ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1367 แค่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า + ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1368 มองหายาลบรอยแผลเป็น

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1367 แค่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า

บทที่ 1367 แค่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า

ตามพิธีแล้ว เดิมทีฉินเย่จือแค่ต้องจูงมือกู้เสี่ยวหวานออกจากเกี้ยวเท่านั้น จะไปรู้ได้อย่างไรว่าฉินเย่จือจะช้อนตัวอุ้มกู้เสี่ยวหวานเดินเข้าไปในร้านจิ่นฝูตรง ๆ

กู้ฟางสี่และป้าจางที่ตามหลังมาเห็นเหตุการ์ณนี้ก็ตกตะลึง “โธ่… ยังไม่ได้จับมือข้ามธรณีประตูด้วยกันเลย”

กู้หนิงผิงที่ตามมาข้างหลังก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านอา ท่านป้า นี่อุ้มคนข้ามธรณีประตูไปแล้ว จะยังสนใจทำไมว่าจะยังจับมือหรือว่าไม่ได้จับมือเล่า”

กู้ฟางสี่และป้าจางก็ได้แต่ยอมแพ้และเดินตามหลังฉินเย่จือเข้าไปในร้านจิ่นฝู

จากนั้นก็เป็นฉือโถวและอาโม่ยืนแจกขนมลูกอมอยู่ตรงทางเข้าร้านจิ่นฝู ผู้คนที่ได้รับขนมลูกอมแล้วก็พูดจาเป็นสิริมงคลเอาใจไม่หยุด

เมื่อมาถึงด้านในร้านจิ่นฝู บนโต๊ะกลมขนาดใหญ่ก็เต็มไปด้วยอาหารหน้าตาน่ากิน

ฉินเย่จือจึงปล่อยกู้เสี่ยวหวานลง อาจารย์สวีและพวกเขาที่ตามหลังมาก็เข้ามา กู้เสี่ยวหวานรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำความเคารพพวกเขา “อาจารย์สวี ฮูหยินสวี พี่สะใภ้ฝู เยว่เหนียง”

เมื่อเห็นทีไรสวีฮูหยินก็จะจับมือของกู้เสี่ยวหวานเอาไว้ไม่ปล่อย มองขึ้น ๆ ลง ๆ และพูดจากใจว่า “เสี่ยวหวาน วันนี้เจ้างดงามมากจริง ๆ”

กู้เสี่ยวหวานยิ้มพลางตอบว่า “ขอบคุณฮูหยินสวี”

ทุกคนนั่งลงทีละโต๊ะ หลังจากที่คนของร้านจิ่นฝูและแขกที่โต๊ะอื่น ๆ นั่งลงหมดแล้ว กู้เสี่ยวหวานกับฉินเย่จือก็ยืนขึ้น ในมือถือจอกสุรากล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ญาติและเพื่อน ๆ ทุกคน วันนี้ข้ากับพี่เย่จือได้หมั้นกันแล้ว เดิมทีคิดอยากจะนั่งทานข้าวด้วยกันกับคนในครอบครัวและก็ไม่ได้คิดว่าจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ก็พูดคุยแสดงน้ำใจกัน ก็หวังว่าทุกท่านจะกินกันอย่างเต็มที่”

พูดจบก็ดื่มหมดจอก แล้วทุกคนก็ยกจอกขึ้นดื่มเหล้าจนหมด

หลังจากงานเลี้ยงที่ทุกคนกินดื่มกันอย่างมีความสุข พูดแสดงความยินดีกันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งทุกคนดื่มกันพอใจแล้ว จึงพากันแยกย้ายกันจากไป

ก่อนจากกัน กู้เสี่ยวหวานกับฉินเย่จือยืนอยู่ที่ประตูคอยยืนส่งฮูหยินสวีและพวกเขา เยว่เหนียงและสะใภ้ฝูดึงกู้เสี่ยวหวานและมองชุดของนางขึ้น ๆ ลง ๆ ยิ่งเห็นก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ “เสี่ยวหวาน ชุดนี้เอามาจากที่ไหนหรือ”

กู้เสี่ยวหวานชี้ไปที่ฉินเย่จือที่กำลังพูดคุยกับสวีเซียนหลินอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดว่า “เขาทำตามขนาดตัวของข้า เกิดอะไรขึ้นมีอะไรไม่ถูกต้องหรือ”

การแสดงออกของพี่สะใภ้ฝูและเยว่เหนียงทำให้กูเสี่ยวหวานแปลกใจจึงรีบถาม

“เสี่ยวหวาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสื้อผ้าชุดนี้บนตัวเจ้านั้นทำมาจากวัสดุอะไร” เยว่เหนียงระงับความตื่นเต้นไว้ในใจแล้วถาม

“อะไรหรือ” กู้เสี่ยวไม่รู้หรอกว่าชุดที่ตัวเองใส่อยู่นั้นทำมาจากอะไร รู้เพียงแค่ว่าชุดนี้นุ่มและเย็น เมื่อสวมใส่บนตัวแล้วก็รู้สึกสบายอย่างมาก

“จุ๊ ๆ เสี่ยวหวานเอ๋ย วัสดุนี้เป็นเส้นไหมหิมะ มีทองนับหมื่นก็ยากที่จะหาไหมหิมะมาได้สักตัว” เยว่เหนียงจุ๊ปากพูด “ก่อนหน้าข้าเคยได้ยินอาจารย์บอกว่าโลกนี้มีวัสดุเช่นนี้ด้วย แต่ก็ไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนเลย ตอนนี้กลับได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ แล้ว”

“เส้นไหมหิมะ” กู้เสี่ยหวานได้ยินชื่อนี้ก็เบิกตากว้างเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าวัสดุนี้มีทองนับหมื่นก็ยากที่จะหามาได้ก็แทบไม่ยากจะเชื่อ “เยว่เหนียง ท่านมองผิดแล้วหรือไม่ วัสดุนี้…”

“ไม่หรอก ไม่หรอก ข้าส่งมอบผ้ามาตั้งหลายปี วัสดุอะไรข้าแค่ใช้มือสัมผัสและมองด้วยตา ข้าก็รู้ราคาและที่มาของวัสดุแล้ว แม้ว่าเส้นไหมหิมะนี้ข้าจะเคยได้ยินมาเพียงแค่ชื่อไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน แต่ว่าข้ารับรองว่าข้าไม่มีทางมองผิดว่านี่คือเส้นไหมที่พ่นออกมาจากเลือดตัวไหมที่เลี้ยงไว้ของภูเขาเทียนซาน เพราะว่ารูปร่างนั้นเหมือนกับเลือดและหิมะ ทั้งสีแดงและแวววาวอย่างกับหิมะ ข้าไม่มีทางมองผิดแน่” เยว่เหนียงพูดอย่างมั่นใจมาก

พี่สะใภ้ฝูที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าพลางพูดว่า “ใช่แล้วเสี่ยวหวาน ข้าเองก็คงมองไม่ผิดว่านี่เป็นเส้นไหมหิมะ ลักษณะของมันทั้งหมดนั้นตรงกับเส้นไหมหิมะ ตัวไหมนี้พ่นไหมออกมาเป็นสีแดง นอกจากนี้ยังบริสุทธิ์และแวววาวอย่างกับหิมะไม่มีทางผิดอย่างแน่นอน”

หลังจากที่กู้เสี่ยหวานได้ฟังก็ตกใจมาก มองเสื้อบนร่างกายอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วมองฉินเย่จือที่พูดคุยกับสวีเซียนหลินอีกครั้ง แม้ว่าเขากำลังพูดคุยอยู่กับสวีเซียนหลิน แต่ว่าสายตาก็มองมาทางนี้บ่อย ๆ ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าส่งแขกทั้งหมดกลับไปอย่างไร รู้เพียงแค่ว่าสุดท้ายนางกับฉินเย่จือก็นั่งรถม้าคันเดียวกันกลับไปสวนกู้ ระหว่างทางกลับไปนั้น ในที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็อดเอ่ยปากถามฉินเย่จือไม่ได้ “พี่เย่จือ เสื้อชุดนี้เอามาจากที่ใด ได้ยินมาว่าวัสดุนี้เป็นเส้นไหมหิมะ นอกจากนี้มีทองนับหมื่นก็ยังยากที่จะหามาได้ ท่านเอามาจากที่ใดกัน”

นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยากรู้เกี่ยวกับฉินเย่จืออย่างลึกซึ้ง

ฉินเย่จือเห็นกู้เสี่ยวหวานถามตัวเองอย่างจริงจังจึงยิ้มแล้วพูดว่า “แม้ว่าวัสดุนี้จะล้ำค่ามาก แต่ก็ไม่ได้ล้ำค่ามากอย่างที่เจ้าพูด มีทองนับหมื่นก็ยากที่จะหามาได้เสียที่ไหนกัน นี่ไม่ใช่ว่าได้มาแล้วหรือ”

“พี่เย่จือ ข้าถามท่านว่าวัสดุนี่เอามาจากที่ไหนกัน” กู้เสี่ยวหวานเห็นฉินเย่จือไม่ตอบคำถามของตัวเองก็คาดคั้นอีก

เมื่อได้ยินว่าวัสดุนี่หายากเช่นนี้ จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็นึกขึ้นได้ว่าในช่วงเวลานั้น ฉินเย่จือออกไปแต่เช้าและกว่าจะกลับมาก็ค่ำมืด ถึงขนาดไม่กลับมาตั้งหลายวัน พอกลับมาแล้วก็เหนื่อยจนหมดสติ

“ใช่ช่วงเวลานั้นที่ท่านวิ่งเต้นอยู่ข้างนอก ท่านไปหามันมาใช่หรือไม่” กู้เสี่ยวหวานมองหน้าฉินเย่จือแล้วถามอย่างปวดใจ

ฉินเย่จือพยักหน้า “อืม วัสดุนี้ทั้งหมดในโลกมีเพียงแค่สองพับเท่านั้น พับหนึ่งถูกใช้ไปแล้ว ยังเหลืออีกพับหนึ่ง อยู่ในมือของคนคนหนึ่ง ข้าซื้อมาจากมือของเขา”

แม้ว่าการวิ่งเต้นในครั้งนี้จะมีความยากลำบากมากขนาดไหน ฉินเย่จือก็ไม่อยากให้กู้เสี่ยวหวานรู้

อยากให้นางรออย่างสบายใจ รอที่จะเป็นคู่หมั้นที่สวยที่สุดของเขาก็พอแล้ว

“ลำบากมากใช่หรือไม่” จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็โผเข้าไปในของอ้อมแขนของฉินเย่จือและร้องไห้ขึ้นมา “ก็แค่งานหมั้นเท่านั้นเอง ทำไมท่านถึงโง่เง่าเช่นนี้”

“ข้าจะแต่งงานกับเจ้า ข้าก็ย่อมต้องมอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกให้แก่เจ้า” ฉินเย่จือกอดคนในอ้อมแขนพลางมองชุดทั้งสองแล้วพูดอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้าคือสิ่งที่ดีที่สุดในโลกของข้า ที่ข้าอยากมอบให้เจ้า”

ข้ารักเจ้า ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก ข้าก็ต้องอยากมอบให้แก่เจ้า

ไม่มีเหตุผลอะไร ก็แค่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า ให้เจ้าได้มีความสุขมากที่สุด

 

 

บทที่ 1368 มองหายาลบรอยแผลเป็น

บทที่ 1368 มองหายาลบรอยแผลเป็น

กู้เสี่ยวหวานเคยได้ฟังเรื่องราวความรักของคนที่ตายแล้วมากมายในโทรทัศน์เมื่อชีวิตก่อน แต่มีเพียงคำบอกรักคำเดียวที่ทำให้นางรู้สึกว่าต้องการติดตามคนเช่นนี้ในชีวิตนี้ จะอยู่กับคนนี้ตลอดไป และเป็นหนึ่งเดียวตลอดไป

จู่ ๆ เสี่ยวหวานก็เปิดลิ้นชักบนโต๊ะเตี้ยและหยิบกรรไกรออกมา ตัดผมของนางออกมาส่วนหนึ่ง ห่อเอาไว้ด้วยผ้าไหมสีแดงและใส่แต่ละอันลงในซอง “ข้าเคยเห็นว่าเวลาคนอื่นหมั้นหมายกัน ต่างใช้แหวนสวมใส่ที่นิ้วนางเพื่อพิสูจน์ว่าทั้งสองได้หมั้นหรือแต่งงานกันแล้ว ตอนนี้ข้าจะใช้ผมนี้พิสูจน์ว่าเราสองคนได้สาบานต่อกันแล้ว พี่เย่จือ… ตลอดชีวิตนี้เราจะไม่มีวันทอดทิ้งกัน”

ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานไว้ในอ้อมแขนด้วยความตื้นตัน “หวานเอ๋อร์ หวานเอ๋อร์”

บนใบหน้าของเขาเต็มไปรอยยิ้มพอใจ และความรักนั้นลึกล้ำราวกับน้ำทะเล ทำให้ยากจะถอนใจ ในช่วงเวลาที่อ่อนโยน ฉินเย่จือประทับริมฝีปากลงริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล คลอเคลียกันไม่ห่าง ต่างเอื้อยเอ่ยถ้อยคำบอกรักไม่หยุด

“กุมมือของท่าน อยู่เคียงข้างจนแก่เฒ่า เต็มใจที่อยู่กับท่านไม่แยกจากกัน”

ข่าวการหมั้นของฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลิวเจียโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ทุกคนต่างชื่นชมรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาและสง่างามอย่างน่าอัศจรรย์ของฉินเย่จือ รวมถึงคิ้วและดวงตาที่งดงามของกู้เสี่ยวหวาน แต่ก็มีคนมากมายที่เบื่อกับข่าวลือของฉินเย่จือหมั้นหมายกู้เสี่ยวหวานด้วยกล่องของขวัญหมั้นเท่านั้น

เมื่อจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์รู้ว่าฉินเย่จือหมั้นหมายแล้ว นางจึงระบายความโกรธด้วยการทุบข้าวของทั้งหมด เมื่อฮูหยินจ้าวได้ยินว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กำลังทำลายสิ่งของของตระกูลจ้าว จึงรีบสั่งให้คนไปห้ามนางไว้ และยังรีบย้ายสิ่งของที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์จะพังได้ออกไป เพราะกลัวว่านางจะทำลายทุกอย่างพังราบเป็นหน้ากอง

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์อีกต่อไป หากแต่อารมณ์คุกรุ่นของนางยังไม่หมดไป จึงต้องไปหาจ้าวจื่อเจี๋ยเพื่อระบายความโกรธอย่างไม่มีทางเลือก

“ท่านพี่ ฉินเย่จือหมั้นกับหญิงผู้นั้นแล้ว” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์พูดอย่างขมขื่นโดยหวังว่าจะฉีกเนื้อกู้เสี่ยวหวานเป็นชิ้น ๆ

จ้าวจื่อเจี๋ยในขณะนี้อารมณ์ไม่ได้ดีนัก

เขากำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูรอยแผลเป็นที่ชัดเจนบนใบหน้า พยายามปกปิดร่องรอยบนใบหน้าด้วยแป้งชาด

แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่มีท่าทางจะปกปิดได้

จ้าวจื่อเจี๋ยโกรธจนแทบจะทนไม่ไหว และจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้าก็เอาแต่สาปแช่งไม่หยุด ซึ่งทำให้จ้าวจื่อเจี๋ยผุดลุดขึ้นด้วยความโกรธ กวาดสิ่งของบนโต๊ะลงพื้นและคำรามอย่างบ้าคลั่ง “ไอ้คนสารเลวนั่น ข้าจะจับมันฉีกเป็นชิ้น ๆ”

เนื่องจากอารมณ์โกรธเคืองจึงทำให้ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ซึ่งมองดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เห็นใบหน้าที่ดุร้ายของจ้าวจื่อเจี๋ยก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงได้แต่สงบสติอารมณ์ และรุดขึ้นหน้าเพื่อปลอบโยนจ้าวจื่อเจี๋ย “ท่านพี่ อย่าโกรธไปเลย ท่านพี่ซ่งกำลังหาหมอที่ดีมาให้ท่าน ถึงเวลานั้นใบหน้าของท่านจะหายเป็นปกติ ไม่ต้องกังวลไป ท่านพี่ซ่งบอกว่ามันจะสามารถรักษาได้”

ตอนที่หมอเปิดผ้าพันแผลบนใบหน้า เมื่อจ้าวจื่อเจี๋ยมองแผลเป็นที่น่าเกลียด เขาก็ปัดมือของหมอคนนั้นทิ้งอย่างแรง

หมอกำลังร้องโหยหวนรู้สึกเหมือนเขารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด และวิ่งไปหาจ้าวสวิ่นเพื่อขอความเมตตา โดยบอกว่ายาที่เขาสั่งนั้นถูกต้อง ยาที่เขากินนั้นถูกต้อง และยาที่เขาใช้ก็ถูกต้องเช่นกัน กุญแจสำคัญคือ จ้าวจื่อเจี๋ยชอบกินอาหารรสเผ็ด เขาเตือนอีกฝ่ายแล้วว่าไม่ควรกินอาหารรสเผ็ดและทำให้ระคายเคือง เพราะมันจะส่งผลต่อการตกสะเก็ดของบาดแผล

เมื่อมองดูใบหน้าอัปลักษณ์เหมือนผีของลูกชาย จ้าวสวิ่นก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้

ถึงเขาจะไม่หล่อเหลา แต่ลูกชายของเขานั้นไม่เลว ทว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เขาจะไม่รู้สึกแย่ได้อย่างไร

แม้ว่าบางคนจะบ่นว่าจ้าวจื่อเจี๋ยไม่สามารถควบคุมปากของตนเองได้ยามเจ็บปวด แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกชายของตน ดังนั้นจึงได้แต่ระบายอารมณ์ใส่หมอคนนั้น และสั่งให้คนไปสร้างความวุ่นวายที่โรงหมอแทน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลำบากมากในเวลานั้น

แต่ถ้ามีแผลเป็นบนใบหน้าก็คือบนใบหน้า

จ้าวจื่อเจี๋ยเข้าใจอย่างชัดเจน เขากำหมัดจ้องมองน้องสาวด้วยความโกรธและเอ่ยอย่างดุร้าย “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยเลือด”

“ถูกต้อง ข้าแค่อยากให้กู้เสี่ยวหวานต้องทนทุกข์ทรมาน หญิงคนนั้นเลวร้ายยิ่งนัก นางคว้าพี่ใหญ่ฉินไปได้อย่างไร” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังคงคิดถึงฉินเย่จือ โดยคิดว่าการที่ฉินเย่จือหมั้นหมายกับกู้เสี่ยวหวาน มันเกือบจะเหมือนกับการขย้ำหัวใจของนาง

“จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์อย่าให้ชื่อของฉินเย่จือหลุดออกมาจากปากของเจ้าอีก การได้อยู่กับกู้เสี่ยวหวานไม่ใช่เรื่องดี ข้าจะจัดการกับกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือคนนั้นก็ไม่ทางหนีรอดไปได้”

“ไม่ได้นะท่านพี่ พี่ใหญ่ฉินเป็นคนดีและจงรักภักดี ถ้ากู้เสี่ยวหวานไม่ช่วยเขาไว้ ถ้าเขาไม่ได้ต้องการตอบแทนนาง พี่ใหญ่ฉินคงจากไปนานแล้ว” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์แย้ง ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางขึ้นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ

จ้าวจื่อเจี๋ยนิ่งเงียบ เมื่อเห็นใบหน้าเขินอายของจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นจึงสาดน้ำเย็นใส่นาง “อวิ๋นเอ๋อร์ อย่าลืมว่าซ่งเหลียนเฉิงมาที่บ้านด้วยจุดประสงค์ใด ข้าได้ยินมาว่าท่านพ่อพอใจกับซ่งเหลียนเฉิงคนนี้มาก และเขาจะพยายามหายาอย่างดีที่สุดให้ข้า แต่ถ้าในเวลานั้นเจ้าพูดหรือทำอะไรให้ซ่งเหลียนเฉิงขุ่นเคืองใจ ถึงเวลานั้นก็อย่ามาหาว่าข้าหยาบคายต่อเจ้าก็แล้วกัน” จ้าวจื่อเจี๋ยแตะรอยแผลเป็นบนใบหน้าแล้วพูดด้วยสายตามุ่งร้าย

“ท่านพี่ ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เคยเห็นท่าทางที่น่าสะพรึงกลัวของจ้าวจื่อเจี๋ยมากก่อน หัวใจของนางประหวั่นลนลาน “ท่านพี่ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ท่านไม่รู้หรอกหรือว่าข่าวลือที่แพร่ออกมาบอกว่าของหมั้นที่ฉินเย่จือมอบให้กู้เสี่ยวหวานมีเพียงกล่องเท่านั้น น่ารังเกียจจริง ๆ”

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท