บทที่ 1363 ทำให้เสียโฉม
บทที่ 1363 ทำให้เสียโฉม
“หญิงน่าขยะแขยงอย่างกู้เสี่ยวหวาน หากข้าไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้นางไปเลย” จ้าวจื่อเจี๋ยเอ่ยอย่างดุร้าย จากนั้นมองไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ตอนนั้นพวกเจ้ามันโง่ หากพวกเจ้านำตัวนางไป แล้วฉินเย่จือมาพบได้อย่างไร โง่จริง ๆ แม้ว่าจะผลักนางเข้าไปในกองเพลิง แต่กลับทำอะไรนางไม่ได้ กลายเป็นว่าความซวยมาตกอยู่ที่เรา”
มีคนมารายงานแล้วว่าชาวบ้านหลายคนเห็นว่าคนที่ทำร้ายกู้เสี่ยวหวานเป็นคนของซ่งเหลียนเฉิง
ถ้าเป็นคนของซ่งเหลียนเฉิน แสดงว่ามาจากตระกูลจ้าว
การที่ฉินเย่จือไม่ได้เอาเรื่องตระกูลจ้าวในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เอาเรื่องตระกูลจ้าวในอนาคต ฉินเย่จือนับได้ว่าเป็นคนที่น่ากลัว
ใบหน้าของจ้าวจื่อเจี๋ยเต็มไปด้วยความดุร้าย รอยแผลเป็นบนใบหน้ายิ่งขับให้เขาดูน่ากลัว
“ท่านพี่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่นั่งข้างอยู่ ๆ รู้สึกถึงความสยดสยองที่พวยพุ่งออกมาจากตัวเขา
“กำลังทำอะไรอยู่น่ะรึ! หึ! ฉินเย่จือผู้นั้นชอบกู้เสี่ยวหวานไม่ใช่หรือ เขาไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่ พวกเราต้องรีบเผาพวกเขาให้ไม่เหลือซาก แล้วพวกเราจะพ้นภัย” จ้าวจื่อเจี๋ยหัวเราะอย่างน่ากลัว
รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าผี
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั้งตัว “ท่านพี่ ท่านอยากตายหรือ ทำเช่นนั้นท่านจะถูกตัดหัวเอาได้!”
“เหอะ! วันนี้พวกเจ้าผลักกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในกองเพลิง ทำไมเจ้าไม่คิดบ้างว่าถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และเจ้าจะถูกตัดหัว สุดท้ายเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี เช่นนั้นแล้วทำไมเราไม่ยืมมือคนอื่นสักสองสามคนล่ะ”
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์มองไปที่จ้าวจื่อเจี๋ยและรู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังจะเป็นบ้า “ท่านพี่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ? ท่านกำลังจะลากตระกูลจ้าวลงเหวกันหมด”
จ้าวจื่อเจี๋ยเสียสติไปแล้ว ตั้งแต่เอาผ้าพันแผลออก เขาก็แทบจะเป็นบ้าตั้งแต่เห็นใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลากลายเป็นแบบนี้ “ต้องขอบคุณหญิงเลวคนนั้น ที่ข้ากลายเป็นแบบนี้เพราะกู้เสี่ยวหวาน ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ตอนนี้หน้าข้าคงไม่เป็นเช่นนี้”
จ้าวจื่อเจี๋ยพูดอย่างบ้าคลั่ง “อวิ๋นเอ๋อร์ ไปขอร้องลูกพี่ลูกน้องของเจ้า พี่ชายของเจ้าคนนั้นชอบเจ้าไม่ใช่หรือ ไม่ว่าเจ้าจะขอร้องอะไร เขาก็จะทำตามเจ้าทุกอย่าง เจ้าไปขอร้องเขาให้หาคนที่มีทักษะต่อสู้ระดับสูงมาให้ข้า”
“ท่านพี่ ท่านกำลังพูดถึงอะไร” แก้มของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กลายเป็นสีแดงอย่างอธิบายไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อซ่งเหลียนเฉิง
“อวิ๋นเอ๋อร์ ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้า ข้าต้องแก้แค้น”
“แต่ว่าท่านพี่ แล้วตระกูลจ้าว…” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังคงกังวลเล็กน้อย เพราะหากครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานถูกฆ่าตายจริง ๆ มันจะเป็นอาชญากรรมร้ายแรง
“เจ้าอย่ากลัวไปเลย” จ้าวจื่อเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลจ้าวก็ไม่เหลืออะไรแล้ว เป็นแค่เปลือกจอมปลอม มาใช้โอกาสนี้ฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวกันเถอะ”
เสียงของจ้าวจื่อเจี๋ยลดต่ำลงเรื่อย ๆ เขาโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วพูดอะไรบางอย่างกับจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยแววตาที่มีความสุขและเคร่งขรึม จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ค่อนข้างลังเลเล็กน้อยในตอนแรก แต่หลังจากที่จ้าวจื่อเจี๋ยเกลี้ยกล่อม นางก็พยักหน้าตอบรับ ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ข่าวที่ว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังจะหมั้นนั้นแพร่กระจายในร้านจิ่นฝู
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แม้ว่านางจะบอกว่างานหมั้นเป็นเพียงเรื่องธรรมดา และนางก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย แต่นางก็ต้องการให้ทุกคนรู้เรื่องนี้
สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติของนางที่มีต่อฉินเย่จือ
เมื่อนึกถึงวิธีที่ฉินเย่จือขอนางแต่งงานอย่างน่าเศร้าในตอนนั้น กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าทนไม่ได้
นางชอบฉินเย่จือ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการทำให้เขากังวลแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกับฉินเย่จือ หลังจากวางแผนล่วงหน้ามาหลายสิ่งแล้วที่จะขอนางหมั้น เขาก็ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่นางโดยธรรมชาติ เขาจะทนปล่อยให้นางผิดหวังด้วยความรักอันลึกซึ้งเช่นนี้ได้อย่างไร?
“พรุ่งนี้ก็จะถึงวันหมั้นแล้ว ถึงแม้ว่าเวลานั้นจะกระชั้นชิดไปหน่อย แต่ความคิดของเสี่ยวฉินนั้นก็มองไปข้างหน้าอย่างชัดเจน” กู้ฟางสี่กล่าวว่า “เสี่ยวฉินปฏิบัติต่อเจ้าดีมาก ถ้าเจ้าได้แต่งงานกับเขา ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลเมื่อข้าจากไป”
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าหัวใจและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสุข
“ท่านพี่ ท่านกับพี่ใหญ่ฉินจะหมั้นกันพรุ่งนี้ ท่านประหม่าหรือไม่” กู้เสี่ยวอี้แอบดีใจ
“เจ้าเด็กคนนี้ จะประหม่าอะไรเล่า พี่ใหญ่ฉินก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล” ป้าจางที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
“ใช่ ๆๆ ข้าเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ฉินไม่ได้แล้ว ข้าต้องเรียกท่านว่าพี่เขย” กู้เสี่ยวอี้จงใจเน้นเสียงคำว่า ‘พี่เขย’ ในตอนท้ายด้วยใบหน้าทะเล้น
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่ากู้เสี่ยวอี้กำลังแกล้งนาง คิ้วของนางขมวดแน่นและแสร้งทำเป็นโกรธเคือง “เสี่ยวอี้ เจ้านี่แก่แดดจริง ๆ แม้แต่พี่สาวอย่างข้าเจ้าก็กล้าล้อเลียน”
นางแสร้งทำเป็นเดินหน้าไปเพื่อที่จะจัดการกับกู้เสี่ยวอี้ กู้เสี่ยวอี้กระโดดขึ้นและวิ่งไปรอบ ๆ ห้อง พี่น้องสองคนวิ่งไล่ตามกันอย่างมีความสุขมาก
กู้ฟางสี่และป้าป้าจางรีบพูดว่า “ช้า ๆ หน่อย ระวังเจ็บตัวล่ะ”
แม้แต่อาจั่วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เบิกตากว้างราวกับกำลังดูเด็ก ๆ อย่างไม่ละสายตาจากกู้เสี่ยวหวานเพราะกลัวว่านางจะได้รับอันตรายจากการหกล้ม
กู้หนิงผิงเดินเข้ามาจากข้างนอก กู้เสี่ยวอี้เหนื่อยจากการวิ่ง นางจึงรีบวิ่งไปหาเขาพลางกรีดร้อง “ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย!”
กู้หนิงผิงรีบขวางเสี่ยวอี้ไว้ข้างหลังเขา แต่เมื่อเขาเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังไล่ตามนาง เขาก็รีบกระโดดออกไปคว้ากู้เสี่ยวอี้ไว้ “ท่านพี่ นางอยู่นี่ ข้าจับนางได้แล้ว!”
กู้เสี่ยวอี้โกรธเกรี้ยว นางกรีดร้องด้วยเสียงโหยหวน “ท่านพี่ใจร้าย ท่านกำลังกลั่นแกล้งข้า!”
กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ตรงนั้นก็วิ่งไปบีบใบหน้าสีชมพูของกู้เสี่ยวอี้เบา ๆ และพูดติดตลกว่า “หนิงผิง ช่วยข้าจับนางไว้แน่น ๆ นะ พี่สาวอย่างข้าขอคิดก่อนว่าจะจัดการอย่างไรดี”
“ท่านพี่โปรดยกโทษให้ข้าด้วย” กู้เสี่ยวอี้ร้องขอความเมตตา ในขณะที่นางรู้สึกจั๊กจี้ที่ต้นคอ
ปรากฏว่ากู้เสี่ยวหวานถือปุยนุ่นอยู่และเอาแต่แหย่ที่คอทำให้นางคันและจั๊กจี้
กู้เสี่ยวอี้หัวเราะคิกคักและร้องขอความเมตตา “ท่านพี่ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็หยุดลงและกู้หนิงผิงก็ปล่อยกู้เสี่ยวอี้ และการหยอกล้อกันระหว่างสามพี่น้องก็สิ้นสุดลง
กู้ฟางสี่และป้าจางหัวเราะไม่หยุด อาจั่วที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ไม่เป็นไรถ้าไม่ชนกันจนหกล้ม
เนื่องจากกู้เสี่ยวหวานกำลังจะหมั้น กู้หนิงอันจึงหยุดเรียนสองสามวันและกลับมาก่อนกำหนด
แม้จะมีการกล่าวว่าเป็นเพียงการรับประทานอาหารกับภายในครอบครัวเท่านั้น แต่แขกบางคนยังคงต้องได้รับเชิญ
อาจารย์สวีและฮูหยินสวี พี่สะใภ้ฝูจากร้านขายผ้าจี๋เสียง และเยว่เหนียงจากร้านหรูอี้ คนเหล่านี้ต่างก็เคยช่วยเหลือกู้เสี่ยวหวานในยามที่นางตกที่นั่งลำบาก และพวกเขาต่างเป็นคนที่นางเคารพ ดังนั้นจึงต้องเชิญพวกเขามาด้วย
บทที่ 1364 วันที่ 9 เดือน 7
บทที่ 1364 วันที่ 9 เดือน 7
หลังจากวิ่งเล่นหยอกล้อกันเสร็จก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกอย่างกระตือรือร้นจากข้างนอกของฟ่านหลิง “เสี่ยวหวาน ท่านอา หนิงอันกลับมาแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน กู้หนิงอันก็เดินเข้ามาจากข้างนอก
หลังจากที่ไม่ได้เจอน้องชายคนนี้มาหลายเดือน กู้เสี่ยวหวานก็มองสำรวจเขาอย่างจริงจัง พลางคิดว่าเขาแตกต่างจากเมื่อหลายเดือนก่อนมากแค่ไหน
“ท่านพี่” กู้หนิงอันหยุดลงตรงหน้าของกู้เสี่ยวหวานทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน ขานเรียนพี่สาวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ใบหน้าของเขาเจือไปด้วยความสุข จากนั้นเขาก็มองไปที่กู้ฟางสี่กับป้าจาง และทักทายด้วยรอยยิ้ม
นี่เป็นความรักระหว่างพี่น้องที่มีต่อกัน
“ไปอยู่กับอาจารย์ฝางเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่หรือไม่” กู้เสี่ยวหวานพบว่าน้องชายคนนี้สูงขึ้นไม่น้อย ผิวพรรณแดงเปล่งปลั่งและเป็นมันเงา ดังนั้นจึงคิดว่าการที่เขาไปอยู่กับท่านอาจารย์ฝางคงจะดีไม่น้อย
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ ครอบครัวของอาจารย์ฝางดูแลข้าเป็นอย่างดี” กู้หนิงอันตอบคำถาม
ครั้นได้ยินเขาบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกโล่งใจ “ดีแล้ว แม้ว่าเจ้าจะศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เจ้าจะได้สร้างคุณค่าให้ตัวเอง ลำบากเจ้าแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานมอบคำพูดเป็นกำลังใจ กู้หนิงอันก็เป็นเด็กที่มีจิตใจเข้มแข็งและชอบอ่านหนังสือ ดังนั้นจึงตั้งใจฟังคำพูดของพี่สาวเป็นอย่างดี “ท่านพี่ ท่านไม่ต้องเป็นกังวล หนิงอันจะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด”
ครั้นกู้ฟางสี่ได้ยินคำพูดของหลานชาย จึงเอ่ยขึ้นด้วยความตื้นตัน “หนิงอัน เจ้าคงต้องทำงานอย่างหนัก อย่าได้ทำให้พี่สาวของเจ้าผิดหวัง”
กู้หนิงอันพยักหน้าอย่างหนักแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เนื่องจากกู้หนิงอันยังมีบางอย่างที่อยากจะพูดกับกู้เสี่ยวหวานเป็นการส่วนตัว กู้ฟางสี่และป้าจางจึงปลีกตัวออกไปทำอาหาร
ทันทีที่พวกนางออกจากห้องไป กู้หนิงอันก็เอ่ยถามอย่างไม่รีรอ “ท่านพี่ ท่านจะหมั้นกับเขาจริงหรือ เรื่องนี้มันเร็วเกินไปหรือไม่ ข้าเกรงว่าจะยังไม่มีเวลาได้ทันตระเตรียมสิ่งใด ไม่ใช่แค่การเตรียมงานหมั้นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการแต่งงานด้วย”
“ถึงแม้ว่าการหมั้นครั้งนี้จะเทียบไม่ได้กับการแต่งงาน แต่มันก็เป็นเหตุการณ์เพียงครั้งเดียวในชีวิตของท่าน ท่านจะประมาทไม่ได้” กู้หนิงอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แสดงให้เห็นถึงความไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายในครั้งนี้
“ข้ารู้ว่ามันจะมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต แต่เข้ามั่นใจแล้วว่าต้องการหมั้นหมายกับเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าก็อยากแต่งงานกับเขา” หลังจากเอ่ยจบประโยค นางก็ดึงกู้หนิงอันไปยังบริเวณที่วางกล้องไม้จำนวนมากเอาไว้ พลางเอ่ยว่า “พี่เย่จือไม่เคยปฏิบัติตัวไม่ดีกับข้า”
จากนั้นก็เปิดกล่องออก เผยให้เห็นของขวัญหมั้นจำนวนมากภายในกล่องให้เขาได้เห็น เมื่อได้เห็นสิ่งของภายใน กู้หนิงอันก็ได้แต่อ้างปากค้างด้วยความประหลาดใจ “ท่านพี่ สิ่งนี้คือ…”
“เจ้าคงคิดว่าการหมั้นหมายครั้งนี้มันเรียบง่ายเกินไป แต่สิ่งเหล่านี้เป็นของหมั้นที่ท่านพี่เย่จือนั้นมอบให้ข้า” สิ่งของในกล่องนี้ถึงจะเป็นขุนนางระดับสูง ก็เหมือนจะอยู่ไกลเกินเอื้อม
“ท่านพี่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ใบหน้าของกู้หนิงอันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอับอาย และเอ่ยอย่างลำบากใจ “มันแค่กะทันหันเกินไป พวกเรายังไม่ทันได้เตรียมใจ นอกจากนี้อีกไม่นานท่านก็จะไปเมืองหลวงแล้ว ระยะเวลามันกระชั้นชิดมาก”
“นั่นเป็นเพราะข้ากำลังจะเข้าเมืองหลวง ข้าจึงอยากที่จะหมั้นหมายกับพี่เย่จือไว้เสียก่อน” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยด้วยท่าทีอย่างจริงจัง ความตั้งใจของนางแน่วแน่ยิ่งนัก “ข้าชอบเขาและอยากอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต เจ้ายังคงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้หรอก ความรู้สึกที่ว่าข้ารักเขาแต่เพียงผู้เดียว”
คำพูดของกู้เสี่ยวหวานดังก้องอยู่ในหัวของกู้หนิงอัน แม้ว่าเขาจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ถ้อยคำนั้นทรงพลังและฝังรากลึกในหัวใจของเขา
กู้หนิงอันยังคงต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของพี่สาว ต่อให้ตนจะพูดอะไรออกไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของพี่สาวได้
เพียงแต่เขายังมีความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในใจ
ฉินเย่จือผู้นี้ต้องวางแผนอะไรบางอย่างไว้ ไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงยืนยันที่จะหมั้นหมายกับพี่สาวก่อนที่เข้าเมืองหลวงเช่นนี้
กู้หนิงอันขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ
ครั้นอาจั่วได้ยินการสนทนาที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดของคุณหนูก็ทำให้อาจั่วรู้สึกมีความสุข และคิดว่าจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับเจ้านายของตนเอง เพื่อทำให้เขามีความสุขและพึงพอใจ
แน่นอนว่าเมื่อฉินเย่จือได้ยินข่าวในร้านจิ่นฝูวันนี้ก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย กังวลจนกระทั่งนอนไม่หลับ แต่โชคดีที่ได้รับข่าวดีเสียก่อน จึงทำให้เขานอนหลับสนิทโดยมีคำพูดของกู้เสี่ยวหวานลอยก้องอยู่ในหัว
วันที่ 9 เดือน 7 เป็นฤกษ์งามยามดีในการจัดงานมงคล
กู้ฟางสี่และป้าจางช่วยกู้เสี่ยวหวานเปลี่ยนชุดอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ในชุดสีแดงสดทั้งตัว ขับผิวของหญิงสาวดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
แม้แต่กู้ฟางสี่ที่ช่วยนางแต่งหน้าก็ยังมองหลานสาวด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวหวานของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดูนางตอนนี้สิ สวยอย่างไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ!”
“ใช่ นางสวยเหลือเกิน วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เด็กคนนี้กำลังจะแต่งงานแล้ว” ระหว่างที่พูด ป้าจางก็รู้สึกตื้นตันใจ แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันแห่งความสุข นางจึงรีบกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมาแล้วคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข
“ถูกต้อง เด็กตัวน้อยที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของเรากำลังจะถูกพรากจากไป” กู้ฟางสี่รู้สึกถึงความเศร้าของป้าจาง จึงเอ่ยประโยคที่ทำให้นางหัวเราะออกมา
กู้เสี่ยวหวานก็มีความสุขเช่นกันเมื่อถูกญาติผู้ใหญ่ทั้งสองหยอกล้อ ใบหน้างดงามขึ้นสีแดงระเรื่อ
ชุดสีแดงบนร่างกายมีความประณีตงดงาม มันทั้งเบาบางและอ่อนนุ่มราวกับถูกห่อไว้ในความนุ่มนวล เอวคอดกิ่วถูกพันด้วยแถบผ้าผืนสีแดง ขับใบหน้า เอว และไหล่ของนางให้บางยิ่งขึ้น
“โห! ท่านพี่ของข้าสวยมาก ถ้าพี่เขยเห็น เขาต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน” กู้เสี่ยวอี้วิ่งเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นความงามของกู้เสี่ยวหวาน นางก็ได้แต่ตะลึงงัน
“ท่านพี่ ท่านสวยมาก เหมือนเทพที่ตกลงมาจากฟากฟ้า” กู้เสี่ยวอี้ชมเชยเกินจริง
หลังจากได้ยินคำชมนี้ กู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะเบา ๆ “เทพที่ตกลงมาจากท้องฟ้ากระแทกพื้นก่อนหรือเปล่า?”
ถ้ามันตกลงมาจากท้องฟ้าก็จะกลายเป็นขยะ จะมองเห็นความงดงามนั้นได้อย่างไร
กู้เสี่ยวอี้ไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดนนั้นมีบางอย่างผิดปกติ นางทำได้เพียงเกาหัวและหัวเราะเขินอาย “ท่านพี่ วันนี้ท่านสวยมาก”
กู้ฟางสี่ยิ้มและพูดว่า “สิ่งที่เจ้าพูดไม่ได้ผิด แต่ก็อย่าได้พูดเกินจริง เมื่อถึงคราวเจ้าแต่งงาน เจ้าก็จะสวยเช่นนี้เหมือนกัน”
ประโยคนี้ทำให้ใบหน้าของกู้เสี่ยวอี้ขึ้นสีแดง “ท่านอา ท่านกำลังพูดถึงอะไร? ข้าไม่ต้องการแต่งงาน ข้าอยากอยู่กับท่านอาไปตลอดชีวิต”
“ฮึ่ม เจ้าก็ว่าไปนั่น ถ้าในอนาคตเจ้าพบคนที่เจ้าชอบ อย่าร้องไห้ขอร้องให้ข้าอนุญาตให้เจ้าแต่งงานล่ะ” กู้ฟางสี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำพูดของกู้เสี่ยวอี้ทำให้ทุกคนหัวเราะครืนอย่างมีความสุข
ในขณะนี้กู้หนิงผิงตะโกนด้วยความประหลาดใจจากข้างนอก “ท่านพี่ พี่ใหญ่ฉินมาแล้ว พี่ใหญ่ฉินมาแล้ว”
สองวันมานี้กู้เสี่ยวหวานได้เรียนรู้มารยาทสำหรับพิธีการในสมัยโบราณ
เนื่องจากฉินเย่จือไม่ได้มาจากเมืองหลิวเจีย เขาจึงไม่สามารถอาศัยอยู่ในสวนกู้ได้ ฉินเย่จือจึงต้องไปอาศัยอยู่ในร้านจิ่นฝูชั่วคราวเป็นเวลาสองวัน
จากนั้นเมื่อถึงวันที่ 9 เดือน 7 ฉินเย่จือขี่ม้าตัวสูงสง่าและนำเกี้ยวเจ้าสาวมายังสวนกู้เพื่อมารับกู้เสี่ยวหวาน และพานางไปที่ร้านจิ่นฝู จากนั้นก็จะเชิญแขกเหรื่อมาร่วมเฉลิมฉลองเป็นการประกาศบอกทุกคนว่าทั้งสองหมั้นหมายกันแล้ว แล้วจะรอถึงช่วงเวลาที่พวกเขาทั้งสองจะแต่งงานกันได้
กู้เสี่ยวหวานกำผ้าเช็ดหน้าในมือของแน่นอย่างรู้สึกประหม่า
ชาติที่แล้วนางยังไม่เคยมีความรักเลยด้วยซ้ำ แต่ในชีวิตนี้นางกำลังจะเข้าสู่พิธีหมั้น หากพูดกันตามตรง นางยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย
กู้ฟางสี่ซึ่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินว่าฉินเย่จือมาถึงแล้ว นางกับป้าจางจึงขึ้นไปช่วยประคองกู้เสี่ยวหวาน “เสี่ยวหวาน ถึงเวลาแล้ว ไปกันเถอะ”
กู้เสี่ยวหวานถูกประคองออกไป ตอนนี้เมื่อมีคนอยู่ข้างกาย จิตใจของนางก็สงบลงเล็กน้อย
เพราะนางยังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นจึงไม่ได้คลุมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว นางเดินจากห้องส่วนตัวสู่ทางเดิน ผ่านลานกลางบ้านที่ทอดยาวมาถึงห้องโถง ไปจนถึงทางเข้าหลัก
สถานที่แห่งนี้คือที่ที่นางเคยเดินนับครั้งไม่ถ้วน วันนี้เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวหวานนับมันทีละก้าว หนึ่ง… สอง… สาม… ห้าสิบหก… เจ็ดสิบ…
ยิ่งใกล้มากขึ้นเท่าไร จิตใจก็ยิ่งสั่นไหว
เมื่อนับถึงขั้นก้าวที่เจ็ดสิบเจ็ด นางเงยหน้าขึ้นและเห็นชายในชุดสีแดงบนหลังม้ากำลังมองมาที่นางด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มที่คุ้นเคย คิ้วเรียวได้รูปเต็มไปด้วยความเสน่หา
ชายบนหลังม้ากระโดดลงจากหลังม้าแล้วก้าวไปข้างหน้า และอุ้มกู้เสี่ยวหวานขึ้นท่ามกลางเสียงอุทานของทุกคน “หวานเอ๋อร์ อย่ากลัวไปเลย!”
เขาไม่ต้องการให้นางเดินด้วยตนเอง และก็ไม่ต้องการให้นางเผชิญกับความกังวล
นับตั้งแต่ลูกแมวปรากฏตัวต่อสายตาของเขา สายตาของเขาไม่เคยละจากนางเลยแม้แต่ครึ่งก้าว
แมวน้อยกำลังถูกใครบางคนประคองไว้ และศีรษะของนางก็ก้มต่ำตลอดเวลา จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นการแสดงออกของนางได้อย่างชัดเจน
แต่ทำไมเขาจะไม่เห็นไหล่ที่สั่นไหวเล็กน้อยของแมวน้อยตัวนั้นเล่า? มันเป็นการบอกเขาว่าตอนนี้นางกำลังรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
นางประหม่า เขาก็ประหม่าเช่นกัน
เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อคืนนี้เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการนอนไม่หลับ แต่หลังจากได้ยินคำพูดที่จริงใจจากแมวน้อย เขาก็ผล็อยหลับไปทันที
แต่หลังจากนอนไปได้ไม่นาน เขาก็กังวลว่าจะนอนสบายจนเกินเวลา และทำให้งานหมั้นล่าช้า เขาจึงลืมตาขึ้นด้วยความงุนงงและนอนพลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืน
เมื่อก่อนตอนเขารู้ว่าเขาจะนำทหารชั้นยอดหนึ่งแสนนายไปต่อสู้กับกองทัพนับแสนของศัตรูในวันรุ่งขึ้น เขาไม่เคยกระวนกระวายจนนอนไม่หลับเช่นนี้มาก่อน