บทที่ 1387 เข้าเมืองหลวง
บทที่ 1387 เข้าเมืองหลวง
เขาคือลูกศิษย์ที่ข้าสอนมากับมือ แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังเด็ก แต่เขาก็ขยันและตั้งใจเรียน และทักษะการต่อสู้ของของเขาก็ไม่เป็นสองรองใคร
หากเขาสามารถสร้างความแตกต่างในศิลปะการต่อสู้ได้ในอนาคต ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับชื่อเสียงเท่านั้น แม้แต่กับถานอวี้ซูเองก็ไม่มีสิ่งใดไม่คู่ควร
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาคิดมันมาจากตัวตนของเขา
กู้หนิงผิงเป็นเพียงเด็กยากจนจากชนบทที่ไม่มีอะไรเลย
ด้วยตัวตนเช่นนี้ เขาคงไม่สามารถผ่านการทดสอบนี้จากฮ่องเต้ไปได้
ไม่ต้องพูดถึงไทเฮาที่เลี้ยงดูถานอวี้ซูมาตั้งแต่นางยังเด็ก
“แม้ว่าจะเป็นกรณีนี้ แต่ก็มีอย่างอื่นอีก ถานอวี้ซูเป็นจวิ้นจู่และเป็นหลานสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ เมื่อมองดูสถานะของเขาแล้ว ข้าเกรงว่าจะมีขุนนางจำนวนไม่น้อยในเมืองหลวงที่ต้องการแต่งงานกับนาง หนิงผิงไม่มีชื่อเสียง เขาจะเอาอะไรไปแข่งขันกับคนอื่นได้” นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้
เหมือนสมัยนี้ ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีค่าสินสอด คนที่ไม่มีอะไรเลยจะเอาอะไรมาเปรียบกับคนร่ำรวย หน้าตาดี เก่ง มีความสามารถ มีอาชีพการงานที่มั่นคง?
หรือเป็นไปได้ไหมว่าเราจะบอกคนอื่นว่าเรามีแนวโน้ม
ผ่านไปหลายปีคงระเบิดแน่
อย่าหยอกกันสิ แล้วหลายปีก่อนหน้านั้นล่ะ?
ทำไมมันยังไม่ระเบิด?
ก็แปลว่าแนวโน้มนั้นได้สลายตัวไปแล้ว
“ถานอวี้ซูเป็นหลานสาวคนเดียวของท่านแม่ทัพ เขาคงไม่ให้อวี้ซูแต่งงานกับเด็กยากจนที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย มันเป็นความแตกต่างทางสถานะ คนหนึ่งสูงส่งเกินไปและอีกคนก็เหมือนโคลนเละบนพื้นดิน จะไม่มีวันมีความสุขเลย” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างจริงจัง พูดถึงความจริงที่นางเชื่อ “คู่สามีภรรยาที่จะเคียงข้างกันไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ควรจะอยู่ในสถานะระดับเดียวกันเท่านั้น ถึงจะจูงมือกันไปจนแก่เฒ่าได้”
ฉินเย่จือคิดไม่ถึงว่ากู้เสี่ยวหวานจะพูดทฤษฎีดังกล่าวออกมา และดวงตาคมของเขาก็หรี่ลงด้วยความประหลาดใจ
มันเป็นอย่างที่กู้เสี่ยวหวานพูด เหมือนกับที่ฉินเย่จือคิด
เขาจำไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นหญิงงามมากี่คนแล้ว และแม้ว่าจะมีหญิงงามอยู่ทั่วแดนหรือหญิงสาวผู้นั้นมีภูมิหลังครอบครัวที่โดดเด่นเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครสามารถเดินเข้าไปในหัวใจของเขาได้
แต่ตอนนี้หลังจากฟังคำพูดของนาง เขาก็เข้าใจชัดเจนมากขึ้นว่ากู้เสี่ยวหวานแตกต่างจากผู้หญิงสวยเหล่านั้นอย่างไร
นางสดใส มีชีวิตชีวา มีความคิด การกระทำ และกลยุทธ์ นางรู้ว่านางขาดอะไร จุดแข็งของนางคืออะไร และนางจะวางแผนสำหรับอนาคตและผู้คนรอบตัวนางโดยไม่ต้องพึ่งใคร เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด
ฉินเย่จือพยักหน้าอย่างชื่นชม เมื่อเห็นท่าทางกังวลของกู้เสี่ยวหวาน เขารู้สึกเศร้ามากและรีบปลอบโยนนาง “หนิงผิงมีทักษะศิลปะการต่อสู้ หากเจ้าคิดว่านางไม่คู่ควรกับถานอวี้ซู เราก็ปล่อยให้เขาเข้าร่วมกองทัพ เขาจะได้สัมผัสกับประสบการณ์บางอย่างในค่ายทหารและได้รับชื่อเสียงมากมาย ถึงเวลานั้นเจ้ายังจะคิดว่าเขาไม่คู่ควรกับถานอวี้ซูอยู่อีกหรือ”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็มึนงงเล็กน้อย ก่อนที่นางจะทันได้โต้ตอบ นางถามอย่างเป็นกันเองว่า “ท่านหมายถึงว่า ให้หนิงผิงสมัครเป็นทหารหรือ”
เมื่อพูดถึงการเข้าร่วมกองทัพ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อยที่จะให้น้องชายไปยังสถานที่ที่ยากลำบากและเสี่ยงอันตรายได้ทุกเมื่อเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม คนอื่นสามารถทนทุกข์ทรมานได้ ดังนั้นทำไมกู้หนิงผิงถึงทำไม่ได้?
กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่คนโลภและกลัวความตาย โดยธรรมชาติแล้วนางไม่ต้องการให้น้องชายของนางเป็นคนที่โลภชีวิตและกลัวความตาย มันเป็นหน้าที่และภาระหน้าที่ของพลเมืองทุกคนที่จะต้องปกป้องครอบครัวและบ้านเมืองของพวกเขา คนอื่นไปได้ กู้หนิงผิงก็ไปได้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น กู้หนิงผิงไม่ชอบเรียนหนังสือ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมีชื่อเสียงในการสอบได้ โดยปกติแล้วเขาจึงทำได้เพียงไปที่ค่ายทหารเพื่อฝึกฝนและดูว่าจะสร้างชื่อเสียงได้หรือไม่
“ใช่แล้ว ค่ายทหารเป็นสถานที่ฝึกคน หนิงผิงมีอุดมการณ์และความใฝ่ฝัน เขาเคยบอกกับข้าว่าอยากออกไปหาประสบการณ์บ้าง ตอนนี้เขาอายุสิบสี่แล้ว เขาสามารถไปที่ค่ายทหารเพื่อพัฒนาทักษะของเขาได้ และหากสามารถสร้างความสำเร็จเล็ก ๆ ได้ เขาอาจเข้าใกล้ถานอวี้ซูเข้าไปอีกก้าวหนึ่งก็ได้”
นั่นเป็นความคิดที่ดี
วันนี้กู้เสี่ยวหวานพูดถึงเรื่องที่จะให้เขาไปที่ค่ายทหาร คิดไม่ถึงว่ากู้หนิงผิงมีความคิดนี้มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและตอบตกลงทันที “ท่านพี่ พวกเราเป็นคนยากจน และท่านก็ได้รับสถานะเป็นเสี้ยนจู่ด้วยตัวท่านเอง ข้าก็ต้องสามารถพึ่งพาตัวเองเพื่อสร้างชื่อเสียงได้ จากนั้นข้าจึงจะสามารถยืนอยู่หน้าบ้านตระกูลถานได้อย่างเปิดเผย และขออวี้ซูแต่งงาน”
กู้หนิงผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคง ดวงตาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความแน่วแน่
สองพี่น้องพูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน โดยไม่รู้ว่าบริเวณห้องถัดไปมีฉินเย่จือยืนอยู่บริเวณหน้าต่าง ถึงแม้ว่าหน้าต่างนั้นจะถูกปิดเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจกั้นเสียงพูดคุยนั้นไว้ได้ กู้หนิงผิงยินดีที่จะต่อสู้เพื่อชีวิตของเขา ชีวิตคือการทำงานหนัก และกู้เสี่ยวหวานก็สนับสนุนให้เขาต่อสู้
ไม่แปลกใจเลยสักนิด หญิงสาวคนนี้งดงามยิ่งนัก ยามเคลื่อนไหวร่างกายก็ทำให้ผู้คนต่างหยุดมองอย่างไม่อยากละสายตา
ครั้นนึกถึงสิ่งนี้ ฉินเย่จือก็ลูบซองที่อยู่ในอกเสื้อ ซองผ้าเป็นซองใหญ่ การเย็บไม่ค่อยละเอียดนัก แต่มันก็ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยความตั้งใจของลูกแมวน้อยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เช่นเดียวกับลูกแมว ไม่เหมือนใครและไม่มีใครแทนที่ได้
หลังจากผ่านมายี่สิบวัน รถม้าก็มาถึงประตูเมือง
รถม้าหยุดบริเวณประตูเมือง ผู้ที่ต้องการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงจะต้องได้รับการตรวจสอบตัวตนตามขั้นตอนอย่างละเอียด
และได้ยินคำถามว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่เมืองหลวง”
“พวกเรามาเยี่ยมญาติ”
“ญาติของเจ้าคือผู้ใด”
“หลี่ฝาน เถ้าแก่หลี่แห่งร้านฝูจิ่น เขาคือญาติของเรา” อาโม่ตอบด้วยรอยยิ้มตลอดกระบวนการตรวจสอบ
ทันทีที่เจ้าหน้าที่และทหารได้ยินว่าเป็นร้านฝูจิ่น เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เจ้าเป็นญาติกับเถ้าแห่หลี่แห่งร้านฝูจิ่นหรือ ข้าอยากกินหม้อไฟ แต่ว่าคนค่อนข้างมาก กิจการกำลังเป็นไปได้ด้วยดีจริง ๆ”
“ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ หากคราวหน้าเจ้ามีโอกาสได้ไปที่ร้าน ให้บอกว่าเจ้ารู้จักข้า เถ้าแก่หลี่จะต้องจัดการจ้องที่ให้เจ้าล่วงหน้าอย่างแน่นอน”
เจ้าหน้าที่ยิ้มอย่างยิ้มร่าเริงและรีบตอบรับทันที