ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1375 พี่น้องท้องชนกัน – ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1376 ใต้เท้าจ้าวมาพอดี

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1375 พี่น้องท้องชนกัน

บทที่ 1375 พี่น้องท้องชนกัน

(Content Warning : นิยายเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับ Incest มีการบรรยายถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างเครือญาติหรือสายเลือดเดียวกัน)

จานหงอวี้ผู้นี้อายุมากน้อยอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทั้งชายโสดและชายที่แต่งงานแล้ว ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับนาง มันเยอะขนาดที่ว่ายกมือทั้งสองข้างขึ้นมานับยังไม่พอ

หญิงสำส่อนเช่นนี้จะแต่งเข้าตระกูลจ้าวได้อย่างไร

จ้าวสวิ่นไม่ยอมเด็ดขาด ทว่าจานหงอวี้ผู้นี้กลับหาเรื่องมาบีบบังคับให้เขาต้องยอมจำนนเสียจนได้

จานหงอวี้ผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน นางใช้เสี้ยนจู่และใต้เท้าจ้าวแห่งเมืองรุ่ยเสียนมาขู่เขา จ้าวสวิ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตกปากรับคำนางไปก่อน ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกู้เสี่ยวหวานเหมือนอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบาง ๆ หากมีเรื่องแย่ ๆ แทรกเข้ามา เกรงว่ามันคงจะต้องจบไม่สวยแน่ ๆ

ทันทีที่อีกฝ่ายตอบรับ จานหงอวี้ก็รีบวิ่งแจ้นไปหาจ้าวจื่อเจี๋ยอย่างเริงร่า ก่อนจะกลับบ้านในเวลาต่อมา

มาถึงบ้านที่ไม่ได้กลับมานาน ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ชายชุดดำหลายคนปรากฏตัวในบ้านของจานหงอวี้พร้อมดาบในมือ ก่อนจะพุ่งเข้าไปในบ้านของจานหงอวี้เพื่อปลิดชีวิตนาง

จานหงอวี้ตกใจวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน กระทั่งเห็นบ้านร้างหลังหนึ่งอยู่ข้างหน้า นางรีบวิ่งกระหืดกระหอบหนีตายเข้าไปข้างในบ้าน พลางคิดในใจว่าหลบอยู่ที่นี่คงจะปลอดภัยกว่า

ทว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านร้างทำให้นางลืมสิ้นว่าตนพึ่งวิ่งหนีสิ่งใดมา และกำลังมีคนไล่ล่าตนอยู่

ภาพอันเร่าร้อนทำเอาผู้มาใหม่ยืนตะลึงงัน คนสองคนกอดกันแน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ ตอบโต้กันไปมา การเคลื่อนไหวของคนทั้งสองยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ราวกับสัตว์โตเต็มวัย

มันเกิดสิ่งใดขึ้นในบ้านร้างหลังนี้ สองคนนี้ถึงได้กล้าทำเรื่องอย่างว่าโจ่งแจ้งเช่นนี้

บ้านร้างหลังหนึ่ง ห้องหับเก่า ๆ โทรม ๆ แต่กลับตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายละมุนละม่อม

สองร่างเปลือยเปล่าอิงแอบแนบชิด

เสียงผลักประตูให้เปิดออกอย่างแรงพร้อมร่างคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า คนทั้งสองเพียงเหลือบมองอย่างงุนงง ทันทีที่เห็นแจ้งแล้วว่าผู้ใดคือเจ้าของร่าง ดวงทั้งสองคู่พลันเบิกกว้าง กระวีกระวาดควานหาผ้ามาปกปิดร่างกาย เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วฟ้า

“กรี๊ดดด!” เป็นจานหงอวี้ที่ส่งเสียงกรีดร้อง รวมทั้งเสียงพูดคุย

“จื่อเจี๋ย! จะ… จะ… เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!?” พูดจบ จานหงอวี้ก็ปิดหน้าเดินออกมาอย่างอับจนหนทาง ชายชุดดำที่กำลังไล่ล่านางล้วนเป็นคนของซ่งเหลียนเฉิง และตอนนี้พวกเขาก็ได้เห็นกับตาว่านายหญิงกำลังเปลื้องผ้าทำเรื่องอย่างว่ากับพี่ชายแท้ ๆ ของนาง

แล้วพวกเขา…

จะกลับไปรายงานนายท่านอย่างไรดี!?

แต่ละคนได้แต่มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

ทันใดนั้น จ้าวสวิ่นและฮูหยินจ้าวก็ปรากฏตัวที่บ้านร้าง ด้านจ้าวจื่อเจี๋ยและจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่ทำตัวราวกับสัตว์ก็ได้แต่หอบผ้าพันรอบกายไว้แน่น พลางนึกกลัวว่าหลังประตูบานใหญ่จะมีคนมากมายรออยู่ด้านนอก หากเป็นอย่างที่คิดจริง ๆ เรื่องนี้คงต้องถูกเล่าลื่อกันไปปากต่อปาก ผู้คนคงต้องยื่นคอเข้ามามองพวกเขาอย่างหน้าชื่นตาบานพลางหัวเราะเยาะอย่างสะใจเป็นแน่

จ้าวสวิ่นและฮูหยินจ้าวยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดในบ้านร้าง จนกระทั่งเดินเข้าไปข้างในห้อง ถึงได้เห็นภาพเบื้องหน้าเต็มสองตา จ้าวสวิ่นถึงกับโกรธเลือดขึ้นหน้าก้าวขาไม่ออก

“พวกเจ้ามันต่ำช้า! ยังไม่รีบปิดประตูอีก ไล่คนข้างนอกออกไปให้หมด!” จ้าวสวิ่นสั่งเสียงเข้ม ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธเกรี้ยว

ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ทันการเสียแล้ว สิ่งใดควรเห็น สิ่งใดไม่ควรเห็น ผู้คนข้างนอกล้วนเห็นไปแล้วทั้งสิ้น ต่อมาคนรับใช้ของจ้าวสวิ่นถึงได้มาไล่พวกเขา เสียงขับไล่ดังอึกทึกครึกโครมทำให้ผู้คนจำต้องแตกกระเจิงออกจากกันราวกับนกป่า

ไม่รอให้จ้าวสวิ่นต้องออกมาไล่พวกเขาด้วยตัวเอง

ฮูหยินจ้าวโมโหจนตัวสั่น เข่าทรุดลงกับพื้นก่อนจะร้องไห้โฮออกมาอย่างเหลืออด “ตระกูลจ้าวไปทำเวรกรรมอันใดไว้นักหนา ถึงได้ส่งคนเนรคุณอย่างพวกเจ้าเข้ามาในตระกูล ทำให้ตระกูลจ้าวอันบริสุทธิ์ผุดผ่องต้องมัวหมอง แล้วข้าจะสู้หน้าบรรพบุรุษตระกูลจ้าวได้อย่างไร!”

สิ้นเสียงฮูหยินจ้าว สีหน้าจ้าวสวิ่นพลันถอดสี

ไม่ใช่ฮูหยินจ้าวหรอกที่ไม่กล้าสู้หน้าบรรพบุรุษตระกูลจ้าว แต่เป็นเขาต่างหาก!

หากตอนนั้นเขาไม่คิดอคติต่อภรรยาเอกอย่างฮูหยินจ้าว ตัวเขาก็คงจะไม่ไปสร้างเรือนทองนอกเรือนและให้กำเนิดคนชั่วทั้งสองคนนี้ให้เข้ามาเป็นคนของตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวก็คงไม่ต้องมาถึงจุดนี้ เดิมทีตระกูลจ้าวก็แทบไม่มีหน้าไปสู้ผู้ใดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีหน้าไปสู้ผู้ใดแล้ว จริง ๆ

เป็นพี่น้องท้องเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับกล้าทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้ นี่มันช่างเป็นเรื่องต่ำช้า น่าอัปยศที่สุด!

“ท่านพ่อ…ท่านแม่…เราถูกใส่ร้าย เราถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ดึงสติกลับมาได้ก็รีบกระชับผ้าบนร่างกาย แล้วคลานเข้าไปหาจ้าวสวิ่นและฮูหยินจ้าว

ในเมื่อจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ทำเรื่องผิดศีลธรรมขนาดนี้ นี่เป็นโอกาสดีที่นางจะสามารถกำจัดคนได้ถึงสองคนในคราวเดียว คนอย่างฮูหยินจ้าวย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดมือแน่

นางครุ่นคิดอยู่ในใจ หาได้เอาใจใส่ฟังคำแก้ตัวจากจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ “ถูกคนใส่ร้ายอีกแล้วหรือ? ฮ่า ๆ คนผู้นั้นกัดเจ้าไม่ปล่อยจริง ๆ ใส่ร้ายครั้งแรกไม่สำเร็จก็ยังอุตส่าห์ใส่ร้ายครั้งที่สองอีก”

“ฮูหยิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร” จ้าวสวิ่นได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับพูดที่ฟังดูเหมือนมีสิ่งใดแฝงอยู่

ฮูหยินจ้าวชี้ไปที่จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และจ้าวจื่อเจี๋ย ก่อนจะเริ่มเล่าบางสิ่งพร้อมสีหน้ารังเกียจ “นายท่าน เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องปิดบังท่านอีกต่อไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยจับได้ เพียงแต่ครั้งนั้นพวกเขาบอกว่าถูกใส่ร้าย ข้าก็เลยให้หมอตำแยมาตรวจดูร่างกายของอวิ๋นเอ๋อร์ พบว่ายามนั้นนางยังเป็นสาวพรหมจรรย์ แถมเรื่องมันยังเกิดขึ้นในเรือนตนเอง ข้าก็เลยปล่อยไป ไม่คิดทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะพวกเขาอาจจะโดนใส่ร้ายจริง ๆ ก็ได้ แต่มาคราวนี้…”

ฮูหยินจ้าวหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้อาเหลียนที่อยู่ข้าง ๆ อาเหลียนไม่รอช้า รีบก้าวไปข้างหน้ากวาดสายตาตรวจสอบบนเตียงกว้าง

มองปราดเดียว คิ้วนางก็ขมวดแน่น

มองเตียงแล้วก็มองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เงยหน้าสบตาอาเหลียน พลันรู้สึกถึงร่างกายส่วนล่างที่ฉีกขาดไปแล้วพร้อมหัวใจที่เต้นรัว

“ท่านพ่อ! ท่านต้องเชื่อข้านะ ท่านพ่อ ลูกไม่รู้จริง ๆ ว่าลูกมาอยู่ที่นี่กับท่านพี่ได้อย่างไร ท่านพ่อได้โปรดเชื่อข้า เชื่อข้าเถอะ ลูกต้องถูกใส่ร้ายแน่ ๆ”

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ล้มลุกคลุกคลานพยายามเข้าไปจับชายกางเกงเพื่อขอร้องอ้อนวอนจ้าวสวิ่น

แม้ว่าร่างกายนางไม่ได้เปลือยเปล่า แต่สิ่งที่ปกปิดร่างกายไว้ในตอนนี้เป็นเพียงผ้าปูเตียงเท่านั้น และยามที่นางคลานไปบนพื้นอย่างทุลักทุเล ผ้าก็หลุดลงมาเผยให้เห็นไหล่ขาวเนียน

รอยช้ำที่คนแยกไม่ออกบนไหล่ขาวราวหิมะก็ปรากฏให้เห็นแก่สายตา ดวงตาของจ้าวสวิ่นยิ่งแดงก่ำราวกับมีเปลวไฟพุ่งออกมา

อาเหลียนเดินไปกระซิบที่ข้างหูฮูหยินจ้าวอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินจ้าวก็พยักหน้าสองสามครั้ง นางคิดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ และจากสายตาที่นายท่านมองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ในยามนี้ ดูก็รู้ว่าเขาพอจะดูออก

 

 

บทที่ 1376 ใต้เท้าจ้าวมาพอดี

บทที่ 1376 ใต้เท้าจ้าวมาพอดี

ตอนนี้สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว โดยที่ไม่ต้องลงมือจัดการเองให้ยุ่งยาก สิ่งที่ต้องทำคือเพียงคิดว่าจะบอกกับตระกูลซ่งอย่างไรดี

หลังจากเมียงมองไปทางจ้าวสวิ่นที่กำลังโกรธแทบเป็นแทบตายแล้วก็เอ่ยขึ้นทันใด “นายท่าน ตอนนี้เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะอธิบายกับตระกูลซ่งว่าอย่างไร”

สีหน้าจ้าวสวิ่นมืดมนราวกับก้นหม้อ มองจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์เสร็จแล้วก็หันไปมองจ้าวจื่อเจี๋ยที่ซุกตัวอยู่ในผ้าที่ปลายเตียงไม่พูดไม่จา ก่อนจะสั่งเสียงเข้มว่า “พาสองคนนั้นกลับไปขังไว้ที่จวน หากไม่มีคำสั่งจากข้า ผู้ใดก็ห้ามปล่อยพวกเขาออกมา!”

จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ยังคงร่ำร้องไม่หยุด แต่จ้าวจื่อเจี๋ยเอาแต่นิ่งเฉยราวกับยอมรับชะตากรรมของตน ไม่แม้แต่จะปริปากร้องขอความเมตตาสักคำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารู้ตัวว่าไม่มีหน้าจะร้องขอความเมตตา หรือเขาคิดว่าอย่างไรเสียจ้าวสวิ่นก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

จ้าวสวิ่นก้าวขาออกมาจากบ้านร้างก็หยุดชะงักทันทีที่เห็นว่าข้างนอกยังเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังจับจ้องมาที่เขาพร้อมเสียงซุบซิบนินทา

จ้าวสวิ่นที่กำลังไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว ยิ่งต้องมาเห็นผู้คนมากมายยังอยู่ที่เดิมทั้ง ๆ ที่เขาสั่งให้บ่าวรับใช้ออกมาไล่คนพวกนั้นไปแล้ว แถมยังเฝ้ามองดูเขาราวกับเป็นเรื่องน่าขัน ความขุ่นเคืองในใจปะทุออกมาทันใด “มองหาสิ่งใดกัน มีสิ่งใดให้พวกเจ้าสนใจนักหนา ไสหัวออกไปให้ หมด!”

จ้าวสวิ่นตะคอกด้วยความโกรธ แต่คนเหล่านั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จ้าวสวิ่นเห็นอย่างนั้นความโกรธยิ่งทวีมากขึ้น ตะคอกออกไปอย่างเหลืออดจนสุดเสียง “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม มีสิ่งใดน่าดูนัก ไสหัวออกไปให้หมด!”

“นายท่านจ้าวเสียงดังฟังชัดดีนี่? แต่หากข้าบอกว่าข้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อ นายท่านจ้าวก็จะไล่ข้าอย่างนั้นหรือ?” สิ้นเสียงจากคนผู้นั้น จ้าวสวิ่นก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว มองไปตามทิศทางของเสียงที่ดังมาก็พบว่าคนผู้นั้นคือใต้เท้าจ้าว เจ้าเมืองรุ่นเสียนในชุดเรียบง่าย ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเหมือนเป็นชาวบ้านธรรมดาที่กำลังเฝ้าดูเรื่องตื่นเต้น

จ้าวสวิ่นเพ่งมองให้ดีอีกทีก็เห็นว่าเป็นใต้เท้าจ้าวจริง ๆ หัวใจพลันเต้นระส่ำ พลางคิดในใจว่าคนผู้นั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หลงอยู่ในความคิดได้ไม่นานก็รีบก้าวไปหยุดอยู่เบื้องหน้าใต้เท้าจ้าว ก่อนจะกล่าวตำหนิตนเอง “ข้าน้อยไม่ทราบว่าใต้เท้าจ้าวก็อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อครู่ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ขอใต้เท้าโปรดอภัย”

ใต้เท้าจ้าวเหลือบมองจ้าวสวิ่นเพียงเล็กน้อย “นายท่านจ้าว ที่นี่คือเรือนของท่านอย่างนั้นหรือ?”

เรือนที่ว่าทั้งทรุดโทรมและรกร้างมาก จ้าวสวิ่นอาศัยอยู่ในเรือนเช่นนี้หรอกหรือ

จ้าวสวิ่นได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มเก้อเขิน “ใต้เท้าล้อข้าเล่นแล้ว เรือนข้าน้อยอยู่ด้านหน้าโน้นขอรับ”

“แล้วเหตุใดนายท่านจ้าวกับฮูหยินจ้าวถึงได้ออกมาจากข้างในนั้น แล้วยังพาคนมากมายมาที่นี่ด้วยเล่า หรือว่าข้างในนั้นมีบางอย่างน่าสนใจ นายท่านจ้าว…พาข้าเข้าไปดูสักหน่อยเถอะ” ใต้เท้าจ้าวถามหน้านิ่งราวกับยังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด

หากไม่ใช่เพราะจ้าวสวิ่นกลัวว่าจะทำให้ใต้เท้าจ้าวขุ่นเคืองล่ะก็นะ… สิ่งที่ใต้เท้าจ้าวเอ่ยถามต่อหน้าผู้คนมากมายเมื่อสักครู่นั้น มันก็เหมือนกดหัวเขาลงบ่อส้วม เสียดายที่นี่ไม่มีหลุม หากมีเขาจะต้องเอาหัวมุดลงไปในนั้นแล้วจริง ๆ

หากใต้เท้าจ้าวยังดึงดันจะเข้าไป แล้วได้เห็นว่าลูกชายกับลูกสาวของเขาทำเรื่องต่ำช้าหน้าไม่อายไร้ศีลธรรมล่ะก็… เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด! เรื่องราวฉาวโฉ่คงไม่ได้หยุดอยู่แค่เมืองหลิวเจีย แต่ต้องดังไกลไปถึเมืองรุ่ยเสียนเป็นแน่

แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้มีคนมากมายรับรู้แล้วก็ตาม แต่หากตัวเขาต้องเสียหน้าไปมากกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่เหลือแม้แต่เศษหน้าให้เข้าสังคมแล้วล่ะ

“ใต้เท้าจ้าวอย่าล้อข้าเล่นสิ ที่นี่จะไปมีเรื่องน่าสนใจอันใดกันเล่า ข้าน้อยก็แค่มาตรวจตราดูเท่านั้นเอง” จ้าวสวิ่นพูดได้ไม่เต็มปาก สีหน้าท่าทางอลักเอลื่อ

ชาวบ้านทั้งหลายเห็นว่าจ้าวสวิ่นกำลังถูกต้อนให้จนมุม พลันนึกถึงแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น*[1] ในห้องที่พวกตนได้เห็นก่อนหน้านี้

นี่คือเรื่องดี ๆ ที่คนในตระกูลใหญ่เขาทำกัน ภายนอกวางตัวเป็นคุณหนูคุณชาย ลับหลังกลับทำเรื่องสกปรกพรรค์นี้อย่างหน้าไม่อาย

ไม่ว่าจะทำตัวสูงส่งถึงเพียงใด ก็แค่เป็นหมาป่าห่มหนังแกะเท่านั้นแหละ

ชาวบ้านที่ยืนอยู่ไกล ๆ ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ก็คิดว่าคงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นตนถึงได้ตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ใต้เท้าขอรับ ในนั้นมีเรื่องน่าสนใจจริง ๆ มันน่าสนใจมากเลยล่ะ”

ใต้เท้าจ้าวได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงพึมพำทำหน้าสงสัย สาวเท้าไปข้างหน้าสองก้าวราวกับจะเข้าไปข้างใน

แต่จ้าวสวิ่นที่เห็นเช่นนั้นย่อมไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปแน่ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจไปสู้หน้าใครได้อีกแล้ว

“ใต้เท้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าน้อยแค่อยากซื้อเรือนนี้ ก็เลยมาดูสักหน่อย” จ้าวสวิ่นรีบอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ด้านฮูหยินจ้าวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ก้าวเข้าไปขวางทางใต้เท้าจ้าวไว้ ก่อนจะเอ่ยอย่างสุภาพว่า “ใต้เท้าจ้าว เรือนร้างหลังนี้เก่าเกินไป นายท่านกับข้าน้อยกลัวว่ายามที่ฝนตกมันจะถล่มลงมา หากคนบริสุทธิ์ต้องมาเจ็บตัวมันคงไม่ค่อยดีนัก นายท่านกับข้าน้อยก็เลยมาตรวจดูว่าพอจะซ่อมแซมมันได้หรือไม่”

จ้าวสวิ่นได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาก็เปล่งประกาย รีบพูดเสริมว่า “ใช่แล้ว ๆ ใต้เท้า เรือนหลังนี้มันเก่ามากแล้ว ก็เลยกลัวว่ามันจะพังลงมาโดนชาวบ้าน หากผู้บริสุทธ์ต้องมาบาดเจ็บเพราะมันก็คงจะไม่ค่อยดีเท่าไร แม้ตระกูลจ้าวของเราจะไม่ใช่เรือนที่มีกลองดังข้าวดี*[2] แต่ก็พอมีเงินอยู่บ้าง ข้าน้อยก็เลยอยากจะซ่อมแซมเรือนร้างหลังนี้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดต้องเจ็บตัวเพราะ มัน”

จ้าวสวิ่นลอบมองฮูหยินจ้าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ และยกนิ้วให้นางอยู่ในใจ

นี่แหละถึงจะสมกับตำแหน่งฮูหยินใหญ่ เพียงคำพูดไม่กี่คำก็สามารถพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้

“โอ้ เป็นอย่างนี้เองหรือ” สีหน้าใต้เท้าจ้าวยังเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาก็ไม่คิดที่จะดึงดันต่อ “นายท่านจ้าวและฮูหยินจ้าวมีจิตใจเมตตาต่อผู้คนเช่นนี้ เมืองหลิวเจียมีตระกูลจ้าวอยู่ถือเป็นความโชคดีของชาวบ้านแล้ว”

จ้าวสวิ่นรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ล้วนเป็นเพราะความดีของใต้เท้า ข้าน้อยก็แค่ชาวบ้านคนหนึ่งในเมืองหลิวเจีย”

ชาวบ้านทั้งหลายก็ได้แต่มองดูจ้าวสวิ่นตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างสนอกสนใจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้งเขา

แม้อยากจะประจานจ้าวสวิ่นเพียงใด แต่ด้วยสถานะของเขาในเมืองหลิวเจีย หากผู้ใดไปมีเรื่องกับเขาเข้าก็คงต้องใช้ชีวิตในเมืองนี้อย่างยากลำบากแล้ว

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก แม้ว่าสีหน้าของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความเหยียดหยามก็ตาม

จ้าวสวิ่นเห็นความเงียบรอบตัว ใต้เท้าจ้าวเพียงมองอย่างสงสัย แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด หัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นดายค่อย ๆ สงบลง

“ใต้เท้าจ้าว เหตุใดวันนี้ท่านถึงมีเวลาว่างมาที่เมืองหลิวเจียได้เล่า” จ้าวสวิ่นถามอย่างสงสัย

บังเอิญมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ มันช่าง…

น่าเหลือเชื่อจริง ๆ

“อ๋อ พอดีว่าสองสามวันนี้ข้าต้องออกตรวจตรา วันนี้มาถึงเมืองหลิวเจียพอดี ก็เลยมาตรวจดูสักหน่อย”

*[1] แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง

*[2] เรือนที่มีกลองดังข้าวดี หมายถึง มีความมั่งคั่ง ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท