ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1369 หนิงอันหายตัวไป + ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1370 ไปบ้านตระกูลจ้าว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1369 หนิงอันหายตัวไป

บทที่ 1369 หนิงอันหายตัวไป

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์มีสีหน้าท่าทางรังเกียจ

จ้าวจื่อเจี๋ยได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ตระกูลซ่งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง และเป็นญาติของฮูหยินใหญ่ คาดว่าเขาคงไม่กล้าทำให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจ ซ่งเหลียนเฉิงยังประทับใจในตัวเจ้า เมื่อถึงเวลาเจ้าแต่งงานไป เจ้าอย่าทำลายอนาคตของตนเองเพียงเพราะขอทานผู้นั้น”

“ท่านพี่ ข้ารู้ ข้ามีเหตุผลของข้า” ถึงแม้ว่าในใจจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์รู้สึกไม่อยากพรากจากกันเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงฉินเย่จือที่ทำเป็นหูหนวกตาบอดก็อย่าโทษที่ตนเองใจร้าย

ถ้าตนเองแต่งงานกับตระกูลซ่งก็จะเป็นฮูหยินน้อย ฉินเย่จือผู้นั้นแม้มีรูปลักษณ์ที่ดูดี แต่ตัวเขานั้นอับจนต่ำต้อย แต่งงานกับกู้เสี่ยวหวานไปก็มีแต่จะต้องพึ่งพากู้เสี่ยวหวาน ผู้ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ก็ไม่ต่างไปจากคนอุ่นเตียง

ครั้นเห็นว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์คิดออกแล้ว จ้าวจื่อเจี๋ยก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก “รอให้ทางพี่ใหญ่ซ่งจัดการเสร็จแล้ว ตอนนี้ผู้หญิงสารเลวคนนั้นไม่ใช่มีความสุขอยู่หรือ พวกเราก็ปล่อยให้นางมีความสุขต่ออีกหน่อย ฉินเย่จือส่งกล่องให้เพียงชิ้นเดียวเพื่อเป็นของขวัญวันหมั้นไม่ใช่หรือ พวกเราก็ส่งให้เขาเพิ่มมากอีกหน่อย ฮ่า ๆๆ”

ถึงแม้ว่าฉินเย่จือจะหมั้นแล้ว แต่ไม่ได้แต่งงานอย่างเป็นทางการ หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือกลับสวนกู้แล้ว ทั้งคู่ก็ยังแยกกันนอนคนละห้อง

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นสมเหตุสมผลและถูกต้องตามกฎหมาย

หลังจากพิธีหมั้นเสร็จสิ้น ฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานก็เริ่มหารือเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องไปจัดการที่เมืองหลวง

สิ้นปี ไทเฮาต้องการให้เข้าเฝ้า เรื่องที่จะไปเมืองหลวงนั้นคงจะล่าช้าไม่ได้แล้ว หลังจากถึงเมืองหลวงแล้ว ต้องทำตัวให้กลมกลืนและผูกมิตรกับผู้อื่นก่อน

กู้หนิงอันไม่ได้รีบกลับไปที่บ้านของอาจารย์ฝาง บอกเพียงว่าอาจารย์ฝางรู้ว่าพวกกู้เสี่ยวหวานจะกลับเมืองหลวงในไม่ช้าแล้ว ดังนั้นอาจารย์ฝางจึงให้เขาลาหยุดได้หลายวัน

วันนี้กู้หนิงอันไปที่ยังเมืองหลิวเจียเพื่อเดินเล่น แต่จนฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่กลับมาบ้าน

ตอนแรกกู้เสี่ยวหวานไม่ได้คิดอะไร แค่บอกว่าไม่ง่ายเลยที่เด็กคนนั้นจะได้รับการปล่อยจิตปล่อยใจจากการเรียน เข้าใจได้ที่อยากจะออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านมากขึ้น

เพียงแต่หลังกินข้าวเสร็จ กู้หนิงอันก็ยังไม่กลับมา กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา

“หนิงผิง เจ้ารีบไปดูในเมืองเร็วเข้า ไปดูว่าหนิงอันอยู่ที่บ้านอาจารย์สวีหรือไม่” ถึงแม้ว่าตอนนี้หนิงอันจะโตแล้ว แต่ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่กลับบ้าน กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน

กู้หนิงผิงรีบออกไปตามคำสั่งทันที กู้เสี่ยวหวานเฝ้ารอน้องชายอยู่ที่บ้าน แต่คนที่กลับมาคือลูกจ้างภายในร้านจิ่นฝู

แต่ข่าวที่นำกลับมาทำให้กู้เสี่ยวหวานได้แต่นิ่งงันอยู่ตรงนั้น “แม่นาง พี่ผิงเอ๋อร์ให้ข้ารายงานท่านว่าไม่เจอพี่อันเอ๋อร์ที่บ้านอาจารย์สวี ที่ร้านจิ่นฝูก็ไม่เจอแม้แต่เงา ตอนนี้พี่ผิงเอ๋อร์กับเสี่ยวเหลียงจื่อกำลังตามหาเขาอยู่”

“อะไรนะ” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกไม่สบายใจจึงไม่ได้กลับไปที่ห้องของตน เอาแต่เดินไปเดินมาไม่หยุดอยู่ในห้องโถง

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าหากู้หนิงอันไม่เจอก็อยู่ไม่นิ่งลุกลี้ลุกลนขึ้นมา อาจั่วที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เข้ามาประคองนางไว้ “คุณหนู ท่านอย่าพึ่งกังวลไปเลย บางทีพี่อันเอ๋อร์อาจจะพบสหายเก่าและไปรวมตัวกันจนลืมกลับบ้านก็ได้”

กู้เสี่ยวหวานมีท่าทีสงบลงพลางส่ายหัวแล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ หนิงอันไม่ใช่คนเหลวไหลแบบนั้น ถ้าหากเขามีธุระกลับมาไม่ได้ล่ะก็ เขาจะต้องส่งคนมาบอกข้าแน่นอนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ยิ่งกังวลมาก หัวใจของกู้เสี่ยวหวานก็เย็นชาลงเรื่อย ๆ

เมื่อเช้ากู้หนิงอันออกไปกับฉือโถว บอกว่าจะไปหาอาจารย์สวีที่หอหนังสืออวี้ จากนั้นก็จะไปอ่านหนังสือแล้วตอนบ่ายค่อยกลับมา เนื่องจากตกลงกันแล้ว ดังนั้นตอนแรกกู้เสี่ยวหวานจึงไม่ได้สนใจ

แต่ว่าตอนนี้เขากลับหายไปอย่างไร้ข่าวคราว กู้เสี่ยวหวานจึงเชื่อว่าต้องเกิดเรื่องกับกู้หนิงอันแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข่าวคราวอะไรเลย

“พวกเจ้าเอาอะไรมายืนยันได้ว่าไม่พบเขา” อาจั่วถาม

ชายผู้นั้นตอบแบบไม่ลังเล “พวกเขาไปหอหนังสืออวี้ แต่ตอนที่กลับมาบอกว่าไม่ได้อยู่ที่นั่น และยังได้ยินอาจารย์สวีบอกว่า พี่อันเอ๋อร์ออกไปจากหอหนังสืออวี้ตั้งแต่ตอนบ่าย พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดิน ทั้งยังบอกอีกว่าฮูหยินสวีให้เขากินมื้อค่ำก่อนแล้วค่อยไป แต่พี่อันเอ๋อร์บอกว่าแม่นางรอเขาอยู่ที่บ้านเลยไม่ได้อยู่ต่อ”

เขาไปจากหอหนังสืออวี้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน อีกทั้งไม่ได้กลับมากินข้าวเย็นที่บ้าน อาจั่วมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างเป็นห่วง แต่กลับเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานนิ่งเงียบผิดปกติ

“อาจั่ว ไปเตรียมรถม้า พวกเรารีบไปที่ร้านจิ่นฝู” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างใจเย็น และมีความเป็นห่วงลึก ๆ อยู่ในสายตา

“เจ้าค่ะ คุณหนู” อาจั่วหันหลังเตรียมมุ่งหน้าไปที่คอกม้า แต่กู้เสี่ยวหวานกลับรั้งนางไว้เสียก่อน “ช้าก่อน ถ้าหากคนในบ้านถามก็บอกว่าพวกเรามีเรื่องที่ต้องไปจัดการที่ร้านจิ่นฝู บอกว่าบัญชีในวันนี้ไม่ชัดเจน ข้าจะไปดูบัญชี และไม่ต้องพูดอะไรอีกเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องกังวล”

อาจั่วตอบรับและนำรถม้ามา พวกนางมุ่งหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานก็มาถึงร้านจิ่นฝู

ประตูใหญ่ที่ร้านจิ่นฝูถูกปิดทุกบาน เหลือเพียงช่องที่คนเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น

ตอนที่กู้เสี่ยวหวานเข้าไป ก็มีชายคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาหากู้เสี่ยวหวาน “แม่นาง ท่านมาแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ ตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ในร้านจิ่นฝู เหมือนคนที่เหลือจะไปตามหากู้หนิงอัน “พวกเขาออกไปตามหาคน ได้ข่าวคราวอะไรบ้างไหม”

หนุ่มน้อยผู้นั้นมีสีหน้ากังวลและบอกเพียงว่า “ยังไม่มีขอรับ เถ้าแก่และพี่ผิงเอ๋อร์นำคนไปตามหาแล้ว ตอนนี้พวกเขาแบ่งคนออกเป็นสามกลุ่มเพื่อไปตามหาในเมือง”

กู้เสี่ยวหวานเป็นกังวลอยู่ในใจ แต่นางแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรอีก

ลูกจ้างคนนั้นมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างเป็นกังวล และอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เนื่องจากตัวตนของเขา จึงได้แค่มุ่ยหน้า “แม่นาง ท่านอย่าได้กังวลไปเลย พวกเขาต้องหาพี่อันเอ๋อร์พบแน่นอน”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นเขาปลอบนาง ก็ได้แต่หันไปมองเขาอย่างขอบคุณและยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ

รอได้ไม่นานฉือโถวก็กลับมา และได้ยินเสียงที่กระวนกระวายของฉือโถวดังขึ้น “หนิงอันกลับมาหรือยัง”

หนุ่มน้อยคนนั้นรีบวิ่งเข้าไปแล้วตอบว่า “เถ้าแก่ พี่อันเอ๋อร์ยังไม่ได้กลับมา”

 

 

บทที่ 1370 ไปบ้านตระกูลจ้าว

บทที่ 1370 ไปบ้านตระกูลจ้าว

ทันทีที่พูดจบก็เห็นฉือโถวหันหลังกลับแล้วเดินจากไป

ลูกจ้างคนนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่ แม่นางกู้มาแล้ว”

ฉือโถวเดินออกไปไกลแล้ว แต่เมื่อเขาได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานมาแล้วก็รีบหันหลังกลับ และเดินตรงเข้าไปในร้าน

ประจวบเหมาะกับที่กู้เสี่ยวหวานเดินมาถึงหน้าประตู เมื่อเห็นฉือโถวตัวสั่นสะท้านด้วยความกระวนกระวาย “ยังหาหนิงอันไม่เจอหรือ”

ฉือโถวพยักหน้า “อืม แต่เสี่ยวหวานเจ้าอย่าพึ่งกังวลไป หนิงอันโตแล้ว บางทีเขาอาจจะเห็นอะไรที่น่าสนใจแล้วลืมเวลาไป ต้องไม่เกิดเรื่องกับเขาแน่นอน ข้าจะออกไปตามหาเขาเอง”

พูดจบก็หันหลังแล้วเดินออกไป

“พี่ฉือโถว ท่านรอก่อน” กู้เสี่ยวหวานเรียกเขาไว้แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าหนิงอันไม่ได้ตั้งใจซ่อนตัวแน่นอน ถ้าพวกท่านยังหาต่อไปแบบนี้ เกรงว่าหาอย่างไรก็หาไม่พบ”

“เสี่ยวหวาน เจ้าหมายว่าอย่างไร” หลังจากที่ฉือโถวฟังแล้วก็มองกู้เสี่ยวหวานด้วยความงุนงง แล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่ามีคนจับตัวหนิงอันไปหรือ?”

“นิสัยของหนิงอันพวกเรารู้ดี นอกจากอ่านหนังสือแล้ว วันธรรมดาเขาไม่มีงานอดิเรกอื่น อีกทั้งเขายังบอกอาจารย์สวีว่าจะกลับบ้าน เขาก็ต้องกลับบ้านแน่นอน ถ้าเขาเปลี่ยนใจที่จะไม่กลับบ้าน เขาจะต้องส่งข่าวมาบอกพวกเราอยู่แล้ว หนิงอันมีนิสัยสุขุม สงบ และถ้าไม่มีสถานการณ์อะไรที่พิเศษ เขาจะไม่ทำให้พวกเรากังวลแน่นอน ดังนั้นข้ายืนยันว่าเขาต้องเจอเรื่องอะไรที่ไม่สามารถหนีพ้นได้”

กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

มีคนสามกลุ่มที่ออกไปตามหากู้หนิงอัน ฉือโถว กู้หนิงผิง และเหลียงอวี้เฉิง พวกเขาแบ่งคนและแยกกันไปตามหา ตอนนี้ฉือโถวกลับมาแล้ว ไม่นานกู้หนิงผิงและเหลียงอวี้เฉิงก็ตามกลับมาติด ๆ

หลังจากที่ฟังกู้เสี่ยวหวานวิเคราะห์เสร็จ กู้หนิงผิงก็เตะม้านั่ง “พี่ชายข้าใจดีกับคนอื่นเสมอ ใครจับตัวพี่ชายข้าไปกัน?”

กู้หนิงอันอ่านหนังสือได้ ดังนั้นร่างกายและกระดูกของเขาจึงเทียบไม่ได้กับกู้หนิงผิง

คนเรียนหนังสือที่อ่อนแอ หากมีคนต้องการจับตัวเขาไปจริง ๆ แม้แต่ชายฉกรรจ์สองคนก็สามารถลงมือได้

เป็นตอนนั้นเองที่ฉือโถวถามขึ้นด้วยความกังวล “ใช่ หนิงอันมีนิสัยที่อ่อนโยนและบุคลิกที่นิ่งสงบ ใครกันที่มีเรื่องบาดหมางกับเขา”

กู้เสี่ยวหวานเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “เกรงว่าจะไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับเขา แต่พวกเขาไม่สามารถทำร้ายข้าได้ เลยหันเป้าหมายไปที่หนิงอัน”

อาจั่วที่อยู่ข้าง ๆ พอได้ยินเช่นนี้ก็รีบถามขึ้น “คุณหนู ท่านหมายความว่าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กับจ้าวจื่อเจี๋ยส่งคนมาทำเช่นนี้หรือ”

“ข้าได้ยินมาว่าใบหน้าของจ้าวจื่อเจี๋ยผู้นั้นถูกทำลาย โทษนี้ต้องตกอยู่ที่ข้าแน่ ยังมีซ่งเหลียนเฉิงที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ เขาเป็นคนเดียวที่ติดตามจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ใช่หรือไม่ ข้างกายมีคนรับใช้มากมายขนาดนั้น ในคืนวันนั้นเกิดเรื่องเลวร้ายจนมีคนเสียชีวิต ตอนนี้ข้ายังยืนอยู่ที่นี่ พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร”

“ว่าอย่างไรนะ คืนนั้นเเกิดอะไรขึ้น” พอกู้หนิงผิงได้ยินก็กระวีกระวาดลุกขึ้น แต่อาจั่วก็รีบเข้ามาห้ามเขาไว้ “หนิงผิงอย่าร้อนใจไป แม่นางไม่ได้เป็นอะไร”

จากนั้นก็พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นด้วยคำพูดไม่กี่คำ

กู้หนิงผิงยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธและหันไปมองพี่สาวด้วยความกังวล จากหันหลังกลับแล้วเดินออกไป “ท่านพี่ ข้าจะไปช่วยพี่หนิงอัน ข้าจะไปคิดบัญชีกับจ้าวจื่อเจี๋ย”

กู้หนิงผิงเป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่อได้ยินว่าทั้งกู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงอันถูกจ้าวจื่อเจี๋ยรังแก เขายอมจะนั่งอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร เขาหันหลังแล้วเดินออกไปข้างนอกเพื่อไปชำระบัญชีแค้นกับจ้าวจื่อเจี๋ย

“หนิงผิง นั่งลงก่อน” เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่ากู้หนิงผิงออกไปอย่างรีบร้อนก็ตะโกนขึ้น “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้หนิงอันอยู่ที่ไหน เจ้าไปบ้านตระกูลจ้าวก็เท่ากับบอกพวกเขาว่าเรารู้ที่อยู่ของหนิงอันแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะถูกเปิดเผย มีโอกาสมากที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่แน่ว่ามันอาจจะทำอะไรบ้า ๆ มากกว่านี้”

“ท่านพี่ แล้วเราควรทำอย่างไร หรือว่าจะมองดูพี่ชายอยู่ในมือพวกเขา ชีวิตและความตายไม่แน่นอน จะปล่อยให้จ้าวจื่อเจี๋ยรังแกพวกเราอยู่แบบนี้หรือ” กู้หนิงผิงกังวลจนน้ำตาไหลลงมา “ข้าโตแล้ว…”

กู้หนิงผิงมองกู้เสี่ยวหวาน นอกจากความกังวลแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีความเศร้าที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้น

ข้าโตแล้ว แต่ท่านพี่ยังคงทำเหมือนข้ายังเป็นเด็ก เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่เคยบอกข้า เอาแต่ปิดบังไม่ให้ข้ารู้ ข้าสามารถปกป้องนางได้แล้ว

“หนิงผิง เจ้าไม่ต้องกังวล เรามาคุยเรื่องที่จ้าวจื่อเจี๋ยรังแกข้าก่อน ข้าไม่ปล่อยไปแบบนี้แน่ แต่เรื่องการหมั้นหมายที่เกิด ข้าจึงปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน ตอนนี้จ้าวจื่อเจี๋ยกล้ามายั่วยุข้าอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันปล่อยสองพี่น้องคู่นี้ไปเด็ดขาด” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยความเกลียดชัง

“เสี่ยวหวาน เจ้าบอกสิว่าตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร” ฉือโถวถาม

“ใช่ขอรับ คุณหนู ท่านว่าพวกเราควรทำอย่างไร พวกเราควรทำอย่างไรดี” เหลียงอวี้เฉิงแสดงความคิดเห็น

“อาจั่ว ตอนนี้พวกเราไปบ้านตระกูลจ้าว ไปหาจ้าวสวิ่นกันเถอะ” กู้เสี่ยวหวานพิจารณาสักครู่แล้วพูดออกมา

กู้หนิงผิงรีบเอ่ยขึ้นทันที “ท่านพี่ ข้าจะไปกับพวกท่าน”

ถ้าคนเยอะก็จะมีคนดูแล กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้วางแผนที่จะไปกันแค่ผู้หญิงสองคน กู้หนิงผิงและฉือโถวก็ไปกับนางด้วยเช่นกัน

เหลียงอวี้เฉิงและลูกจ้างที่แข็งแกร่งคนหนึ่งขับรถม้าไปรอที่หน้าประตูบ้านตระกูลจ้าว

ตอนนี้ดึกมากแล้ว

หลังจากเคาะประตูบ้านตระกูลจ้าวอยู่นานก็มีเสียงอันเกียจคร้านและชั่วร้ายดังออกมาจากข้างใน “ดึกดื่นป่านนี้ใครมากัน เคาะอะไรนักหนา รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน ถ้าไม่มีอะไรล่ะก็คอยดูข้าฆ่าเจ้าแน่”

ประตูถูกเปิดอย่างแรงเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ในค่ำคืนอันเงียบสงัดนี้ มันดูมืดมนและน่ากลัวมาก

“ไอ้บ้าที่ไหนมาเคาะประตู ไสหัวไปซะ!” คนรับใช้ที่เฝ้าประตูยังคงหรี่ตามองผ่านแสงสลัวทำให้เห็นภาพตรงหน้าไม่ชัด แต่รู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้า และเอ่ยปากด่าอย่างไม่คิด “ประตูตระกูลจ้าวจะให้เจ้ามาเคาะมั่วซั่วได้อย่างไร อยากตายกันหรือไง”

“เจ้ากำลังว่าใคร” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น คนรับใช้ลืมตาขึ้นเพียงครึ่งเดียวก็รู้สึกได้ถึงความเย็นวูบวาบในดวงตา จากนั้นก็มีของแหลมคมบางอย่างมาจ่อที่คอ และสัมผัสที่เย็นยะเยือกทำให้คนรับใช้ตัวสั่นระริก

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท