บทที่ 1361 ช่วยคน
บทที่ 1361 ช่วยคน
“ท่านพี่เย่จือ ข้าจะทำอย่างไรดี” ผู้คนมากมายที่มาชมความสวยงามของโคมและไหว้พระจันทร์ ชายหนุ่มและหญิงสาวเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจึงไม่ต้องกังวลอะไร ทว่าที่นี่ยังมีผู้สูงวัยและเด็กเล็กที่ถือโอกาสนี้ออกมาหารายได้ พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้
ในขณะนี้บางคนกำลังร้องไห้และพยายามดับไฟเพื่อคว้าสิ่งของ และมีคนวิ่งเข้าไปในกองไฟอย่างสิ้นหวังเพื่อช่วยชีวิตผู้ตน แต่เปลวเพลิงมีขนาดใหญ่เกินไป
หญิงสาวกอดลูกของนางและร้องไห้อย่างสิ้นหวัง สิ่งนี้เป็นของครอบครัวทั้งหมด และตอนนี้มันถูกเผาหมดแล้ว
มีคนชราบางคนที่คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา “ของของข้า ของของข้า!”
บ้านหลายหลังที่สร้างด้วยไม้ หากไฟลุกลามไปถึงคงเป็นเรื่องที่ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการ
กู้เสี่ยวหวานหันหน้าไปมองซ่งเหลียนเฉิงที่ยืนอยู่เมื่อครู่ แต่ตอนนี้นั้นไร้ร่องรอย จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ ซ่งเหลียนเฉิง และคนรับใช้ที่กำลังนอนอยู่บนพื้นและแสร้งทำเป็นตายในเมื่อครู่ ตอนนี้พวกเขาหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉินเย่จือกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของกู้เสี่ยวหวาน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ หากเขาไม่ช่วยชีวิตผู้คน เขากลัวว่าจะมีคนได้รับบาดเจ็บ
ฉินเย่จือมองไปรอบ ๆ และทันใดนั้น เขาก็กอดกู้เสี่ยวหวานและดีดตัวไปยังที่ปลอดภัย ก่อนจากไป เขาก็บอกกู้เสี่ยวหวานอย่างระมัดระวัง “หวานเอ๋อร์ อยู่ที่นี่และอย่าไปไหน ข้าจะกลับมาโดยเร็วที่สุด”
กู้เสี่ยวหวานกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของคนเหล่านั้น นางพยักหน้าเห็นด้วยและพูดอย่างกระวนกระวาย “ตกลง ข้าจะรอท่านที่นี่ ท่านระวังตัวด้วย”
ฉินเย่จือมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างเป็นกังวล แล้วจากไปโดยไม่หันกลับมามอง กู้เสี่ยวหวานมองตามแผ่นหลังของฉินเย่จือที่จากไปโดยไม่กะพริบตา สายตาของนางมองตามเขาไปตลอดเวลา แต่ด้วยฝูงชนที่พลุกพล่าน และตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ กู้เสี่ยวหวานมองหาเขาเป็นเวลานาน แต่ก็มองไม่เห็น
ทว่าโคมไฟเคลือบในมือทำให้หัวใจของนางสงบสุข
กู้เสี่ยวหวานยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ และเมื่อมีคนมาช่วยดับไฟมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดของไฟก็เล็กลงเรื่อย ๆ และหัวใจของกู้เสี่ยวหวานก็กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นว่า “ไม่ดีแล้ว มีคนถูกกระแทกและมีคนช่วยคนจากกองไฟแล้ว แต่เขายังไม่ออกมา ชายหนุ่มคนเมื่อครู่…”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินคำว่าชายหนุ่ม หัวใจของหญิงสาวก็กระตุกอีกครั้ง นางจะสนใจสิ่งที่ฉินเย่จือบอกให้นางรอที่นี่ได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงรีบวิ่งเข้าไปในที่เกิดเหตุไฟไหม้ อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นนางไม่รู้ว่าจะมีของขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาใส่
กู้เสี่ยวหวานไม่ทันมีเวลาหลบ นางรู้สึกเพียงว่าร่างกายของตนถูกกระแทกอย่างแรง จากนั้นก็ถูกเหวี่ยงไปด้วยแรงมหาศาล และโคมในมือของนางก็ร่วงหล่นลงมา
กู้เสี่ยวหวานถูกเหวี่ยงเข้าไปในกองไฟทันที
ทุกคนมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ จากนั้นได้ยินเสียงตะโกน “ไม่ดีแล้ว มีคนตกลงไปในกองไฟ!”
เมื่อเห็นเช่นนี้จึงมีคนรีบไปดูและพยายามจับผู้ร้าย แต่คนผู้นั้นหายไปอย่างรวดเร็วในตอนกลางคืนและไม่มีใครพบเห็นอีกเลย
“รีบไปช่วยคน คนที่อยู่ข้างในคือท่านเสี้ยนจู่ เร็วเข้า!” มีคนตะโกนขึ้นเสียงดัง
ฉินเย่จือกำลังช่วยชาวบ้านที่กำลังแข่งกับไฟเพื่อคว้าสิ่งของ แม้ว่าเขาจะเก็บมาได้ไม่มาก แต่เขาก็พยายามอย่างดีที่สุด อย่างน้อยก็ลดการสูญเสียลงบ้าง
ในขณะที่เขากำลังยุ่งอยู่ก็ได้ยินคนตะโกนว่า เสี้ยนจู่ตกลงไปในกองไฟ เขารู้สึกตกใจมากและรีบไปดูยังสถานที่ที่กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ หากแต่ก็ไม่พบร่างที่คุ้นเคย โคมของกู้เสี่ยวหวานตกอยู่ที่บนพื้น ทันใดก็มีคนชี้มาที่เขาแล้วตะโกนว่า “เสี้ยนจู่อยู่ข้างใน!”
ฉินเย่จือพุ่งเข้าไปในทะเลเพลิงด้วยความตกใจ “หวานเอ๋อร์”
คนข้างนอกเห็นฉินเย่จือพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ที่หน้าประตูมีคนกำลังช่วยกันดับไฟ แต่หลังจากรอเป็นเวลานานก็ไม่มีใครข้างในออกมา
ทันใดนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง “จบแล้ว จบแล้ว เสี้ยนจู่อันผิงคงจะ…”
“โอ้สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไร นี่มันเรื่องอะไร พวกเขายังเป็นเด็ก ทำไมมันเป็นแบบนี้”
ขณะที่ทุกคนคร่ำครวญ แต่เมื่อพวกเขามองอีกครั้ง พวกเขาเห็นร่างที่หล่อเหลาและสูงตระหง่านพุ่งออกมา
ชายผู้นั้นอุ้มร่างที่บอบบางไว้ในอ้อมแขน ทุกคนต่างเบิกตากว้าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนอย่างเศร้าสร้อย “ลูกชายของข้า ลูกชายของข้ายังอยู่ข้างใน!”
หญิงอ้วนที่มีลูกอยู่ในอ้อมแขนก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
นางให้กำเนิดลูกสองคน คนเล็กอยู่ในอ้อมแขนของนาง ส่วนคนโตบอกว่าต้องการพักเพราะรู้สึกเหนื่อย นางจึงวางเด็กไว้บนเตียงเล็กหลังโต๊ะ
เมื่อไฟกำลังลุกไหม้ นางก็จำได้เพียงว่าต้องรีบวิ่งหนีออกไปกับลูกคนเล็ก จนลืมลูกชายคนโตที่อยู่ข้างใน
ในขณะนี้นางกำลังจะพุ่งเข้าไปในทะเลเพลิง ก็เอาแต่โอดครวญอย่างเศร้าสร้อย “ลูกของข้า ลูกชายของข้า!”
ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อค้าแม่ค้าข้างทางรั้งนางไว้ นางคงพุ่งเข้าไปในเปลวเพลิงอย่างไม่ลังเล
ฉินเย่จือรีบวิ่งออกไปพร้อมกับกู้เสี่ยวหวานในอ้อมแขน โดยที่กู้เสี่ยวหวานอุ้มบางอย่างไว้ในอ้อมแขน ทันใดนั้น คนในอ้อมแขนก็ตะโกนขึ้น “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่”
ผู้หญิงวิ่งเข้าไปอย่างสิ้นหวัง ครั้นได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังและฝีเท้าของนางหยุดลง นางหันกลับไปมองและเห็นร่างเล็ก ๆ ที่คุ้นเคยวิ่งมาหานาง “ท่านแม่ ท่านแม่”
เมื่อครู่ผู้หญิงคนนี้ยังคงดูไร้ชีวิตชีวาและสิ้นหวัง แต่ในขณะนี้นางมีความสุขมากและร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ “ลูกของข้า ลูกชายของข้า!”
นางกอดลูกไว้ในอ้อมแขนราวกับสมบัติที่หายไปแล้วได้กลับคืนมา
ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานในอ้อมแขนแน่น เมื่อครู่เขายังคงตกใจ แต่ในขณะนี้ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียวิญญาณไปแล้ว จึงถามต่อไปว่า “หวานเอ๋อร์ บาดเจ็บตรงไหมหรือไม่ เจ็บตรงไหนหรือไม่”
หัวใจของฉินเย่จือบีบรัดแน่น เมื่อครู่นี้ตอนที่เขาได้ยินคนพูดว่าเสี้ยนจู่อยู่ในเปลวเพลิง สวรรค์ต่างรู้ดีว่าเขาหวาดกลัวแค่ไหน
บทที่ 1362 ฝากไว้ก่อน
บทที่ 1362 ฝากไว้ก่อน
หากตอนนั้นถ้าหวานเอ๋อร์…
เขาไม่กล้าคิดเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย มันเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเขาทั้งเป็นเสียอีก เขารีบพุ่งเข้าไปอย่างสิ้นหวัง และตะโกนเรียกเสียงดัง “หวานเอ๋อร์! หวานเอ๋อร์!”
เสียงเรียกจากข้างในลอยเข้ามาในหู “ท่านพี่เย่จือ ข้าไม่เป็นไร มีเด็กอยู่ที่นี่”
พอได้ยินเสียงลูกแมวตัวน้อยของตนเองก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นว่ามีเด็กนอนร้องไห้อยู่บนเตียงหลังเล็ก
กู้เสี่ยวหวานรีบปลอบเขา “อย่าร้องไห้ พี่สาวจะพาเจ้าออกไป”
จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน และมีฉินเย่จืออุ้มนางในท่าเจ้าสาวอีกที ข้ามสิ่งกีดขว้างที่พร้อมจะตกลงมาได้ทุกเมื่อและรีบออกไปจากเปลวเพลิง
“ขอบคุณท่านเสี้ยนจู่ ท่านคือผู้มีพระคุณของข้า ท่านคือท่านพ่อท่านแม่ที่ให้กำเนิดลูกข้าอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ฮือ ฮือ ฮือ” เมื่อหญิงได้ยินลูกของตนเองพูดว่าอีกฝ่ายคือเสี้ยนจู่ นางจึงคุกเข่าลงต่อหน้ากู้เสี่ยวหวาน “เสี้ยนจู่ ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ และข้าจะตอบแทนบุญคุณของท่าน ไม่ว่าจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะยอมทำทุกอย่าง”
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ รีบปรี่เข้ามา และเมื่อพวกเขาได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนช่วยชีวิตเด็กไว้ พวกเขาทั้งหมดได้ยกย่องสรรเสริญ “ขอบคุณเสี้ยนจู่ ขอบคุณเสี้ยนจู่ เด็กคนนี้คือชีวิตของนาง ถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็… เฮ้อ…”
คนผู้นั้นไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ และมองไปที่เด็กในอ้อมแขนของหญิงผู้นั้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ผู้คนรอบข้างรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือทำ และบางคนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “คนที่ชนเสี้ยนจู่อันผิงดูเหมือนจะเป็นคนรับใช้ที่ถูกนายน้อยฉินจัดการในเมื่อครู่”
“ใช่แล้ว ข้าก็เห็น แม้ว่าสถานการณ์จะวุ่นวาย แต่ข้าก็สามารถเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นที่ชนเข้ากับเสี้ยนจู่ได้อย่างชัดเจน” ใครบางคนก็พูดขึ้นเช่นกัน
ครั้งนี้ฉินเย่จือรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน แววตาของเขานิ่งสงบ แต่หัวใจของเขากำลังรู้สึกปั่นป่วนแล้ว
ตระกูลจ้าว… ตระกูลจ้าวอีกแล้ว!
เมื่อกลับมาถึงสวนกู้ ทั้งฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมือง และเนื่องจากความมืด เสื้อผ้าของกู้เสี่ยวหวานที่มีเต็มไปด้วยคราบฝุ่นจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ฉินเย่จือถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วสวมทับร่างของกู้เสี่ยวหวาน
อาจั่วรู้เรื่องนี้ หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ นางก็รู้สึกหวาดกลัวมากจนลูกตาเกือบจะหลุดออกมา จากนั้นนางก็กำหมัดแน่น ดวงตาฉายแววดุร้าย
“หวานเอ๋อร์และข้ากำลังจะหมั้นกันในอีกสองวัน ในเวลานี้ ข้าไม่ต้องการให้มีปัญหาอีกต่อไป และข้าไม่ต้องการได้ยินข่าวร้ายในวันแห่งความสุขนี้” ฉินเย่จือแสดงความเป็นศัตรูออกมาอย่างเต็มเปี่ยม แต่เมื่อพูดถึงหวานเอ๋อร์ ความอ่อนโยนลึกล้ำก็ฉายแววในดวงตาของเขา
“ช่วงนี้เจ้าควรปกป้องหวานเอ๋อร์ให้ดี และหลังจากเสร็จสิ้นงานหมั้นก็ส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้กับตระกูลจ้าว” เมื่อฉินเย่จือกล่าวถึงตระกูลจ้าว ดวงตาของเขาก็มืดมนขึ้นทันที
อาจั่วตอบว่า “นายท่าน จานหงอวี้คนนั้นจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่งานหมั้นเสร็จสิ้นแล้ว เราค่อยให้นางลงมือ”
ฉินเย่จือพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ และทั้งห้องก็จมดิ่งสู่ความมืดอีกครั้ง ยกเว้นแสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง
ทันใดนั้น ฉินเย่จือก็ลืมตาขึ้น และแสงที่น่ากลัวก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา
หากกล้าที่จะแตะต้องคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของหัวใจเขา ก็ต้องโทษที่พวกเขารนหาที่ตาย
แสงเย็นวาบผ่านไป และเขาก็ได้ยินเสียงที่นุ่มนวลของหวานเอ๋อร์ดังมาจากประตูถัดไป เสียงที่นุ่มนวลราวกับคำสาปซึ่งทำให้หัวใจของเขาหลอมละลายลง และดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไป ความหนาวเย็นเมื่อครู่นี้ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
วันนี้อากาศร้อนจัด กู้เสี่ยวหวานกำลังเตรียมจะอาบน้ำ และนางไม่ชอบให้คนอื่นมาคอยปรนนิบัติ ยิ่งกว่านั้น เมื่อถึงเวลาอาบน้ำก็จะต้องเปลือยกาย แต่อาจั่วยืนกรานที่จะเข้ามา และนางก็ไม่สามารถขับไล่อาจั่วออกไปได้…
เมื่อไม่มีทางเลือก กู้เสี่ยวหวานทำได้เพียงให้นางอยู่ต่อ “เมื่อช่วยข้าถอดเสื้อผ้าชั้นนอกออกเสร็จ เจ้าก็ออกไปได้แล้ว”
อาจั่วตอบรับและเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อช่วยกู้เสี่ยวหวานถอดเสื้อผ้า นางไม่อยากแม้แต่จะกะพริบตาและมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเพื่อดูว่ามีแผลเป็นบนร่างกายของกู้เสี่ยวหวานหรือไม่
เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังและประหม่าของนาง กู้เสี่ยวหวานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “อาจั่ว ทำไมเจ้าถึงประหม่าขนาดนี้”
อาจั่วรู้ว่าตัวเองประหม่าเกินไป แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เจ้านายเตือนนางเมื่อครู่นี้ นางจ้องมองที่ผิวหนังทั่วร่างกายของกู้เสี่ยวหวานอย่างประหม่าอีกครั้ง
เมื่อกู้เสี่ยวหวานถอดเสื้อผ้าของนางออก และมีเพียงชุดชั้นในชิ้นสุดท้าย อาจั่วจ้องมองร่างกายของนางแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง
รอยฟกช้ำที่ข้อศอกทั้งสองข้างของกู้เสี่ยวหวานอาจเป็นเพราะนางถูกกระแทกจึงมีรอยฟกช้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ
อาจั่วจ้องไปที่รอยฟกช้ำทั้งสอง และกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว
เนื่องจากอาจั่วออกมาแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงไม่เห็นความทุกข์ใจและสายตาตำหนิตนเองในสายตาของอาจั่ว
โชคดีที่แขนมีรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อย่างนั้น…
เมื่อเห็นว่าร่างด้านหลังม่านก้าวเข้าลงไปอ่างอาบน้ำ อาจั่วปิดประตูหันหลังกลับและเดินไปที่ห้องของฉินเย่จือ
…
สำหรับจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ เมื่อนางได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานยังสบายดี และนางช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งไว้ ทั้งยังได้รับคำชมจากผู้คนมากมาย มันทำให้นางโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่ ทำไมกู้เสี่ยวหวานถึงมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ การผลักนางเข้าไปในกองไฟกลับไม่ได้เผานางจนตาย แต่ทว่าทำให้ชื่อเสียงของนางเพิ่มมากขึ้น ท่านพี่ ตอนนี้ข้ารอไม่ไหวแล้วที่จะฉีกนางเป็นชิ้น ๆ!” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ตะคอกอย่างดุร้าย นางดูไม่เหมือนคุณหนูของตระกูลอันสูงส่ง แต่เป็นผู้หญิงขี้อิจฉาตามท้องตลาด
“ดูเหมือนว่านางไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ แต่นางกลับมีทุกอย่าง หากไม่ใช่เพราะสถานะเสี้ยนจู่ นางคงไม่มีวันได้แต่งงานกับตระกูลจ้าวของเรา” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ตะคอกอย่างเย็นชา “แต่นี่พวกเรากลับต้องไปขอร้องนาง”
ตอนนี้บาดแผลของจ้าวจื่อเจี๋ยเกือบจะหายดีแล้ว หากแต่มันก็ทิ้งรอยแผลเป็นนูนเหลือไว้และไม่มีทางจะรักษาได้
บาดแผลบนร่างกายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว แต่ยังคงมีรอยแผลเป็นอยู่ตรงกลางใบหน้า เดิมทีมีดวงตาที่สวยงาม ตอนนี้กลับดูดุร้ายผิดปกติ