การยอมจำนนของหลิวหลี่หยางเป็นก้าวแรกก้าวใหญ่ในแผนการดูดกลืนสถาบันกลืนกินโลหิต
หลิวหลี่หยางนั้นเป็นผู้อาวุโสสถาบันกลืนกินโลหิตและเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลคนนึงซึ่งมันทำให้รู้ความลับของสถาบันมากมาย แม้กระทั่งเฉินเสี่ยวจะไปตรวจสอบและเฝ้าติดตามเรื่องของสถาบันกลืนกินโลหิต ข้อมูลข่าวสารของพวกเขานั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เฉินเสี่ยวเทียนจะหามาได้
ตัวอย่างเช่น ในขณะที่บ่มเพาะกายาปีศาจอมตะ หากโตเหยินและเจียงเทียนหัวแห่งสถาบันกลืนกินโลหิตนั้นบ่มเพาะผิดพลาด นั่นอาจจะเป็นสาเหตุทำให้ปราณปีศาจเข้าสู่ร่างกาย ทุกๆปี จะมีอยู่วันหนึ่งที่พลังของพวกเขาจะลดลงสู่จุดที่อ่อนแอที่สุด หรือความจริงที่ว่าผู้แทนสถาบันกลืนกินโลหิต ฉุยหมิงและสนมของประมุขนิกายเก้าอสูรนั้นมีการแอบนัดพบกันอย่างลับๆ ฯลฯ
“ในหนึ่งวันของทุกๆปีพลังของเจียงเทียนหัวนั้นจะลงดลงถึงขีดสุดงั้นหรือ?”หวงเสี่ยวหลงก็ได้ถามออกมา
“ใช่แล้วขอรับ นายน้อย”หลิวหลี่หยางก็พูดย้ำขึ้นมา “อย่างไรก็ตาม ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นวันใหน”
หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้า และแสดงสีหน้าเศร้าหมอง ครู่ต่อมาเขาก็พูดกับเฉินเสี่ยวเทียนว่า “ไปกระจายข่าวลือเรื่องการความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างผู้แทนประมุข ฉุยหมิงแห่งสถาบันกลืนกินโลหิตกับสนามของประมุขนิกายเก้าอสูร จำไว้ด้วยว่าเจ้าต้องลงมืออย่างระมัดระวัง”
เฉินเสี่ยวเทียนก็สับสนแต่เขาก็สงบลงอย่างรวดเร็วและน้อมรับคำสั่ง ที่หวงเสี่ยวหลงได้สั่งให้เขาใส่ใจกับปฏิกิริยาตอบรับจากสถาบันกลืนกินโลหิตและนิกายเก้าอสูรหลังจากที่ข่าวลือรั่วไหลไปแล้ว
ส่วนสำหรับหลิวหลี่หยาง หวงเสี่ยวหลงได้สั่งการให้เข้าพักอาศัยอยู่ในศูนย์หลักของนิกายพ่อมดนภาและทำตัวไม่สะดุดตาไว้ซึ่งคือก็คือเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปให้ใครเห็นหน้าจนกระทั่งหวงเสี่ยวหลงได้ยึดสถาบันกลืนกินโลหิตได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว
ตั่งแต่วันนั้นมา ข่าวเรื่องความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างผู้แทนประมุขสถาบันกลืนกินโลหิต ฉุยหมิงและสนมของประมุขนิกายเก้าอสูรก็ได้แพร่สะพัดไป อย่างที่หวงเสี่ยวหลงได้คาดเดาไว้ ฮูหานประมุขนิกายเก้าอสูรก็ได้ระเบิดความโกรธออกมา ต่อหน้าการรวมตัวของเหล่าศิษย์นิกายเก้าอสูร เขาได้ทำการประหารสนมคนนั้นด้วยตัวเขาเอง หลังจากนั้นเขาได้แสดงความต้องการต่อสาธารณะแก่โตเหยินและเจียงเทียนว่าให้ส่งตัวผู้แทนประมุขแห่งสถาบันกลืนกินโลหิต ฉุยหมิงมา
ฉุยหมิงนั้นเป็นทั้งมือซ้ายและมือขวาของเจียงเทียนหัว จึงไม่มีทางที่เจียงเทียนหัวจะตอบรับคำขอนี้ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกลืนกินโลหิตและนิกายเก้าอสูรัอสูรนั้นก็กลายเป็นตรึงเครียดถึงขีดสุดราวกับสามารถเกิดการนองเลือดขึ้นได้ทุกเวลา
พอได้รับรายงานผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจอยู่ภายใน ที่เขาต้องการทำในอตนนี้ทั้งหมดก็คือการยืนเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างเสือสองตัว ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต้องสู้กัน เขาก็จะควบคุมผู้อาวุโสนิกายพวกมัน
ท่ามกลางบรรยากาศสู้รบอันตึงเครียด ความสนใจของฮูหานและเจียงเทียนหัวนั้นตกไปอยู่กับนิกายพ่อมดนภาที่นิ่งเงียบซึ่งมันทำให้แผนการในการเข้าควบคุมทั้งสองฝ่ายของหวงเสี่ยวหลงได้เปรียบขึ้น
2วันต่อมา เฉินเสี่ยวเทียนได้รายงานว่าได้เกิดการต่อสู้ระหว่างศิษย์แห่งสถาบันกลืนกินโลหิตและศิษย์นิกายเก้าอสูรซึ่งได้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ยิ่งเวลาผ่านไปการปะทะระหว่างทั้งสองกลายเป็นเรื่องธรรมดาและบ่อยขึ้น ความขัดแย้งของขุมกำลังทั้งสองนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในขณะที่หวงเสี่ยวหลงนั้นกำลังบ่มเพาะอยู่ในวิหารซูมี่อย่างสงบ
ความแข็งแกร่งของหวงเสี่ยวหลงนั้นได้เพิ่มขึ้นทุกๆวัน และในทุกๆวันนั้นเขาจะฝึกเคล็ดวิชาซูมี่เทวะ เคล็ดวิชาเทพอสูร พระคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ซึ่งเขาได้แบ่งเวลาไปฝึกเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณ บัญญัติวิญญาณและรวมไปถึงกระบวนท่าที่ 7 ของเคล็ดวิชาดาบเทพอสูร โซ่แห่งยมทูต
สิ่งที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างชัดเจนก็คือการฝึกเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณของหวงเสี่ยวหลง ตอนแรกเขาคาดว่าเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีในการบรรลุเคล็ดวิชาขั้นที่ 2 แต่ตอนนั้มันเริ่มมีสัญญาณว่าเขาจะสามารถบรรลุได้ภายในสองเดือน
เมื่อเขาบรรลุขั้นที่ 2 พลังจิตของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากซึ่งมันทำให้เขาสามารถประทับตราจิตวิญญาณลงในคนได้ถึง 6คนในครั้งเดียวและมันยังลดเวลาในการพื้นฟูพลังจิตของเขาเหลืองเพียง 1- 2วัน
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือพลังโจมตีของเนตรนรกของเขานั้นก็จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพลังจิตของเขาที่แข็งแกร่งขึ้น ในเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณขั้นที่ 1 การใช้งานเนตรนรกโจมตีทางวิญญาณใส่ศัตรูที่มีความแข็งแกร่งเท่าๆกันจะมีผลแค่เล็กน้อย แต่เรื่องนี้จะเปลี่ยนไปเมื่อพลังจิตของเขานั้นได้เข้าสู่ขั้นที่ของเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณ นั่นเพราะพลังจิตของเขานั้นจะกลายเป็นภัยคุกคามแก่ศัตรู
นอกจากการฝึก หวงเสี่ยวหลงใช้โอกาสขัดขวางทุกครั้งที่ผู้อาวุโสนิกายเก้าอสูรและผู้อาวุโสสถาบันกลืนกินโลหิตออกไปจากเมืองปีศาจเพื่อทำภากิจ––พวกผู้ที่ปฎิเสธยอมจำนนจะถูกฆ่า ณ ตรงนั้นแต่ทว่าผู้ที่ยอมแพ้และยอมจำนนจะถูกประทับตราจิตวิญญาณ
หนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
ในหนึ่งเดือนนี้ นอกจากหลิวหลี่หยาง จำนวนผู้อาวุโสจากสถาบันกลืนกินโลหิตและนิกายเก้าอสูรนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 11 คน ซึ่งมี 7 คนจากสถาบันกลืนกินโลหิตและอีก4คนจากนิกายเก้าอสูร แม้ว่าจำนวนจะดูน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นขุมกำลังอันอ่อนแอ
อย่างแรก หวงเสี่ยวหลงได้วางแผนจะควบคุมสถาบันกลืนกินโลหิตก่อนจะลงมือเคลื่อนไหวกับนิกายเก้าอสูรแต่เขากลับเปลี่ยนใจจะลงมือแทรกซึมทั้งสองฝั่งพร้อมๆกันเพื่อเร่งกระบวนการยึดเมืองปีศาจทมิฬให้อยู่ภายใต้กำมือของเขา
เนื่องจากนิกายพ่อมดนภาคอยสุมไฟจากเงามืด ภายในหนึ่งเดือนนี้ ความขัดแย้งระหว่างสถาบันกลืนกินโลหิตและนิกายเก้าอสูรนั้นได้ไปจนถึงจุดแตกหักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทนเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ราวกับน้ำกับไฟ
ส่วนสำหรับหวงเสี่ยวหลงนั้น หลังจากผู้อาวุโส 11 คนของทั้งสองขุมกำลังนี้ยอมจำนนแก่เขา ขุมกำลังของเขาสก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วโดยการใช้เทคนิคการเชิญชวนผู้อาวุโสของแต่ละนิกายมาร่วมงานเลี้ยงและปราบปรามพวกนั้นทีละคน
2 เดือนต่อมา มีผู้อาวุโสจากสองนิกายที่ยอมจำนนต่อหวงเสี่ยวหลงแล้วทั้งหมด 23 คน คนที่ตอบปฏิเสธมีจำนวน 6 คนและหวงเสี่ยวหลงได้ทำให้พวกนั้นเงียบไปตลอดกาล
ด้วยผู้อาวุโสจากสองขุมกำลัง 23 คนกับนิกายพ่อมดนภา จึงทำให้หวงเสี่ยวหลงได้ควบคุมขุมกำลังแห่งเมืองปีศาจทมิฬไปครึ่งหนึ่งแล้ว แม้ว่าสถาบันกลืนกินโลหิตและนิกายเก้าอสูรจะทำให้สนธิสัญญาสงบศึกและหันปลายหอกเข้าหาฝั่งเขา หวงเสี่ยวหลงก็มั่นใจว่าจะสามารถสู้กับทั้งสองนิกายด้วยจำนวนขนาดนี้ได้
ในวิหารซูมี่ หวงเสี่ยวหลงได้กลืนกินโอสถพุทธจักวาลและยืนอยู่ใจกลางข่ายอาคมพระพุทธ 10 องค์ซึ่งเขานั้นกำลังฝึกเคล็ดวิชาซูมี่เทวะในขณะที่เขาได้ทำการไหลเวียนเคล็ดวิชาเทพอสูรและพระคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นอยู่ภายในร่างของเขาในเวลาเดียวกัน เหนือร่างของเขานั้น มีปราณพุทะ ปราณโลกใต้พิภพ และปราณมังกรที่แท้จริงไหลลงมาราวกับน้ำตำ
ในขณะที่หวงเสี่ยวหลงบ่มเพาะอยู่นั้น เงาภาพของรูปั้นพระพุทธ อัครทูตปีศาจ และมังกรบรรพกาลเทวะนั้นได้ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา พลังปราณพุทะ ปราณใต้พิภพ และปราณมังกรที่แท้จริงในทะเลปราณและเส้นลมปราณของเขานั้นได้หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งคืนผ่านไป
หวงเสี่ยวหลงได้หยุดการบ่มเพาะในช่วงรุ่งสาง
2 เดือนผ่านไป หวงเสี่ยวหลงได้บ่มเพาะจนเขาใกล้จะบรรลุระดับเซียนเทียนขั้นที่7 จากระดับเซียนเทียนขั้นที่ 6 สูง-ปลาย ใน 10 วันต่อมา หรือเกือบๆครึ่งเดือน เขามั่นใจเขาจะสามารถทะลวงการบ่มเพาะ และนั่นก็รวมถึงเคล็ดวิชาบ่มเชิดหุ่นโบราณซึ่งตอนนี้อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นแรก
ในห้องโถงสถาบันกลืนกินโลหิต เจียงเทียนหัวที่ร่างเล็กกำลังนั่งอยู่ในบัลลังก์หลักด้วยสีหน้าหน้าเกลียด ในตอนนี้ ประมุขนิกายเก้าอสูร ฮูหานได้สั่งการว่าถ้าหากสถาบันกลืนกินโลหิตไม่ส่งตัวฉุยหมิงมาหล่ะก็ ศิษย์นิกายเก้าอสูรของเขานั้นจะฆ่าศิษย์สถาบันกลืนกินโลหิตทุกๆคนที่พวกเขาพบ
นี่ไม่ใช่การถอนรากถอนโคนสถาบันกลืนกินโลหิตงั้นหรือ? นี่มันการกำจัดให้สิ้นซากไม่ใช่หรือไง?
ส่งตัวฉุยหมิงงั้นหรือ? ถ้าหากเขาส่งตัวฉุยหมิง นั่นไม่ใช่ว่านั่นไม่ใช่การเหยีบย่ำศักดิ์ศรีของเขากับโตเหยินงั้นหรือ? แล้วข้าจะปกครองผู้อาวุโสได้อย่างไรและพวกผู้อาวุโสนั้นอีก พวกนั้นจะมองข้าอย่างไรเล่า? นอกจากนี้ ฉุยหมิงนั้นเป็นแขนซ้ายและแขนขวาซึ่งภักดีกับเขาอย่างมาก
เจียงเทียนหัวนั้นโกรธขึ้นเรื่อยๆในขณะที่เขาคิดเรื่องพวกนี้ในหัว
“ท่านประมุข ใอ้สารเลวฮูหานนั่นมันแกล้งพวกเราเกินไปแล้ว!พวกเขากล้าทำราวกับสถาบันกลืนกินโลหิตของพวกเรานั้นเป็นลูกพลับนุ่มนิ่มที่พวกมันจะทำอย่างไรกับเราก็ได้!”ในตอนนั้น หนึ่งในผู้อาวุโสที่อยู่ในห้องโถงหลักก็ลุกขึ้นยืนตะโกนออกมา
“ใช่แล้ว ท่านประมุข ถ้าหากแย่ถึงขีดสุด เราก็ทำได้เพียงสู้กับมัน!”ผู้อาวุโสสถาบันกลืนกินโลหิตอีกคนก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสสองคนนี้นั้นถูกหวงเสี่ยวหลงสั่งการมา
ผู้อาวุโศคนอื่นที่ยอมจำนนต่อหวงเสี่ยวหลงนั่นก็พูดสนับสนุนขึ้นมาต่อหน้าเจียงเทียนหัว พวกเขาพร้อมจะสู้กับนิกายเก้าอสูร
“ท่านประมุข ทำไมเราไม่เป็นพันธมิตรกับนิกายพ่อมดนภาดูหล่ะ?”ณ ตอนนี้ ผู้อาวุโสวัยกลางคนที่ตัวสูงและดูดีก็พูดแนะนำขึ้น และชายวัยกลางคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้แทนประมุขฉุยหมิง
“เป็นพันธมิตรกับนิกายพ่อมดนภางั้นหรือ?”เจียงเทียนหัวก็ประหลาดใจชั่วขณะหนึ่งและจากนั้นก็พยักหน้าอย่างช้าๆ ในสถานการณ์นี้ นี้คือทางเดียวที่จะทำได้