บทที่ 1381 คนที่แตะต้องไม่ได้
บทที่ 1381 คนที่แตะต้องไม่ได้
ฮูหยินจ้าวไม่สนใจจ้าวสวิ่น นางทำได้เพียงถอยหลังด้วยร่างกายที่สั่นเทา มองไปที่จ้าวจื่อเจี๋ยด้วยความกลัว ริมฝีปากสั่นระริก “อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า”
ภายในห้องโถงของศาลาว่าการอันโอ่อ่า มีความวุ่นวายเกิดขึ้นจนกระทั่งมีเสียงของใต้เท้าจ้าวดังขึ้น ทุกคนในห้องโถงก็กลับมามีสติอีกครั้ง
“ไปจับตัวเขาไว้ เร็วเข้า อย่าให้เขาทำร้ายใครได้อีก”
จ้าวจื่อเจี๋ยถือดาบในมือเดินไปหาฮูหยินจ้าว เห็นได้ชัดว่าเขามีเจตนาจะฆ่านาง
เจ้าหน้าที่เองก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ทุกคนร่วมมือกับคนรับใช้ของซ่งเหลียนเฉิงเพื่อจับจ้าวจื่อเจี๋ยที่เสียสติไปแล้ว
จ้าวจื่อเจี๋ยยังคงไม่พูดอะไรสักคำ เขาเอาแต่จ้องมองที่ฮูหยินจ้าวอย่างกระหายเลือดพร้อมกับเบิกตากว้าง
ฮูหยินจ้าวฟื้นจากความตื่นตระหนก เพียงเพื่อตระหนักว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ นางตบหน้าอกด้วยความกลัวและเดินไปหาจ้าวสวิ่นอีกครั้ง “นายท่าน นายท่าน ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
จ้าวสวิ่นเจ็บปวดมากจนแทบจะหมดสติ แต่เขายังคงกัดฟันและสาปแช่ง “ตัดมือทั้งสองข้างของเขาซะ!”
ทันทีที่คำพูดของเขาจบลง ก็มีเสียงกรีดร้องดังลั่น มือทั้งสองข้างของจ้าวจื่อเจี๋ยตกลงไปที่พื้น บนพื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด และจ้าวจื่อเจี๋ยก็หมดสติไป
เลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก เจิ่งนองไปทั่วทั้งห้องโถง จ้าวจื่อเจี๋ยเป็นลมและผู้คนโดยรอบก็เงียบเสียงลง ฉากนองเลือดข้างหน้าก็ยังไม่สามารถต้านทานความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนได้
ยกเว้นคนบางคนที่รู้สึกไม่สบายใจหลังจากการที่เห็นฉากนองเลือดจึงจากไปทันที แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่มารวมตัวกันที่ห้องโถง
เมื่อผู้คนได้ยินมาว่ามีโศกนาฏกรรมนองเลือดเกิดขึ้นที่นี่ ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องการมาดูความตื่นเต้นนี้
ลูกชายฆ่าพ่อ พ่อฆ่าลูก และพี่ชายน้องสาวที่มีความสัมพันธ์ยุ่งเหยิง นี่เป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองหลิวเจียเป็นเวลาหลายปี
ผู้คนต่างก็ต้องการไปดูด้วยความตื่นตา แต่ไม่มีใครห่วงใยชีวิตและความตายของตระกูลจ้าว
จ้าวสวิ่นหมดสติจากความเจ็บปวด และฮูหยินจ้าวกรีดร้องขณะที่กอดอีกฝ่ายไว้แน่น
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และจ้าวจื่อเจี๋ยเองก็หมดสติไปแล้วเช่นกัน
เมื่อมองเหตุการณ์ตรงหน้า ใต้เท้าจ้าวได้แต่ถอนหายใจ
ช่างมัน ช่างมัน จ้าวจื่อเจี๋ยผู้นี้ก็ได้รับผลกรรมแล้ว เขาสูญเสียมือของเขา เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไป
ครอบครัวจ้าวกลับไปที่บ้านตระกูลจ้าว และจ้าวสวิ่นก็ตื่นขึ้นในไม่ช้าภายใต้การรักษาของหมอ
เมื่อมองไปที่แขนหนึ่งข้างที่หายไปของเขา และมองไปที่ภรรยาและลูกชายคนโตของเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า จ้าวสวิ่นรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก “ฮูหยิน หลายปีมาแล้วที่มีเพียงเจ้าและชงเอ๋อร์เท่านั้นที่เข้าใจข้าดีที่สุดและรักข้ามากที่สุด”
หลังจากพูดจบ เขาก็โอบกอดฮูหยินจ้าวแน่น และน้ำตาไหลรินด้วยความดีใจที่รอดจากภัยอันตรายมาได้
“นายท่าน แล้วสองพี่น้องคู่นั้นล่ะ?” ฮูหยินจ้าวถามหลังจากร้องไห้มามากพอแล้ว
“ให้เงินพวกเขาและไล่พวกเขาออกจากตระกูลจ้าว ศักดิ์ศรีของตระกูลจ้าวถูกทั้งสองคนนี้ทำลายจนป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าคน เขาต้องการฆ่าแม้กระทั่งพ่อของเขาเอง หากพวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไป อาจจะเกิดหายนะได้” จ้าวสวิ่นถอนหายใจด้วยแรงอารมณ์
ในอดีตเขารู้สึกเสมอว่าตนเองเป็นหนี้หงซื่อเป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้เขาต้องทนทุกข์กับเหตุการณ์ครั้งใหญ่ หนี้ที่เขารู้สึกว่าติดหงซื่ออยู่นั้นได้หายไปหมดแล้ว
เมื่อคิดถึงหงซื่อ จ้าวสวิ่นกล่าวต่อ “ไม่จำเป็นต้องส่งคนไปรับใช้หงซื่อแล้ว ปล่อยให้นางดูแลตัวเอง”
ฮูหยินจ้าวพยักหน้า “นายท่าน ชงเอ๋อร์มีข้อเสนอแนะ เราไปเริ่มต้นใหม่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเราดีหรือไม่ หลังจากหนึ่งปีหรือสองปี เราค่อยมาเลือกการแต่งงานที่ดีสำหรับชงเอ๋อร์ เมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะช่วยกันดูแลหลานให้เติบใหญ่ ตกลงไหม”
จ้าวสวิ่นพยักหน้าเห็นด้วย
ในที่สุดชื่อเสียงบารมีของตระกูลจ้าว มันก็จบลงด้วยมือของเขาเอง
ในอดีตเขาเคยคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากเสี้ยนจู่เพื่อนำพาตระกูลจ้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น แต่ตอนนี้เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเอง
ในขณะที่ยับยั้งหงซื่อไม่ให้นางเข้าใกล้เสี้ยนจู่ ในขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ฮูหยินไปสู่ขอ และสุดท้ายมันก็ไปกระตุ้นความไม่พอใจของหงซื่อ เป็นเรื่องตลกวนไปวนมา และในที่สุดก็กลับสู่จุดเดิม
“ได้ยินมาว่าเสี้ยนจู่กำลังจะเข้าเมืองหลวงเร็ว ๆ นี้” ฮูหยินจ้าวกำลังอธิบายเรื่องของจ้าวจื่อชง จู่ ๆ นางก็ได้ยินจ้าวสวิ่นพูดในสิ่งที่นางไม่เข้าใจ
“ใช่ เรื่องนี้ชาวบ้านต่างก็พูดกันมานานแล้ว นายท่าน ท่านไม่รู้หรือ” ฮูหยินจ้าวรู้สึกงงเล็กน้อย เรื่องนี้ไม่ได้แพร่ไปทั่วเมืองตั้งนานแล้วหรือ? แต่ทำไมเขาถึงถามอีกครั้ง
“อืม ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้น” จ้าวสวิ่นหลับตาและพูดอย่างอ่อนแรง ฮูหยินจ้าวมองอย่างงงงวย มันแปลกเล็กน้อย เหมือนเขาต้องการถามอะไรบางอย่าง เมื่อมองดูท่าทางที่อ่อนแอและเหนื่อยล้าของจ้าวสวิ่น หลังจากที่เห็นว่าเขาแสดงความลำบากใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นางก็หันกลับไปคุยกับจ้าวจื่อชงอีกครั้ง
จ้าวสวิ่นหลับตาลงและปล่อยมือข้างหนึ่งอย่างอ่อนแรง
คนที่แตะต้องไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็แตะต้องไม่ได้
หลังจากที่จ้าวสวิ่นฟื้นคืนสติ เขาก็ไม่ลืมว่าเขาเคยมีลูกที่ดีทั้งสองคนอย่างจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์และจ้าวจื่อเจี๋ย แต่ตอนนี้คนหนึ่งบ้าและอีกคนโง่ พวกเขาได้ทำสิ่งผิดมากมายต่อตระกูลจ้าว และจ้าวสวิ่นจะไม่มีวันให้อภัยเด็กสองคนนี้อย่างเด็ดขาด
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์สูญเสียความบริสุทธิ์ของนางและกลายเป็นคนโง่อีกครั้ง จ้าวสวิ่นให้นางแต่งงานกับผู้เฒ่าเฉิง ตั้งแต่ที่นางแต่งงานออกไป นางก็แยกตัวออกไปจากความสัมพันธ์พ่อกับลูกสาว
จ้าวจื่อเจี๋ยสูญเสียมือของเขา และเขาไม่สามารถทำอันตรายใครได้อีกต่อไป จ้าวสวิ่นสั่งให้ใครบางคนโยนเขาเข้าไปในป่าบนภูเขาที่ห่างไกล และปล่อยให้เขาตายด้วยตัวเขาเอง ด้วยวิธีนี้จะไม่มีใครเห็นเขาและจะไม่มีใครได้รับอันตรายใด ๆ เขาไม่สามารถทำลายเกียรติของตระกูลจ้าวได้อีก
การได้เห็นจ้าวสวิ่นปฏิบัติต่อลูกสองคนของเขาอย่างโหดร้าย แม้ว่าฮูหยินจ้าวจะรู้สึกว่าเด็กทั้งสองสมควรได้รับสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ แต่นางก็ยังไม่เห็นด้วยกับความเฉยเมยของจ้าวสวิ่น
ไม่ว่าลูกจะผิดแค่ไหนก็ยังเป็นลูกของตัวเอง
เพื่อคำนึงถึงเกียรติของตระกูลจ้าว จ้าวสวิ่นจึงจัดการเด็กทั้งสองในลักษณะนี้ แต่ฮูหยินจ้าวยังรู้สึกสะเทือนใจ
ชายผู้นี้จากมุมมองของสถานการณ์โดยรวมเป็นคนดี แต่เมื่อพูดถึงสิ่งที่เขาทำกับลูกทั้งสองนั้นมันโหดเหี้ยมเกินไป อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้คือสามีของนาง นางจึงไม่สามารถพูดอะไรได้
เมื่อเรื่องทั้งหมดนี้จบลง ครอบครัวของจ้าวสวิ่นก็เก็บข้าวของและวางแผนที่จะกลับไปหาครอบครัวของฮูหยินจ้าว
ก่อนจากไป ฮูหยินจ้าวนึกถึงหงซื่อ ดังนั้นนางจึงไปที่บ้านของอีกฝ่าย
หงซื่อถูกขังอยู่ในบ้านนี้ และฮูหยินจ้าวสั่งไม่ให้ใครบอกเรื่องจ้าวจื่อเจี๋ยและจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กับนาง ดังนั้นจนถึงตอนนี้ หงซื่อจึงไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบันของลูกทั้งสองของนาง
เมื่อฮูหยินจ้าวยืนอยู่ตรงหน้าหงซื่อ หงซื่อยังดูโง่เขลา และต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับมามีสติสัมปชัญญะ จากนั้นนางก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “ฮูหยิน ท่านมาทำอะไรที่นี่ ข้ากลายเป็นแบบนี้แล้ว สมใจท่านแล้วล่ะสิ คืนนายท่านของข้ามา คืนนายท่านของข้ามา”
—
บทที่ 1382 บ้านถูกขาย
บทที่ 1382 บ้านถูกขาย
จนถึงตอนนี้ หงซื่อก็ยังคงคิดถึงชายผู้นั้น
ฮูหยินจ้าวมองไปที่หญิงเสียสติผู้นี้และไม่รู้จะพูดอะไรเกี่ยวกับนางจริง ๆ
ถ้าบอกว่านางเอาชนะหงซื่อได้ นางเอาชนะได้จริง ๆ หรือ?
เป็นเพียงการที่จ้าวสวิ่นเห็นด้านที่เสียเปรียบของหงซื่อและละทิ้งหญิงผู้นี้ ครึ่งชีวิตที่ผ่านมา นางกัดกินความหึงหวงมาตลอด และเมื่อนางหันกลับไปก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่หญิงผู้นี้ต้องพบเจอ
ชายหนุ่มคิดถึงแต่ตัวเอง คิดจะรักก็รัก พอหมดรักก็ทอดทิ้งกันไป
ด้วยสถานะปัจจุบันของหงซื่อ นอกเหนือจากการกระทำของนางเอง จ้าวสวิ่นก็คือผู้ร้ายไม่ใช่หรือ?
ฮูหยินนั่งยอง ๆ มองดูหญิงตรงหน้านางที่ดูมีอายุมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอย่างเห็นอกเห็นใจ นางมองไปที่หงซื่อและพูดว่า “หงซื่อ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อถกเถียงกับเจ้า พวกข้ากำลังย้ายออกไปจากที่นี่ ก่อนจากกัน ข้ามาบอกลาเจ้า”
“พวกท่านจะไปจากที่นี่หรือ” เมื่อได้ยินดังนั้น หงซื่อจึงถามอย่างกระวนกระวายว่า “พวกท่านจะไปที่ไหน นายท่านล่ะ นายท่านไปด้วยหรือไม่”
“ใช่ ครอบครัวของพวกข้ากำลังจะย้ายออกไป” ฮูหยินจ้าวกล่าว นางนั่งลงข้าง ๆ หงซื่ออย่างอ่อนโยนและพูดอย่างใจเย็น
“ถ้าจะย้ายออกไป แล้วเจี๋ยเอ๋อร์กับอวิ๋นเอ๋อร์ของข้าล่ะ พวกเขาก็ไปเหมือนกันใช่หรือไม่” หงซื่อถามอย่างกระตือรือร้น ตอนนี้นางเหมือนจะมีสติ นางเป็นเหมือนแม่ที่ดีที่ห่วงใยและรักลูก ๆ
ฮูหยินจ้าวขมวดคิ้ว นางชำเลืองมองหงซื่อและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็กลืนสิ่งที่นางต้องการจะพูด และกล่าวเบา ๆ ว่า “อวิ๋นเอ๋อร์จะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หงซื่อก็ตบหน้าอกของนาง “ดี ดี ดี นายท่านสงสารข้า ท้ายที่สุดเขาแล้วส่งลูกมาอยู่เป็นเพื่อนข้า”
ฮูหยินจ้าวพยักหน้าตอบรับ
“ข้าไปก่อนล่ะ เจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดี” หลังจากพูดจบ ฮูหยินจ้าวก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
เมื่อเห็นว่านางสงบตลอดเวลา ไม่ได้เหน็บแนมหรือเยาะเย้ยตัวเอง นางก็อายเกินกว่าจะตะโกนโวยวาย และเอ่ยถามเบา ๆ ว่า “นายท่านจะแวะมาหาข้าก่อนที่เขาจะจากไปหรือไม่”
“คงไม่ได้มา นายท่านสุขภาพไม่ดี เขาพักฟื้นมาสองสามวันแล้ว เขาบอกให้ข้ามาบอกลาเจ้าแทน” ฮูหยินจ้าวมองไปที่หงซื่อราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นางแค่มองไปรอบ ๆ หลังจากตรวจสอบเครื่องเรือนในห้องแล้ว สุดท้ายนางก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินออกไปที่ประตู
หงซื่อตกตะลึงและต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นประตูค่อย ๆ ปิดลงต่อหน้า เมื่อฮูหยินจ้าวจากไป ในที่สุดสิ่งที่หงซื่อต้องการถามก็ออกจากปากของนางในที่สุด “นายท่านช่างไร้ความรู้สึกยิ่งนัก”
เหลือแค่ห้องว่างเปล่าและตัวนางเพียงลำพัง ไม่มีใครตอบนาง ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่นางพูด
หงซื่อลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและพุ่งไปที่ประตู และตะโกนออกไปข้างนอก “มีใครอยู่ไหม ข้าหิว ข้าอยากกินข้าว”
ข้างนอกเงียบงัน และไม่มีใครตอบรับนาง
แม้แต่สาวใช้ที่มักเยาะเย้ยนางในวันธรรมดาก็ไม่ปรากฏตัว ทันใดนั้นหงซื่อก็รู้สึกหวาดกลัว มองไปที่ห้องขนาดใหญ่ มันช่างเงียบและน่ากลัวมาก
หงซื่อตัวสั่นวิ่งออกไปและตะโกนเสียงดัง “คนหายไปไหนกันหมด? ไปตายอยู่ที่ไหนกัน? ถ้าข้าเจอตัว ข้าจะลอกหนังพวกเจ้าออกให้หมด!”
นางมองหาคนในบ้าน หาทุกห้องอย่างลนลาน ประตูทุกห้องเปิดอยู่แต่ไม่มีใครอยู่เลย
เมื่อไปถึงเรือนที่สาวใช้มักจะอาศัยอยู่ ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ข้างในเลย สาวใช้ก็จากไปแล้วเช่นกัน
หงซื่อเพิ่งรู้ว่าเหลือนางเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านขนาดใหญ่หลังนี้
สายลมพัดกระโชกแรงอยู่นอกบ้าน ทำให้หงซื่อสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในขณะนี้นางตระหนักได้ว่าฮูหยินจ้าวมาบอกลานางจริง ๆ และพาผู้คนที่อยู่รอบตัวนางจากไปเช่นกัน
ตอนนี้นางอยู่คนเดียวในลานขนาดใหญ่ ไม่มีคนรับใช้และไม่มีเงิน นางจะอยู่อย่างไร
ในขณะนี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อหงซื่อได้ยินคนเคาะประตู นางก็ดีใจคิดว่าเป็นสาวใช้ที่กลับมาจึงรีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
ประตูถูกผลักเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นร่างของคนผู้หนึ่ง เป็นร่างของชายร่างสูงใหญ่ และมีอีกหลายคนยืนอยู่ข้างพวกเขา นางไม่รู้จักคนเหล่านี้
ชายคนนั้นเดินเข้ามาและตรงไปที่ด้านหน้าของหงซื่อ พร้อมเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าเก็บข้าวของหรือยัง”
“อย่าแกล้งโง่เลยจะดีกว่า บ้านหลังนี้เป็นของข้าแล้ว เรากำลังจะย้ายเข้ามา ทำไมเจ้ายังไม่รีบย้ายออกไปล่ะ” ชายคนนั้นไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อหงซื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง “เจ้ากำลังพูดไร้สาระอะไร เจ้าบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นของเจ้าหรือ เห็น ๆ กันอยู่ว่าบ้านหลังนี้เป็นของข้า นายท่านเป็นคนซื้อให้ข้า”
เสียงของหงซื่อแหลมเสียดหูและร่างกายของนางสั่นสะท้านด้วยความไม่พอใจ
“เมื่อก่อนมันเคยเป็นของเจ้า แต่ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แล้ว” ชายคนนั้นสบถสุดเสียง และเสียงแข็งกร้าวราวกับต้องการข่มหงซื่อลงอย่างเห็นได้ชัด
หงซื่อยังคงไม่เชื่อความจริงนี้ “โกหก เจ้าคนโกหก ที่นี่คือบ้านของข้า ออกไปเสีย! เร็วเข้า! ไม่เช่นนั้นข้าจะตะโกนเรียกคนมาช่วย”
ชายคนนั้นทำสีหน้าล้อเลียน “เจ้าเรียกเลย แม้ว่าเจ้าจะเรียกฮ่องเต้มา บ้านหลังนี้ก็ยังเป็นของข้าอยู่ดี”
เมื่อหงซื่อได้ยินดังนั้น นางจึงผุดลุกขึ้นเพื่อจะไล่ชายคนนั้นออกไปอย่างบ้าคลั่ง ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ชายผู้นั้นจึงพูดขึ้น “ฮูหยิน ลูกชายของข้าไม่ได้โกหกเจ้า บ้านหลังนี้เป็นของครอบครัวข้าแล้วจริง ๆ ไม่กี่วันก่อนนายท่านตระกูลจ้าวขายบ้านและพวกข้าก็ซื้อมัน เจ้าเห็นไหม โฉนดของบ้านหลังนี้เป็นชื่อของลูกชายข้าแล้ว”
ชายชราค่อนข้างอ่อนโยน เมื่อเห็นว่าหงซื่อดูเหมือนหญิงเสียสติ เขาจึงรีบเอาโฉนดบ้านออกมาให้หงซื่อดู
หงซื่อตกตะลึงและมองอยู่นาน นางเห็นชื่อที่ไม่รู้จักเขียนอยู่บนโฉนดบ้าน ทันใดนั้น นางก็โยนโฉนดบ้านทิ้ง เป็นการกระทำที่เมื่อชายตรงหน้านางเห็นก็รีบเอาตัวเข้ามาขวางอยู่ด้านหน้าของชายชรา “ท่านพ่อ อย่ามัวยืนงงอยู่เลย รีบเก็บโฉนดขึ้นมา ถ้าหญิงผู้นี้เกิดคลุ้มคลั่งแล้วนางฉีกโฉนดบ้านเข้าล่ะจะทำอย่างไร?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชรารู้สึกกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางที่บ้าคลั่งของหงซื่อ เขาตัวสั่นและรีบซ่อนโฉนดบ้านไว้ในอก
“เจ้ามันคนโกหก โกหก! บ้านหลังนี้นายท่านเป็นคนซื้อให้ข้า ข้าจะอยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางขาย ไม่มีทาง!” หงซื่อยังคงไม่เชื่อความจริงดังกล่าวพร้อมสบถและเอ่ยปากแช่งอย่างบ้าคลั่ง