ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1359 พี่ใหญ่ซ่ง + ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1360 ไฟไหม้

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1359 พี่ใหญ่ซ่ง

บทที่ 1359 พี่ใหญ่ซ่ง

กลุ่มหญิงโสดที่มารีบดีใจกันยกใหญ่ เมื่อเห็นชายผู้นี้หล่อเหลาราวเทพเจ้า มีหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่สวมชุดสีขาวนวลราวกับดวงจันทร์ คิ้วเรียงตัวสวยและมีดวงตางามราวภาพวาดยืนอยู่ข้างกาย แต่หญิงคนนั้นจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่กู้เสี่ยวหวาน

ในพริบตาเดียว ความตื่นเต้นในดวงตาของกลุ่มหญิงสาวหายไปในทันที พวกนางจ้องมองที่กู้เสี่ยวหวานอย่างไม่พอใจ แต่พวกนางไม่กล้าที่จะรุกรานอีกฝ่าย ได้แต่จ้องมองที่ฉินเย่จือและหันหลังกลับอย่างไม่เต็มใจและจากไป

อย่างไรก็ตาม กลุ่มหญิงสาวยังคงรวมตัวและพูดคุยกัน ทั้งยังแอบมองไปที่ฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานเป็นครั้งคราว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ พวกนางก็ยังรู้สึกไม่เต็มใจ

กู้เสี่ยวหวานจับมือฉินเย่จือแน่น “ข้าไม่รู้ว่าคืนนี้ข้าจะเป็นหนามยอกอกหญิงอีกกี่คน”

หญิงสาววิ่งเข้ามาห้อมล้อมพวกเขามากมาย และนางยังต้องยืนหยัดอยู่ตรงนี้อย่างภาคภูมิ ถ้าสายตาหญิงสาวพวกนี้เหมือนมีด นางคงถูกเฉือดเฉือนจนไม่เหลือชิ้นดี

เมื่อเห็นท่าทางเศร้าของลูกแมว ฉินเย่จือยิ้มและไม่พูดอะไร เขาหยิบโคมออกมาจากด้านหลังราวกับมีเวทมนตร์แล้วส่งให้กู้เสี่ยวหวาน “สวยหรือไม่”

กู้เสี่ยวหวานรับมันมาด้วยความประหลาดใจ โคมนี้ไม่ได้ทำมาจากกระดาษเหมือนของคนอื่น ๆ แต่โคมนี้เคลือบเงามันจนปรากฏสีสัน และรูปดอกบัวเสมือนจริงนั้นดูละเอียดประณีตมาก

“เอามาจากไหนหรือ มันสวยมาก”

โคมนี้กลายเป็นโคมที่สวยที่สุดในค่ำคืนนี้

สีเคลือบนั้นโปร่งใส แสงเทียนสีแดงสะท้อนบนสีเคลือบแต่ละชิ้น ซึ่งสวยงามและสะดุดตา

ฝูงชนพลุกพล่านเบียดเสียดกันเป็นครั้งคราว ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานไว้แน่น ปกป้องนางจากด้านข้างเพื่อป้องกันไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย กู้เสี่ยวหวานถือโคมไว้ในมือของนาง และระหว่างทางนางก็เก็บเกี่ยวความอิจฉาตาร้อนได้อย่างถ้วนหน้า

แต่สิ่งที่น่าอิจฉาที่สุดไม่ใช่โคมไฟแบบนั้น แต่เป็นการที่ฉินเย่จือไม่เคยละสายตาจากกู้เสี่ยวหวานตั้งแต่ย่างเท้าออกมาจากร้านจิ่นฝู เขาอ่อนโยนตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนดวงดาวในค่ำคืนอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยโคมไฟเงางาม

เดิมทีกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือต้องการดูโคมไฟก่อนที่จะไปเมืองหลวงและจัดงานหมั้น จากนั้นพวกเขาค่อยกลับไป อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนมากกำลังดูโคมไฟ ทว่าใครบางคนที่เขาไม่ต้องการพบเจอก็ปรากฏตัวขึ้น…

เมื่อมาถึงสถานที่ทำโคมไฟ โคมไฟนั้นถูกทำขึ้นอย่างประณีต มีคนมากมายเฝ้าดูอยู่ข้างหน้าและพูดคุยกัน

กู้เสี่ยวหวานบังเอิญเดินผ่านไป และบังเอิญได้ยินใครบางคนพูด นางจึงมองอย่างสงสัยอีกครั้ง ขณะที่นางกำลังจะจากไป ก็มีใครบางคนหยุดไว้

“แม่นางผู้นี่คือเสี้ยนจู่นี่นา… ทำไมวันนี้ท่านถึงมีเวลาออกมาดูโคมไฟล่ะ” คนที่พูดคือจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ บุตรสาวของจ้าวสวิ่น

วันนี้จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์สวมชุดสีชมพู ไหล่แคบ และเอวบางคอดทำให้หญิงผู้นี้ดูงดงามราวกับหยก

เมื่อพูดถึงรูปร่างหน้าตา จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา

คิ้วได้รูป ปากสีแดงระเรื่อ ดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความรัก ดวงตาที่สื่อความรู้สึกออกมาโดยที่ไม่ต้องเอ่ยคำว่ารัก ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะมีคำบอกรักนับไม่ถ้วน รูปร่างที่เพรียวบาง เอวที่คอดกิ่วนั้นดูเหมือนว่าคนอื่นสามารถโอบมันได้ด้วยมือเดียว ช่างมีเสน่ห์และงดงามจริง ๆ

กู้เสี่ยวหวานเคยพบกับหงซื่อมาก่อน ดังนั้นนางจึงรู้ได้โดยทันทีว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์มีหน้าตาเป็นอย่างไร

หากคำที่ว่ามีเสน่ห์และงดงามเหล่านี้ใช้กับหญิงที่แต่งงานแล้วหรือในหอนางโลม ก็ยังคงเป็นคำชมเชย แต่ถ้าใช้สองคำนี้ใช้กับหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานก็ไม่ควรพูดออกไป

ความสวยก็คือความสวย แต่ความสวยไม่สมศักดิ์ศรีเหมือนสาวโสด

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์พูดกับกู้เสี่ยวหาน แต่ในขณะที่นางพูด ดวงตาของนางไม่เคยละจากร่างของฉินเย่จือ เมื่อนางเห็นฉินเย่จือ ดวงตาและร่างกายของนางก็สั่นระริกด้วยความตื่นเต้น แต่ทันทีที่นางเห็นฉินเย่จือจับมือกู้เสี่ยวหวานแน่น ใบหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปทันที มันดำเหมือนก้อนถ่าน

กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการพูดคุยกับนาง ฉินเย่จือเองก็เหมือนกัน เขาไม่ได้หยุดเดินและจากไปทันที

มีคนไม่กี่คนที่อยู่รอบ ๆ จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์มองมาทางนี้ และพวกเขาทั้งหมดมองร่างที่กำลังเดินจากไปของฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานอย่างอยากรู้อยากเห็น

นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่ชี้แนะความจริง มองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยเจตนาร้าย ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความดูถูก

เมื่อจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ถูกผู้อื่นดูหมิ่นเหยียดหยาม กู้เสี่ยวหวานผู้นี้มีความกล้าที่จะไม่แม้แต่จะทักทาย นางไม่มีการศึกษาจริง ๆ

“คนบางคนก็ไม่ได้รับการสั่งสอน โง่เขลาถึงขั้นไม่รู้จักการทักทายผู้อื่นเมื่อพบกัน ไม่เว้นแม้แต่เสี้ยนจู่อันผิง” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เพิ่งพูดวาจาดูถูกเหยียดหยาม แต่เมื่อเห็นฉินเย่จือหันมามองตนเอง นางพลันรู้สึกตกตะลึง

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เคยเห็นเขายิ้มให้นาง แต่นางไม่เคยสังเกตเห็นความเย็นชาในดวงตาของเขาเมื่อเขามองนาง นางตื่นเต้นมากจนไม่สามารถสงวนกิริยาไว้ได้ นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและมองไปที่ฉินเย่จืออย่างประหลาดใจ “พี่ใหญ่ฉิน”

นางมีความเขินอายอย่างหญิงสาว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นขั้นตอนต่อไป จู่ ๆ จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าริมฝีปากของนางรู้สึกเจ็บราวกับถูกเข็มทิ่ม และนางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด “อ๊า!”

ในคืนนี้เต็มไปด้วยเสียงจอแจของผู้คน เสียงร่ำไห้ที่น่าสังเวชนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยกมือปิดปากและกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างรีบเข้าไปปลอบจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ “อวิ๋นเอ๋อร์ อวิ๋นเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป”

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เอาแต่คร่ำครวญและไม่พูดอะไร ดวงตาคู่งามที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาพลันหันมองชายหนุ่มด้วยความเจ็บปวด จากนั้นชี้ไปที่คนข้างหน้าและตะโกน “พี่ใหญ่ซ่ง เป็นนางที่ทำข้า ปากข้าเจ็บมาก!”

กู้เสี่ยวหวานมองย้อนกลับไปและเห็นจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์นอนอยู่ในอ้อมแขนของชายคนนั้นที่นางเรียกว่าพี่ใหญ่ซ่งด้วยสีหน้าเจ็บปวด กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ฉินเย่จือ จากนั้นพวกเขาก็หันกลับมาและจับมือกัน

เมื่อเห็นว่าผู้ร้ายที่ทำให้ลูกพี่ลูกน้องขุ่นเคืองกำลังจะเดินจากไป ชายที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ซ่งก็รีบตะโกน “พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้ารังแกคนแล้วยังคิดจะจากหนีอีกหรือ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ให้คนมาจับพวกเขาไว้!”

จากนั้นผู้คนในฝูงชนเจ็ดหรือแปดคนที่แต่งตัวเหมือนกัน ซึ่งดูเหมือนคนรับใช้ก็ออกมาล้อมกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จืออย่างว่องไว

 


 

บทที่ 1360 ไฟไหม้

บทที่ 1360 ไฟไหม้

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติกับปากของตนเองและยังคงปิดปากด้วยผ้าเช็ดหน้า เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาของนางก็สว่างขึ้นและหยุดร้องไห้ทันที นางลุกขึ้นจากอ้อมแขนของซ่งเหลียนเฉิงและเดินไปข้างหน้าด้วยสายตาที่ชั่วร้าย “กู้เสี่ยวหวาน เจ้ากล้าทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร เจ้ากล้ามากนะ อย่าคิดว่าเจ้าสามารถทำทุกอย่างได้เพราะเป็นเสี้ยนจู่”

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์จ้องมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความโกรธ จากนั้นมองไปที่ฉินเย่จืออย่างเศร้าสร้อย

เจ็บปากเหมือนเข็มทิ่ม แต่ตอนนี้กลับชาไปหมด ชาจนพูดไม่ชัด

ซ่งเหลียนเฉิงเอามือเท้าสะโพกแล้วจ้องมองคนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขา

ผู้ชายคนนี้หล่อจริง ๆ

ผู้หญิงที่อยู่ถัดจากชายคนนี้ยังมีท่าทางที่อ่อนโยนและดวงตาที่สวยงาม แม้ว่าเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องของเขา สีดวงตาของนางจะอ่อนกว่าเล็กน้อย แต่นางก็บอบบางและสง่างาม นางจึงงดงามกว่าลูกพี่ลูกน้องของเขามาก

ซ่งเหลียนเฉิงชำเลืองมองกู้เสี่ยวหวาน ในดวงตาคู่นั้น แม้มันจะเป็นเพียงชั่วพริบตา แต่กู้เสี่ยวหวานก็เห็นมัน โดยเฉพาะฉินเย่จือที่อยู่ข้าง ๆ เขาขมวดคิ้วจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตามุ่งร้าย ปกป้องกู้เสี่ยวหวานที่อยู่ด้านหลังและไม่สนใจคนรับใช้ทั้งเจ็ดที่ล้อมรอบพวกเขา

ท่าทางที่ไม่แยแสของสองคนนี้ทำให้ซ่งเหลียนเฉิงโกรธมาก

เขาสาปแช่งอย่างดุเดือด “พวกเจ้าสองคนรังแกลูกพี่ลูกน้องของข้าแล้วจะหนีไปหรือ มันไม่ง่ายหรอกนะ”

ลูกพี่ลูกน้อง

ชายคนนี้ดูเหมือนจะอายุประมาณยี่สิบปี และเขามีรูปร่างที่บอบบางและดูดี แต่เนื่องจากรอบดวงตามีสีคล้ำและร่างกายของเขาก็ซูบผอม ดูเหมือนว่าหากถูกลมกระโชก คงจะสามารถพัดเขาให้ล้มลงได้ทุกเมื่อ

คนผู้นี้ดูไม่แข็งแรงและผอมแห้ง เขาดูค่อนข้างอ่อนแอราวกับว่าในร่างกายของเขาเป็นโพรง

กู้เสี่ยวหวานซ่อนตัวอยู่ข้างหลังฉินเย่จือ และนางก็ไม่ต้องการมองเขาคนนั้นเช่นกัน

เมื่อเห็นสาวน้อยน่ารักที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังจนไม่สามารถเห็นนางได้ ซ่งเหลียนเฉิงก็ยิ่งโกรธ “เจ้าเป็นอะไร กล้ารังแกลูกพี่ลูกน้องของข้าได้อย่างไร พวกเจ้า! จับคนเหล่านี้เสีย”

กลุ่มคนรับใช้ในครอบครัวเจ็ดหรือแปดคนล้อมรอบฉินเย่จือไว้ หากแต่เขาก็ยังดูเฉยเมย

ในตอนแรกดวงตาของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและจองหอง แต่ราวกับว่านางนึกอะไรบางอย่างออก นางพูดด้วยความหวาดกลัว “ท่านพี่ซ่ง อย่าเลย”

แต่มันสายเกินไปแล้ว… จากนั้นก็เห็นคนรับใช้เจ็ดหรือแปดคนรีบพุ่งไปหาฉินเย่จืออย่างเย่อหยิ่งตามคำสั่งของซ่งเหลียนเฉิง

เมื่อได้ยินเสียงกำปั้นและเสียงเตะต่อย ซ่งเหลียนเฉิงก็หันศีรษะไปปลอบจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล คนรับใช้ของข้าทั้งหมดมีฝีมือ ข้าจะให้พวกเขาจับคนที่รังแกเจ้าและจะทำให้พวกเขาขอโทษเจ้า”

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่สามารถฟังคำพูดของซ่งเหลียนเฉิงได้อีกต่อไป นางมองภาพตรงหน้าด้วยความสยดสยอง

ผ้าเช็ดหน้าในมือปิดปากที่อ้าค้างของนางไว้ ดวงตาของนางเบิกกว้างและใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

ซ่งเหลียนเฉิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเขามองย้อนกลับไป กรามของเขาแทบจะหลุดด้วยความตกใจ

ทันทีที่เขาหันกลับมา คนรับใช้ทั้งหมดที่เขาภาคภูมิใจก็ถูกทุบตีจนนอนหมดสภาพอยู่กับพื้น ร้องไห้คร่ำครวญและขยับตัวไม่ได้

หลังจากที่ซ่งเหลียนเฉิงรู้สึกประหลาดใจ เขาก็สาปแช่งด้วยความโกรธ “เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ข้าจะเลี้ยงเจ้าไปทำไม คนจำนวนมากแต่ไม่สามารถเอาชนะใครได้!”

จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองฉินเย่จือ ฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานยังคงมองเขาอย่างเย็นชา

ถ้วยเคลือบในมือของเขาเป็นประกาย ราวกับความอัปยศที่บีบคั้นหัวใจของซ่งเหลียนเฉิงอย่างสุดซึ้ง

“เจ้าเป็นใคร บอกชื่อเจ้ามาเดี๋ยวนี้! เมื่อข้ากลับไปตามคน ข้าจะไปชำระบัญชีแค้นกับเจ้า” ซ่งเหลียนเฉิงไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า แต่เขากำลังแสดงความกล้าหาญของเขาต่อหน้าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ ในแง่หนึ่งเขายังไม่กล้าที่จะวิ่งหนี แต่ยังคงสาปแช่งอย่างโอหัง แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาสูญเสียความมั่นใจไปอย่างสิ้นเชิง

ฉินเย่จือไม่ต้องการให้ความสนใจกับสุนัขที่เอาแต่เห่า แต่เพียงแค่มองไปที่กู้เสี่ยวหวาน จากนั้นก็หันกลับมาและเตรียมจะจากไป

ซ่งเหลียนเฉิงผู้นี้คิดว่าเขาอยู่ในดินแดนของตัวเองและเขาก็มีนิสัยโหดเหี้ยม ใครก็ตามที่เห็นเขาแล้วต้องเรียกตัวเองว่านายน้อยซ่งด้วยความเคารพ แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร? เมื่อมาถึงที่นี่ ผู้คนไม่แม้แต่จะพูดกับเขาสักคำ ทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างมาก และนี่ยังอยู่ต่อหน้าสาวงามอีก

เขา… ซ่งเหลียนเฉิงจะไม่มีวันยอมแพ้ต่อหน้าผู้หญิง!

นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เขาเสียหน้า

ในขณะนี้ ใบหน้าของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ความงามที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ซ่งเหลียนเฉิงจะทำให้นางเสียใจ ผิดหวัง และโศกเศร้าเช่นนี้ได้อย่างไร?

ซ่งเหลียนเฉิงรีบปลอบโยนสาวงามข้าง ๆ เขา “เจ้าไม่ต้องเสียใจไป ข้าจะทวงความยุติธรรมให้เจ้าอย่างแน่นอน”

จากนั้นเขาก็ตะโกนอย่างดุดัน “พวกเจ้าสองคนหยุดเดี๋ยวนี้!”

ฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานไม่สนใจอีกฝ่ายและก้าวเดินต่อไป

ทว่าทันใดนั้น ซ่งเหลียนเฉิงก็ตัดสินใจทำสิ่งที่เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิต มีโคมตกอยู่ด้านข้าง เขาฉีกมันขาดเป็นเสี้ยวแล้วโยนใส่พ่อค้าขายประทัดและดอกไม้ไฟที่กู้เสี่ยวหวานอยู่เดินผ่าน ทันทีที่สะเก็ดไฟไปโดน… เพียงชั่วพริบตาดอกไม้ไฟกับประทัดพลันติดไฟ ทำให้เกิดเสียงดังและเกิดการระเบิดขึ้น

ในเวลานี้ ฝูงชนดูราวกับหม้อที่มีน้ำมันกำลังเดือดพล่าน และโต๊ะที่เต็มไปด้วยดอกไม้ไฟและประทัดก็ถูกจุดขึ้นเรื่อย ๆ เศษประทัดที่ระเบิดกระเด็นกระจายไปทั่ว กระเด็นไปโดนผ้าและของที่ติดไฟง่าย โดนร้านของพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยอื่น ๆ เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ไฟก็ลุกโชนขึ้น เมื่อประเมินจากสายตา กว่าครึ่งของร้านค้าริมทางถูกไฟไหม้จนวอดวาย

“ไฟไหม้ ไฟไหม้ ทุกคนหนีเร็ว!”

ตอนนี้มีคนวิ่งหนี มีคนตะโกน และมีคนหยิบของ ถนนที่เป็นระเบียบเมื่อครู่กำลังวุ่นวาย ทุกอย่างเละเทะไปหมด

ฉินเย่จืออุ้มกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขนของเขา และพยายามหลบเลี่ยงฝูงชนที่วุ่นวาย

กู้เสี่ยวหวานมองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าของนางด้วยความหวาดกลัว ไฟยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นฤดูร้อนและอากาศก็ร้อนอบอ้าว ตราบใดที่ประกายไฟสัมผัสกับบางสิ่งมันจะลุกไหม้ทันที นอกจากนี้ยังมีลมพัด เมื่อลมพัดไฟก็ยิ่งลุกลามเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท