ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว – บทที่ 780 เด็กคนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะก่อปัญหาได้อย่างไร! (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 780 เด็กคนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะก่อปัญหาได้อย่างไร! (2)

อืม หากไม่ใช่เพราะริมฝีปากบวมเป่งเพียงนั้น ความจริงแล้ว เขาก็คงจะดูสูงส่งสง่างามมาก

จากนั้นหลิงจูจื่อก็ถอนหายใจอย่างหดหู่ เขายืนอยู่หน้ากระจกและรู้สึกซึมเศร้าอยู่พักหนึ่งก่อนจะมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง เขาเอามือเท้าเอว เชิดอก และเงยหน้าขึ้นพร้อมกับโบกมือเล็กๆ ไปข้างหน้า และกล่าวเสียงดังคมชัดว่า

“ข้าชื่อหลิงจูจื่อ ศิษย์ของไท่อี่เจินเหรินแห่งภูเขาเฉียนหยวน พวกภูตผีปีศาจจงรีบถอยไปเร็วเข้า!

เอ่อ… ข้าก็เป็นผู้กล้าเหมือนกันนะ”

ในห้องนั่งเล่นของเคหาสน์ถ้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่นับสิบจั้ง ไท่อี่เจินเหรินได้สลายกระจกน้ำไปและอดจะเงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจออกมาไม่ได้

“อันใดกัน!”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “แม้ศิษย์พี่อาจไม่พอใจเช่นนั้น แต่ที่หลิงจูจื่อเป็นเยี่ยงนี้ ก็ไม่เลวเลย เหตุใดพวกเรา ทั้งท่านและข้า ซึ่งเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญจะต้องไปยึดติดอยู่กับการมีพลังแห่งบุรุษเพศ[1]?

สิ่งมีชีวิตเพศผู้บางอย่างก็มีลักษะนิสัยอ่อนโยนและละเอียดอ่อนมากกว่าตามธรรมชาติ และนอกจากนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่เกิดมาแกร่งกร้าวเย่อหยิ่งแลไม่ยี่หระต่อสิ่งใดๆ อีกด้วยเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ล้วนสมเหตุสมผล และเราก็ควรอดทนกับพวกเขา

ตราบใดที่ไม่ไล่ติดตามเอาความแตกต่างนี้ มันก็จะไม่มีปัญหาใหญ่ใดๆ เลย”

อวี้ติ่งเจินเหรินพยักหน้าช้าๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ศิษย์น้องฉางเกิงก็มีเหตุผล”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? ไม่ต้องห่วง เขาไม่ใช่ศิษย์ของเจ้า!”

ไท่อี่เจินเหรินถอนหายใจและกล่าวว่า “ลักษะนิสัยของเขาได้ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าในการฝึกบำเพ็ญของเขาแล้ว และบางที ในอนาคตเขาอาจจะล้มได้เพราะลักษะนิสัยของตัวเขาเอง

และ เมื่อเจอปัญหาก็จะเกรงกลัว เขาจะไม่สามารถตอบสนองได้แม้ว่าเขาจะร้องไห้ก็ตาม เขาจะอยู่รอดในโลกดึกดำบรรพ์ได้อย่างไร?

ข้าได้แอบจัดเตรียมการทดสอบบางอย่างให้เขาสองสามครั้ง และทุกๆ ครั้ง เขาก็จะแสดงด้านที่ไม่เด็ดขาด และมีใจเมตตาอ่อนโยนออกมา

เมื่อเผชิญกับความยากลำบาก เขาก็จะกลัว และเอาแต่ร้องห่มร้องไห้อย่างไร้ที่สิ้นสุดโดยไม่อาจตอบสนองใดๆ ได้เลย

แล้วเขาจะอยู่รอดในโลกบรรพกาลนี้ได้อย่างไร? เขาไม่อาจเอาแต่ฝึกบำเพ็ญอยู่ในถ้ำโดยไม่ต้องออกไปข้างนอกได้ใช่หรือไม่?

นอกจากนี้ ด้วยนิสัยเช่นนี้ แม้เขาจะได้รับผลเต๋าอายุยืนก็ตาม แต่บางที เขาก็อาจถูกพวกเซียนเทียนสังหารได้หากเขาออกไปภายนอก!”

หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบ…

เช่นนั้นแล้ว นี่คือสาเหตุแห่งการทำร้ายราชินีสือจี[2]ของเจ้าใช่หรือไม่?

ทว่าไท่อี่เจินเหรินผู้รู้สึกถึงวิกฤต และรู้วิธีการชิงโจมตีก่อนย่อมได้เปรียบ ก็เป็นคนโหดร้ายจริงๆ…

แม้ระดับฐานพลังของเขาจะด้อยกว่าคนที่โหดเหี้ยมอย่างแท้จริงเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นเช่นนั้น

อวี้ติ่งเจินเหรินกล่าวว่า “การเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนและใจดีนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ทุกคนในโลกนี้ ล้วนรู้จักทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋า

สถานการณ์ในโลกภายนอกที่หลิงจูจื่อต้องเผชิญนั้น ได้แตกต่างไปจากยามที่พวกเราเที่ยวเตร่ไปในโลกบรรพกาลในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง”

ไท่อี่เจินเหรินส่ายศีรษะในหลายๆ ทาง “ศิษย์น้อง พวกเราต้องระมัดระวังและป้องกันเหตุร้ายที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นใดๆ

หากเราไม่เตรียมตัวเอาไว้ตลอดเวลา เราจะต้องประสบความเจ็บปวดสูญเสียในอนาคตอย่างแน่นอน

ทว่าข้าเองก็เป็นอาจารย์ของหลิงจูจื่อ ดังนั้นจึงต้องแก้ไขลักษณะนิสัยของเขาอย่างจริงจัง!

ฉางเกิง เจ้ามีแผนล้ำเลิศใดหรือไม่?”

หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วนั่งคิดอยู่ตรงนั้นเงียบๆ

ไท่อี่เจินเหรินรออยู่สักพักแล้วกระซิบว่า “ข้ารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า เจ้าไม่ได้คิดว่าจะช่วยหลิงจู่จื่อได้อย่างไร แต่กลับคิดว่าจะเคาะลำไม้ไผ่[3]จากข้าได้อย่างไร?”

“ศิษย์พี่ ท่านกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ?”

หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ข้าจะเป็นคนที่ต้องการผลประโยชน์ได้อย่างไร?

หากเป็นเช่นนั้น แล้วข้าจะได้รับความไว้วางใจจากศิษย์พี่เสวียนตูได้อย่างไรเล่าขอรับ?”

ในขณะนั้นอวี้ติ่งเจินเหรินมองไปที่เขาอย่างชื่นชม

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องอย่างไม่คาดคิด “แต่ศิษย์พี่ไท่อี่ ท่านก็ยังยืนกรานที่จะให้ความช่วยเหลือบางอย่างแก่ข้า และก็เป็นการไม่สมควรที่ข้าจะปฏิเสธท่านได้ ไม่เช่นนั้น ข้าก็จะไม่ไว้หน้าศิษย์พี่เช่นกัน”

ไท่อี่เจินเหรินหัวเราะเสียงดังลั่นทันที “ไม่จำเป็นหรอก ข้าไม่สนใจเรื่องไร้สาระอย่างเช่นใบหน้า[4]”

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ “เฮ้อ อารมณ์ของข้าเป็นชะตาฟ้าลิขิต”

“ได้ ได้ ได้!” ไท่อี่เจินเหรินหัวเราะและก่นด่าอย่างติดตลกว่า “เจ้าต้องการความช่วยเหลือแบบใดกัน? แล้วไยเจ้าไม่อาจมอบมันให้ข้าในฐานะศิษย์พี่ของเจ้าด้วยเล่า? ”

ทันใดนั้น ความเห็นอกเห็นใจบนใบหน้าของหลี่ฉางโซ่วก็กลายเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่น และเขาก็กล่าวออกมาช้าๆ

“ทว่านิสัยก็สามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าเดิมกันได้ในวันหลัง ลองมาค่อยๆ คิดหาวิธีปรับปรุงกันดู มันน่าจะได้ผล”

ไท่อี่เจินเหรินกล่าวว่า “เจ้าต้องการความช่วยเหลืออันใด?”

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ไว้เมื่อข้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะขอให้ศิษย์พี่ช่วยข้า หรือหยุดบางสิ่งบางอย่าง”

ไท่อี่เจินเหรินฉีกยิ้มบานแฉ่งและกล่าวว่า “ต่อให้ไม่มีเรื่องศิษย์หลานของเจ้าก็ตาม แต่หากเจ้ามาเยี่ยมเยือนเพื่อขออะไรบางอย่างที่ภูเขาเฉียนหยวนของข้า ข้าก็จะไม่มีวันปฏิเสธเจ้า”

“ได้ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วและไท่อี่เจินเหรินต่างมองหน้ากันและยิ้มให้กัน

ในขณะนั้นอวี้ติ่งเจินเหรินก็ส่ายศีรษะแล้วเอาม้านั่งหินของเขาตามติดตัวไปด้วยโดยให้ออกห่างไปจากเซียนทั้งสองนี้เล็กน้อย

ไท่อี่เจินเหรินถามอีกครั้งว่า “ฉางเกิง แล้วแผนการอันล้ำเลิศของเจ้าคืออะไร”?

“เรื่องนี้มันซับซ้อนนิดหน่อย” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ให้ข้าได้เตรียมตัวสักครึ่งวันก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กับศิษย์พี่”

เมื่อไท่อี่เจินเหรินได้ยินเช่นนี้ เขาก็คลายความกังวลส่วนใหญ่ในใจลง และเขาก็กล่าวขอบคุณหลี่ฉางโซ่ว

หลี่ฉางโซ่วหลับตาลงและเพ่งจิตสนใจส่วนใหญ่ไปที่ร่างหลักของเขา เขากางม้วนกระดาษและเริ่มคิดอย่างรอบคอบ

หลี่ฉางโซ่วไม่เคยทำอะไรอย่างเช่นการช่วยให้ผู้คนเปลี่ยนบุคลิกลักษณะนิสัยของตนมาก่อน แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ในชั่วข้ามคืน และจะต้องมีกระบวนการ

ดังนั้น สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ จัดการวางแผนระยะยาว

วันนี้ หลี่ฉางโซ่วได้รับหนี้น้ำใจช่วยเหลือนี้จากไท่อี่เจินเหรินเพราะเขาอยากควบคุมเรื่องราวของนาจาได้มากขึ้นเมื่อมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพมาถึง

ไท่อี่เจินเหรินเผาราชินีสือจีด้วยไฟ ถือได้ว่าเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงแรกระหว่างทั้งสองสำนักบำเพ็ญเต๋าในช่วงมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ

ทว่าราชินีสือจีก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยมากนัก และเป็นเพียงเซียนอิสระไร้สังกัด ดังนั้นนางจึงไม่ได้ทำให้สำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยมีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรมากนัก

แต่ถึงกระนั้น ก็อาจถูกผู้ไม่ประสงค์ดีที่มีเจตนาแฝงเร้นเอาไปใช้และนำไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ ได้…

ประกายไฟเล็กน้อยก็สามารถลุกลามเป็นไฟลามทุ่งได้ หากราชินีสือจีเป็นคนใจดี หลี่ฉางโซ่วก็อยากจะลองพยายามช่วยนางให้พ้นจากการพิจารณาทดสอบขีดจำกัดของเต๋าสวรรค์

การอยากเปลี่ยนบทบาทของเต๋าสวรรค์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

………………………………………………………………..

[1] หรือที่เรียกกันว่ามาดแมน ความเป็นลูกผู้ชาย หรือความเป็นชายชาตรี

[2] หรือเรียกว่า สือจีเหนียงเหนียง ทรงได้รับการเคารพบูชาถือเป็นเทพีแห่งหิน ตามตำนานว่ากัน เดิมทีทรงเป็นหินธรรมชาติที่เกิดขึ้นในจักรวาล พระนางเป็นปีศาจหมื่นปีก่อนจะกลายเทพธิดา และเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ทงเทียนเจี้ยวจู่ เมื่อพระนางเป็นผู้นำปีศาจ สร้างความเสียหายให้กับโลกและต่อต้านสวรรค์ องค์เง็กเซียนจึงให้นาจาไปจุติในโลกมนุษย์เพื่อปราบพวกนาง

[3] รีดไถหรือตบทรัพย์

[4] เกียรติ ความเคารพนับถือ ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจ

…………………………………………………………

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

Status: Ongoing
เพื่อให้มีอายุยืนยาวในยุคบรรพกาลอันโหดร้าย จงหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการ เก็บงำความสามารถ ขยันฝึกวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!หลี่ฉางโซ่วที่ไปเกิดใหม่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตัวน้อยๆ ในโลกบรรพกาลอันน่าสะพรึงกลัวเขาถูกอาจารย์ผู้นำยอดเขาสุดแสนอัตคัดในสำนักเซียนมนุษย์เล็กๆ พาตัวมาดูแล เพื่อฝึกฝนให้บรรลุวิถีเซียนตั้งแต่ยังเยาว์เป้าหมายของเขาคือ ‘อายุยืนยาว’ ในยุคบรรพกาลอันโหดร้ายนี้จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการเก็บงำความสามารถ ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเคล็ดวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!เดิมทีในแผนการของหลี่ฉางโซ่ว เขาตั้งใจว่าจะซ่อนตัวอยู่ในเขาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตจนกระทั่งปีหนึ่ง อาจารย์ของเขาคงมีชีวิตที่สงบเงียบเกินไปจนเบื่อขึ้นมา ถึงได้รับศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งมาให้เขา…เพื่อไม่ให้ศิษย์น้องนำผลกรรมมาแปดเปื้อนตน เขาจะต้องสอนหลักการการใช้ชีวิตให้ศิษย์น้องดีๆ เสียหน่อยแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท