี่ยวหลงก็ได้มุ่งหน้าไปที่ห้องโถงหลักของคฤหาสน์แล้วเรียกตู่ซินและเติงกวงเหลียงมาและเขาได้สั่งให้ทั้งสองคนเชิญผู้อาวุโสนิกายอีก 3 คน
ตู่ซินและเติงกวงเหลียงก็ได้ออกจากห้องโถงหลังจากที่รับคำสั่งของหวงเสี่ยวหลงแล้ว พวกเขาก็ออกไปจากคฤหาสน์เพื่อจัดการในสิ่งที่ต้องทำ หวงเสี่ยวหลงนั้นยังคงอยู่ในห้องโถงหลักและลิ้มรสไวน์น่าคมคายอย่างช้าๆแล้วเขาก็พึมพำกับตัวเอง “รู้งี้ข้าน่าจะเอาไวน์น่าคมคายมาด้วยมากกว่านี้”
เมื่อเขาออกจากจักรวรรดิต้วนเริน ไวน์น่าคมคายที่เขาเก็บสะสมไว้ในแหวนเทพอสูรนั้นไม่ได้เยอะเท่าไหร่แถมมันก็ลดลงแทบจะทุกวัน และไวน์น่าคมคายนั้นก็เป็นไวน์ที่ดีที่สุดที่หวงเสี่ยวหลงเคยลิ้มรสมา
ทันใดนั้น หวงเสี่ยวหลงก็เงยหน้าขึ้นและได้มีแสงผ่านเข้าในดวงตาเขาราวกับปรอทในขณะที่เขาไหลเวียนปราณเทพอสูรอย่างเงียบแล้วจึงเบิกเนตรนรกในระหว่างคิ้ว เมื่อเนตรนรกได้ลืมตาเต็มที่ หวงเสี่ยวหลงก็ได้หันไปมองที่ทางเข้าหลักของคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่ที่ตู่ซินและเติงกวงเหลียงพึ่งจะกลับมาถึงพร้อมกับนำทางชายวัยกลางคนในชุดนิกายพ่อมดนภาทั้งสามเข้ามา
แต่นอกจากทั้งสามคนนี้แล้วยังมีแขกคนอื่นที่เพิ่มเข้ามาด้วย! ซึ่งก็คือชายชราตัวเล็กเล็กที่สวมชุดผ้าไหมสีแดงเพลิง
ชายชราคนนี้นั้นได้กลบกลิ่นอายของตัวเองอย่างชำนาญพร้อมกับมีคนติดตามเขามาด้วย 5 คน ร่างกายของชายชราตัวเล็กนั้นดูเหมือนโปร่งใสซึ่งทำให้เขาสามารถพรางตัวเสมือนอากาศที่อยู่รอบๆและนี่เป็นวิธีการที่หลีกเลี่ยงการตรวจจับของตู่ซินและเติงกวงเหลียงอย่างชาญฉลาด
“ดูเหมือนชายชราตัวน้อยคนนี้จะเรียกว่าเกิงเคน”หวงเสี่ยวหงก็เย้ยหยัน
พอมองดูเกิงเคนที่กลบกลิ่นอายของตัวเองและไล่ตามกลุ่มของตู่ซินและเติงกวงเหลียงมาด้านหลัง หลักฐานนี่แสดงให้เห็นว่าการกระทำของตู่ซินและเติงกวงเหลียงในการเชิญชวนผู้อาวุโสพ่อมดนภาในช่วงหลายวันมานี้ได้ไปทำให้เฒ่าชราคนนี้เกิดสงสัย แต่หวงเสี่ยวหลงก็ยังคงไม่แยแส
ณ จุดๆนี้ ชิ้นส่วนสำคัญได้มาถึงแล้ว เนื่องจากชายชราคนนี้เสนอคตัวเองมาถึงหน้าประตู เขาก็จำกำราบชราคนนี้ไปพร้อมๆกัน อย่างน้อยมันจะไม่ได้เป็นปัญหาในอนาคต
หลังจากควบคุมเกิงเคน ต่อไปก็จะเป็นตาของเฉินเสี่ยวเทียน ด้วยวิธีนี้ นิกายพ่อมดนภาก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของหวงเสี่ยวหลงอย่างสมบูรณ์
ด้วยการฝึกในปัจจุบันทำให้พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นมาก ด้วยความพยายามเล็กๆน้อย เขาก็จะสามารถทำการประตราจิตวิญญาณได้ถึงสี่คนในครั้งเดียว
ในขณะที่หวงเสี่ยวหลงกำลังคิดอยู่ในใจนั้น ตู่ซินและเติงกวงเหลียงก็ได้เดินเข้ามาในห้องโถงหลักพร้อมด้วยกลุ่มผู้อาวุโสที่มา ‘งานเลี้ยง’
ก็เหมือนๆกับปฏิกิริยาของหลินหยู เกาฉิง และหวูหงกัง ผู้อาวุโสทั้งสามก็ตกตะลึงและประหลาดใจที่หวงเสี่ยวหลงกำลังนั่งดื่มไวน์ในห้องโถงหลักในขณะที่พวกเขาเดินเข้ามา
อย่างไรก็ตามในครั้งนี้หวงเสี่ยวหลงนั้นจะไม่เสียเวลาอย่างไร้สาระ ซึ่งเขาได้พุ่งออกไปโจมตีผู้อาวุโสทั้งด้วยฝ่ามือพุทธปฐพี
ชายชราทั้งสามคนไม่คาดคิดว่าจู่ๆชายหนุ่มคนนี้จะโจมตี ทำให้พวกเขาผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาทั้งสามถูกแรงปะทะส่งลอยออกไป
“เจ้า เป็นใครกัน!?”ทั้งสามคนก็ลอยไปกระแทกพื้นอย่างรุนแรง พอเข้ากำลังลุกขึ้น ทั้งสามคนก็ตะโกนด้วยความโกรธแต่ในน้ำเสียงของพวกเขานั้นมีความกลัวแฝงอยู่
“นายน้อย!”พอเห็นหวงเสี่ยวหลงตู่ซินและเติงกวงเหลียงก็ทักทายออกมาอย่างเคารพ
“นาย….น้อย?!”การกระทำและการเอ่ยเรียกต่อหวงเสี่ยวหลงของตู่ซินและเติงกวงเหลียงนั้นทำให้ผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาทั้ง 3ถึงกับมึนงง ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเพิ่มมากขึ้น
เกิงเคนที่กำลังซ่อนกลิ่นอายอยู่นั่นก็ตกใจในขณะที่มองหวงเสี่ยวหลงจู่โจมออกไปใส่ผู้อาวุโสนิกายอย่างไม่ทันตั้งตัวและก็ตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาได้ยินตู่ซินและเติงกวงเหลียงเรียกหวงเสี่ยวหลงว่านายน้อย มันเลยทำให้ดวงตาของเขาแข็งกล้าขึ้น
ณ ตอนนี้ หวงเสี่ยวหลงก็ค่อยๆเดินไปที่ผู้อาวุโสทั้งสามอย่างช้าๆ
“ให้ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว พวกผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาที่ถูกเชิญมาด้วยตู่ซินและเติงกวงเหลียงก่อนหน้าพวกเจ้านั้น นอกจากหลินหยูที่ถูกข้าฆ่าไปนั้น ที่เหลือได้ยอมจำนนข้าเหมือนกับตู่ซินและเติงกวงเหลียง”หวงเสี่ยวหลงก็พูดในขณะที่เขาเดินมาหยุดตรงหน้าทั้งสาม
“ว่าไงนะ?!”ผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาทั้งสามคนก็หน้าซีดรากกับผีและตะโกนออกมาอย่างตกใจ ข่าวที่เขาได้ยินนี้ราวกับฟ้าผ่าในช่วงท้องฟ้าแจ่มใส
ไม่เพียงแค่ผู้อาวุโสทั้งสามเท่านั้นที่ตกใจ แม้กระทั่งเกิงเคนที่อยู่ใกล้เคียงก็ส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ
ผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาส่วนใหญ่ได้เข้าเป็นพีนธมิตรและสาบานจะรับใช้ชายหนุ่มผมดำคนนี้เป็นเจ้านายงั้นหรือ?! เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้! นี่เป็นความคิดแรกที่พุ่งเข้ามาในใจของเขา
“เป็นไปไม่ได้! เรื่องนี่ไม่ใช่เรื่องจริง!” ในตอนนั้น ผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาทั้งสามคนก็ส่ายหัวปฏิเสธ “มันไม่มีทางเป็นจริง! ใอ้สารเลว เจ้าคิดว่าพวกเราจะเชื่อเรื่องไร้สาระจากปากเจ้างั้นหรือ?! พูดมาซะว่าที่จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันและเจ้ามาเมืองปีศาจทมิฬนี้มีเป้าหมายอะไรแน่!”
พอเห็นว่าไม่มีใครสักคนเชื่อเขาเลย สีหน้าของหวงเสี่ยวหลงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้สักน้อย เขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อ ไม่เพียงแค่สามคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ยากที่จะเชื่อ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังให้ทั้งสามคนเชื่อด้วย
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับข้า” หวงเสี่ยวหลงก็ได้พูดต่อ “ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า ยอมจำนนต่อข้าหรือตายอย่างหลินหยู!”
ผู้อาวุโสทั้งสามก็หวาดกลัวและรีบออกห่างจากหวงเสี่ยวหลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสามคนเตรียมตัวจะหนี หวงเสี่ยวหลงก็พุ่งไปด้านหน้าและส่งฝ่ามือโมตีพุ่งออกไปกระแทก ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามร่วงหล่นพื้นไปอีกรอบ
หวงเสี่ยวหลงก็เย้ยหยันในขณะที่มองดูร่างทั้งสามกระแทกพื้น “จะดีกว่าหากเจ้าจะทิ้งความคิดในการหลบหนีออกไป นี่เป็นครั้งสุดท้ายของพวกเจา จะยอมจำนนหรือตาย”
“พรืด!ใอ้สารเลว เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ถึงได้กล้าฝันว่าพวกเราจะยอมจำนนแก่เจ้า! ใอ้เด็กเวร!”หนึ่งในนั้นก็ได้โมโหขึ้น “ชายชราคนนี้ก็มีเพียงชีวิตน้อยๆ ฆ่าข้าซะถ้าเจ้ากล้า!”
หวงเสี่ยวหลงก็มองใบหน้าของชายคนนั้นทีแสดงอารมณ์หุนหันพลันแล่นออกมา และเย้ยหยันซึ่งเขารู้ว่าผู้อาวุโสนิกายพวกนี้นั้นมีความคิดเดียวกับหลินหยูที่คิดว่าเขานั้นไม่กล้าฆ่าพวกมันในเมืองปีศาจทมิฬแห่งนี้
ต่อหน้าผู้อาวุโสสองคนที่เหลือและเกิงเคนที่กำลังหลบซ่อนอยู่ หวงเสี่ยวหลงก็ได้ยกมือขึ้นและชี้นิ้วออกไป ทำให้เกิดปราณรูปทรงนิ้วพุ่งออกไปเสียทะลุหน้าผากของผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาคนนั้น
ดวงตาของผู้อาวุโสคนนั้นก็เบิกกว้างออกมาอย่างตกตะลึงพร้อมกับร่างที่ล้มลงพื้น