บทที่ 759 ครั้งหนึ่ง เคยมีปีศาจหนึ่งแสนตนเหยียบย่างผ่านท้องฟ้าและทำลายศาลปีศาจ (1)
บรรยากาศในหุบเขาแม่น้ำกดดันเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วมองไปยังร่างที่อยู่ตรงหน้าเขา และรู้สึกว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์นองเลือดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กำลังนั่งย่างปลาอยู่ริมแม่น้ำ ส่วนหลิงเอ๋อร์ และโหย่วฉินเสวียนหย่าก็กำลังยืนอยู่ทางด้านหลังของหลี่ฉางโซ่ว
พวกเขากำลังขมวดคิ้วและจ้องมองไปยังเงาร่างนับร้อยที่กำลังยืนอยู่ริมแม่น้ำ
มันยากที่จะเรียกเงาร่างต่างๆ เหล่านั้นได้ว่า สิ่งมีชีวิต
พลังลมปราณของพวกมัน ไร้ความผันผวนใดๆ ดวงตาของพวกมันดูไร้แววไม่มีชีวิตชีวา และไร้การเคลื่อนไหวดุจดั่งรูปปั้นดินเหนียว
ทว่าพวกมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
พวกมันยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ ส่วนใหญ่ล้วนมีบาดแผลตามร่างกาย และพวกมันกว่าครึ่งหนึ่งก็ไร้แขนขา และดูเหมือนว่าภายใต้ชุดเกราะที่ดูโบราณนั้น มีสัตว์ร้ายที่กำลังหลับใหลซ่อนเร้นอยู่
“ศิษย์พี่ พวกมันคือ…”
“คน”
ในขณะนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปลาย่างและคลี่ยิ้มในขณะที่เขาแสดงท่าทางให้ชายหญิงคู่หนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มผู้คนกว่าร้อยคนเหล่านั้น
ชายผู้นั้นสูงเกือบสิบฉื่อ ทั่วทั้งร่างของเขาเป่งไปด้วยมัดกล้ามสีเข้ม ชุดเกราะบนร่างของเขาดูราวกับจะผสานรวมเข้าไปกับร่างของเขา
สตรีผู้นั้นมีร่างเล็กและและบอบบางเล็กน้อย นางมีแผลเป็นบนใบหน้า ทว่านางก็ยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความอ่อนโยน
พวกเขาทั้งสองต่างก็ยกมือขวาขึ้นแตะที่หัวใจของพวกเขา และคุกเข่าลงข้างหนึ่งพลางกล่าวออกมาพร้อมๆ กันว่า
“น้อมพบใต้เท้า”
ในขณะนั้น มีร่างมากกว่าร้อยร่างยืนอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของพวกเขา พวกมันดูเหมือนรูปปั้นดินเหนียวมากกว่าจริงๆ
หลิงเอ๋อร์หลบซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังของหลี่ฉางโซ่วโดยไม่รู้ตัวในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าจ้องมองตรงไปที่ร่างเหล่านั้นด้วยความรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“เฮ้อ…”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถอนหายใจและกล่าวว่า “การสื่อสารกับพวกเขานั้นค่อนข้างลำบาก ข้าเองยังใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะคุยกับพวกเขาแต่ละคนได้สักครั้งเท่านั้น
พวกเขาทั้งหมดล้วนยินดีที่จะกลับไปยังโลกบรรพกาลเพื่อรับบัญชาของเจ้าและเข่นฆ่าเหล่าปีศาจที่หลบหนีรอดมามาจากสมัยโบราณ
ศิษย์น้อง เจ้าจงใช้มันให้ดี”
หลี่ฉางโซ่วยังคงนิ่งเงียบซึ่งดูผิดปกติ
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ก็เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโสปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้อาวุโสเหล่านี้มาจากที่ใดกันเจ้าคะ?”
“เมืองเสวียนตู” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “ในสมัยโบราณ เคยมีการรบพุ่งกันอย่างดุเดือดในเมืองเสวียนตู และจักรพรรดิมนุษย์ก็ได้ส่งทหารเหล่านี้ไปช่วยป้องกันเมืองเสวียนตู
บัดนี้ สถานการณ์การรบพุ่งในเมืองเสวียนตูมีเสถียรภาพแล้ว เหล่าทหารเต๋าก็เพียงพอที่จะปกป้องมันได้
พวกเขาจะรู้สึกเบื่อที่นั่น ดังนั้นการกลับไปต่อสู้กับพวกเผ่าปีศาจที่โลกบรรพกาลอีกครั้ง ก็ย่อมจะดีกว่า”
“เวลานี้ข้ายังพอจัดการเผ่าปีศาจได้ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ขอศิษย์พี่ โปรดให้ผู้อาวุโสเหล่านี้กลับไปฝึกฝนที่เมืองเสวียนตูเถิดขอรับ”
“รับบัญชา”
บัดนั้น พวกเขาทั้งชายและหญิงต่างก็ก้มศีรษะลงรับคำ จากนั้นพวกเขาก็ลุกขึ้นยืน และเดินกลับไปที่แถว แล้วยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดกัน? เจ้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาหรือไม่?
แม้จะมีเพียงหนึ่งร้อยแปดคนที่นั่น แต่พวกเขาก็เป็นพวกเผ่ามนุษย์ชั้นยอดที่รอดชีวิตมาได้ตั้งแต่สมัยโบราณ
บรรพบุรุษของพวกเขาคือ กองทัพเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถล้มล้างศาลปีศาจ และทำลายค่ายกลใหญ่วัฏจักรสวรรค์ได้”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่นและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ แล้วข้าจะออกคำสั่งกับพวกเขาได้อย่างไรขอรับ?”
“เจ้ากังวลเรื่องนี้เอง เช่นนั้น มานั่งสิ” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูคลี่ยิ้มและทักทายพวกเขา “ท่านผู้บัญชาการทั้งสอง โปรดมาที่นี่เถิด”
ในขณะนั้น คนกลุ่มนั้นก็นั่งอยู่ข้างกองไฟ หลิงเอ๋อร์อาสาไปเอาซากท่อนไม้ที่ใช้ย่างปลา ส่วนโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ไปจับปลาวิญญาณที่ลำธารให้มากขึ้น
ชายและหญิงทั้งสองนั้น ต่างก็นั่งตัวตรงและมองลงมา
หลี่ฉางโซ่วนั่งตรงข้ามกับพวกเขาทั้งสองคน และเปลี่ยนหัวข้อไปอย่างไม่ตั้งใจว่า
“ศิษย์พี่ ศึกสู้ในเมืองเสวียนตูเกิดขึ้นได้อย่างไรหรือขอรับ?”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูกล่าวช้าๆ ว่า “มันเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเพียงพวกปีศาจนอกพื้นที่จากดินแดนอื่นที่ร่อนเร่พเนจรไปทั่วทะเลโกลาหล
เมื่อโลกถูกสร้างขึ้นในตอนต้น เหล่าปีศาจเทพเซียนเทียน[1]บางตนที่หลบหนีจากขวานเทพผานกู่ได้สร้างสิ่งมีชีวิตบางอย่างขึ้นมาด้วยเช่นกัน
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกนักฆ่าและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะยึดครองโลกบรรพกาล
โชคดีที่พลังเต๋าสวรรค์ได้ห่อหุ้มปกคลุมตรีสหัสโลกธาตุของโลกบรรพกาลเอาไว้ และป้องกันไม่ให้พวกมันบุกรุกเข้ามาได้
ทว่าเต๋าสวรรค์ก็หาได้สมบูรณ์ไม่ และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พลาดอะไรเลย
ดังนั้น บรรพาจารย์เต๋าจึงลงมือจัดการในตอนนั้นและก่อตั้งเมืองเสวียนตูขึ้นมา
เต๋าสวรรค์เริ่มเผยช่องโหว่ และใช้เมืองเสวียนตูเพื่อปิดกั้นเส้นทางของบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นที่กำลังเข้าสู่โลกบรรพกาล
ในช่วงปลายมหาสงครามจอมเวท-ปีศาจโบราณ ทั้งเผ่าเวท และปีศาจ ล้วนได้รับบาดเจ็บและประสบความสูญเสียบอบช้ำทั้งสองฝ่าย
พลังของสิ่งมีชีวิตในระหว่างสวรรค์และปฐพีได้ตกลงมาจนถึงจุดต่ำสุด การปฏิบัติการของเต๋าสวรรค์ได้รับผลกระทบและปีศาจสวรรค์นอกพื้นที่จากดินแดนอื่นเหล่านั้นก็ก่อปัญหาในขณะที่เมืองเสวียนตูก็คึกคักพลุกพล่านอยู่ระยะหนึ่ง…”
หลิงเอ๋อร์ชื่นชมเบาๆ ว่า “มีปีศาจสวรรค์จากดินแดนอื่นจริงๆ”
“ว้าว” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ส่ายศีรษะ “คนเหล่านั้นล้วนน่าเกลียดยิ่ง อย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่ได้รูปงามเท่าศิษย์พี่ของเจ้า”
หลิงเอ๋อร์แย้มยิ้มและกล่าวว่า “นั่นไม่อาจเปรียบเทียบกันได้หรอกเจ้าค่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็หัวเราะแล้วมองไปที่ผู้บัญชาการทั้งสอง
จากนั้นเขาก็หยิบชุดน้ำชาออกมาจากแขนเสื้อและชงชาออกมาหกถ้วยก่อนจะใช้พลังเซียนส่งพวกมันไปให้ที่ด้านหน้าของคนทั้งหลายในกลุ่ม
“ผู้อาวุโส เชิญ”
“ขอบคุณขอรับ” ชายร่างสูงเอ่ยเบาๆ ใบหน้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสภายใต้เส้นผมยาวและยุ่งเหยิงของเขา ดูนิ่งสงบ
ในขณะที่สตรีสาวถือถ้วยชาร้อนด้วยมือทั้งสองข้างและก้มศีรษะลงจิบมัน จากนั้นสายตาจ้องมองของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“รสชาติดียิ่ง”
“ดีที่ผู้อาวุโสชื่นชอบ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอบอุ่น
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้ารู้หรือไม่ว่า ไยพวกเขาทั้งสองคนถึงเป็นผู้บัญชาการ?
ความจริงแล้ว มันหาใช่เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ ทว่าเป็นเพราะในเวลานี้ มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ยังสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ตามปกติ
พวกเขาควบคุมเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนาของพวกเขาเอาไว้ได้ ซึ่งแทบจะเหมือนกับพวกเรา
แต่พวกเขาทั้งสองคนก็เจ็บปวดสูญเสียมากที่สุดเช่นกัน… เจ้าควรจะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาให้มากขึ้น”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ เป็นธรรมดาที่เขาย่อมรู้ว่า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กำลังเกลี้ยกล่อมให้เขารักษาพลังนี้เอาไว้
เขาลังเลและนิ่งเงียบไปอีกสักพัก
และก็เป็นอีกครั้งที่หลิงเอ๋อร์ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำให้บรรยากาศครึกครื้นรื่นเริงขึ้นเมื่อนางเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณหรือเจ้าคะ?”
“ใช่แล้ว” สายตาจ้องมองของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย เขาถือถ้วยชาและมองขึ้นไปที่เมฆบนท้องฟ้า
ในขณะนั้น พวกเขาได้นั่งอยู่บนก้อนหินที่ไม่สูงนัก และฟังปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เล่าเรื่องราวในกาลก่อนนั้นให้พวกเขาฟัง…
เทพีหนี่วาได้สร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา พวกเขาเกิดมาพร้อมกับร่างเต๋าเซียนเทียน พวกเขาเกิดมาอ่อนแอ ฝึกบำเพ็ญได้ดี และคล้ายกับเต๋า
ความจริงแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเพียงหนึ่งในหมื่นเผ่าพันธุ์ในโลกในเวลานั้น เนื่องจากเทพีหนี่วาได้กลายเป็นจอมปราชญ์ เผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่จึงหลีกเลี่ยงเผ่าพันธุ์มนุษย์และปล่อยให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีชีวิตอยู่ และเจริญพันธุ์ได้
ร่องรอยของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งที่ราบและภูเขาแห่งดินแดนเทวะทักษิณ
ทว่าก็มีภัยพิบัติตามมา
เนื่องจากวิญญาณของเผ่าพันธุ์มนุษย์คล้ายคลึงกับเต๋า ปรมาจารย์ปีศาจคุนเผิงจึงให้ความเคารพต่อจักรพรรดิบูรพาไท่อี่ เขาเสนอใช้วิธีการหลอมสมบัติลับด้วยวิญญาณของชาวเผ่ามนุษย์แก่จักรพรรดิบูรพาไท่อี่
เพื่อจะเอาชนะเผ่าเวทได้อย่างสมบูรณ์ เผ่าปีศาจจึงเริ่มเข่นฆ่าสังหารหมู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ และจับวิญญาณของชาวเผ่ามนุษย์เพื่อหล่อหลอมเป็นทหารศักดิ์สิทธิ์ที่สังหารเผ่าเวท
เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกฆ่าตายจนไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ทว่าเผ่าปีศาจก็ยังไม่ยอมหยุดยั้ง พวกมันยังต้องการเข่นฆ่าทุกคน…
มาถึง ณ จุดนี้ ประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในช่วงเวลานี้ก็เริ่มคลุมเครือ ราวกับว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในรุ่นหลังๆ ได้จงใจทำให้เรื่องราวตรงนี้คลุมเครือ
………………………………………………………………..
[1] ปีศาจเทพเซียนเทียน เซียนเทียนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงขอบเขตพลัง แต่หมายถึงสิ่งมีชีวิตเซียนเทียนประเภทหนึ่ง
———————*************——————–