บทที่ 815 การบริหารเวลา (1)
“เฮ้เฮ้เฮ้ ฉางเกิง เจ้ามองภาพนี้แล้วคิดอย่างไร? มันราวกับวาดด้วยฤทธีแห่งเทพและพิเศษมากใช่หรือไม่? ”
เสียงหยอกเย้าล้อเล่นเสียงหนึ่ง ได้ดึงหลี่ฉางโซ่วออกมาจากความคิดของเขา
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปและเห็นอาจารย์ลุงจ้าว กำลังบีบเคราและโน้มตัวออกมาข้างหน้าจนใบหน้าชราของเขาแทบจะสัมผัสติดกับเขาแล้ว และดวงตาของอาจารย์ลุงจ้าว ก็เปล่งประกายแสงแปลกๆ วาบออกมาด้วย
หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก
“ขอบคุณท่านอาจารย์ลุงสำหรับภาพวาดขอรับ” หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มพลางตอบกลับ
เขายืนขึ้นและโค้งคำนับไปในทิศทางของเกาะเต่าทอง จากนั้นเขาก็เก็บผ้าใบนั้นอย่างระมัดระวัง
“ข้าจะวางภาพวาดนี้เอาไว้ที่บ้านอย่างแน่นอน และจะแสดงความเคารพเมื่อยามที่ที่มีเวลาขอรับ”
จ้าวกงหมิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
เขายิ้มและกล่าวว่า “ภาพสมบัตินี้ไม่ได้มีไว้เพื่อให้ความกล้าหาญแก่เจ้า…ช่างเถิด ไม่เป็นไร เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ได้”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ และเผยท่าทางเชื้อเชิญให้อาจารย์ลุงจ้าวนั่งลงอย่างเหมาะสม
เขาขมวดคิ้วและถามว่า “ท่านอาจารย์ลุงเริ่มดูมันตั้งแต่เมื่อใดขอรับ?”
“ข้าไม่รู้” จ้าวกงหมิงสะบัดแขนเสื้อและกระแอมไอในลำคอ
“เมื่อท่านอาจารย์เรียกพวกเรามา ข้าก็ได้ทำนายเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และบังเอิญไปเห็นเจ้าที่นั่น โอ อวิ๋นอวิ๋น โปรดส่งมือของเจ้ามาให้ข้าด้วย”
หลี่ฉางโซ่วกระตุกมุมปากอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าชราของเขากำลังผ่าวร้อนเดือดพล่านเล็กน้อย
โชคดีที่เขาซึ่งอยู่ที่นั่น เป็นเพียงตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และสีหน้าท่าทีทั้งหมดก็ถูกปรับด้วยพลังเซียนของเขา
เฮ้อ! ผู้คนในโลกบรรพกาลมีสิทธิความเป็นส่วนตัวหรือไม่!?!
เหล่าจอมปราชญ์ทั้งหลายแห่งโลกบรรพกาลเคารพความเป็นส่วนตัวของบรรดาศิษย์หรือไม่?
หากปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ทงเทียนอยู่ในชีวิตชาติก่อนหน้านี้ของเขา ปรมาจารย์ทงเทียนคงถูกผู้กล้าหลายพันคนจับแขวนคอและก่นด่าสาปแช่งแล้ว!
เมื่อฝุ่นของจอมปราชญ์ตกลงมาบนสิ่งมีชีวิตทั้งมวล มันก็คือภูเขาใหญ่ที่ไม่อาจทนแบกรับได้ไหว!
ในยามนั้น อาจารย์ลุงจ้าวคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ท่านอาจารย์เรียกเจ้าว่า เสี่ยวฉางเกิง? ท่านเป็นมิตรมากทีเดียว”
“โอ้?” ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วสว่างวาบขึ้น
เช่นนั้นก็ดี
“แล้วท่านปรมาจารย์กล่าวอันใดอีก?”
“เขาต้องการให้เราตามหาเจ้า ติดต่อสื่อสาร สร้างและกระชับความสัมพันธ์กับเจ้าให้มากขึ้น”
จ้าวกงหมิงหยิบผลไม้ธรรมดาๆ บนจานผลไม้ขึ้นมาและกินมันอย่างเอร็ดอร่อย
“ท่านอาจารย์กล่าวว่าจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้นในสำนักบำเพ็ญเต๋า ทว่าความลับแห่งสวรรค์กลับตกสู่ความโกลาหล และเหล่าจอมปราชญ์ก็ไม่อาจมองเห็นความจริงแห่งภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้ได้
นอกจากนี้ ท่านอาจารย์ก็ออกไปค้นหาสมบัติในทะเลโกลาหลอีกครั้ง ท่านน่าจะกำลังมองหาระฆังโกลาหล
จากสมบัติเบิกฟ้าทั้งสามนั้น มีเพียงระฆังโกลาหลเท่านั้นที่ท่านอาจารย์ของเขาไม่ได้รับมา และนั่นก็เป็นปมในใจของท่านอาจารย์ของเขามาโดยตลอด
เมื่อย้อนกลับไป หลังจากที่ท่านอาจารย์กลายเป็นจอมปราชญ์ เขาเกือบจะไปบุกทำลายศาลปีศาจแล้ว ทว่าโชคยังดีที่ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ได้หยุดท่านอาจารย์เอาไว้”
ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ทงเทียนผู้นี้… ตัวตนแท้จริงของเขาแล้ว จริงใจและเป็นผู้กล้าทะยานฟ้าจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วถามอย่างสงสัย “พี่ชาย ท่านไม่กังวลอะไรเมื่อได้ยินเรื่องภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้เลยหรือ?”
“ภัยพิบัติมาแล้วก็ไป ข้าคุ้นเคยกับมันมานานแล้ว”
จ้าวกงหมิงกล่าวพลางถอนหายใจช้าๆ แล้วคลี่ยิ้ม
“นับตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงบัดนี้ หากไร้ภัยพิบัติจากเต๋าสวรรค์ แล้วจะมีสิ่งมีชีวิตมากมายเท่าใดกันที่ต้องนั่งฝึกบำเพ็ญเต๋าจนกว่าพวกเขาจะรวมเข้ากับเต๋าได้?
บัดนี้เรามีจอมปราชญ์สามคนในสามสำนักบำเพ็ญเต๋าแล้ว แม้หากเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ก็จะไม่มีปัญหาใหญ่อะไรมากนัก
ฉางเกิง เจ้ายังเยาว์อยู่ และยังไม่เคยประสบกับภัยพิบัติใหญ่หลวงใดๆ เลย
เมื่อภัยพิบัติใหญ่มาเยือน ดินแดนเทวะทั้งห้าแห่งโลกบรรพกาลก็จะถูกห่อหุ้มด้วยโชคแห่งภัยพิบัติที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เวทแห่งการหยั่งรู้และการทำนายจะถูกระงับอย่างสิ้นเชิง
สิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เก็บตัวเงียบสงบอยู่อย่างสันโดษจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยการสั่นสะเทือนของเต๋าใหญ่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าความคิดในใจของพวกเขาเป็นเพราะโชคแห่งภัยพิบัติที่ต้องการดึงพวกเขาเข้าสู่ภัยพิบัติหรือไม่
ในช่วงมหาสงครามจอมเวท-ปีศาจ บรรดาศิษย์ส่วนใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าได้รับคำเตือนจากเต๋าสวรรค์ว่าอย่าไปวุ่นวายให้เป็นปัญหา
มีเพียงศิษย์พี่เสวียนตูเท่านั้นที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผู้เป็นชุนหยางที่เก่าแก่ที่สุดในสมัยโบราณ
แม้จะอยู่ท่ามกลางภัยพิบัติ แต่ในยามคับขัน เขาก็กระโดดตรงไปที่หน้าอารามอู่จวงพร้อมกับสมบัติล้ำค่าแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
เขาไม่ได้พูดอะไรกับจักรพรรดิบูรพาไท่อี่สักคำ และเริ่มต่อสู้โดยตรง
ว้าวๆ แล้วจักรพรรดิบูรพาไท่อี่ผู้เหี้ยมโหด ซึ่งมีระฆังโกลาหลอยู่ในมือ ที่สามารถเอาชนะปรมาจารย์จอมปราชญ์ได้
ทว่าในท้ายที่สุด เขาก็กลับพ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้ครั้งแรกของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่…”
จ้าวกงหมิงกล่าวด้วยความตื่นเต้นและเพลิดเพลินอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องและถามใหม่อีกครั้ง
“ในภัยพิบัติครั้งก่อน ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินได้ยืนหยัดขึ้น
หรือว่า ในภัยพิบัติครั้งนี้ ผู้ที่ยืนหยัดขึ้นแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจะเป็นเจ้า ฉางเกิง?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางส่ายศีรษะแล้วเอ่ยถามว่า “พี่ชาย ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า เหตุใดจึงเกิดภัยพิบัติ?”
จ้าวกงหมิงกล่าวว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงบัดนี้ ผู้คนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันว่าเหตุใดภัยพิบัติครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น และท่านอาจารย์ก็ยังได้เปิดเผยข้อมูลบางอย่างด้วย
มีคำกล่าวที่รู้จักกันดีว่า ฟ้าดินย่อมมีขีดจำกัด
ครั้นเมื่อจำนวนสิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้นและความแข็งแกร่งของพวกมันก็เพิ่มขึ้น มันก็จะทำให้โลกบรรพกาลไม่มั่นคง เช่น พลังวิญญาณ
การกำเนิดพลังวิญญาณนั้นเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน และนี่ไม่ได้หมายถึง แร่วิญญาณ
แร่วิญญาณเป็นเพียงหินหยกที่เก็บสะสมพลังวิญญาณเอาไว้
เมื่อพลังวิญญาณกลายเป็นพลังเวทและระดับฐานพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกบำเพ็ญก็จะใช้มันเพื่อพัฒนาตนเอง
พลังวิญญาณในโลกจะค่อยๆ กระจายออกไปทีละน้อย และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลก
และเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เต๋าสวรรค์จะส่งภัยพิบัติครั้งใหญ่มาเพื่อระงับพลังของสิ่งมีชีวิต”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ และใคร่ครวญอย่างรอบคอบ แน่นอนว่า เขาเคยได้ยินเรื่องหลักการเหล่านี้มาก่อน
ทว่าเมื่อเขาเชื่อมโยงมันเข้ากับเรื่องสงครามในเมืองเสวียนตูที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้เคยกล่าวถึง เขาก็มีการรับรู้ที่แตกต่างออกไป
หากพลังของสิ่งมีชีวิตต่ำเกินไป มันจะดึงดูดให้พวกปีศาจภายนอกมาแอบสอดแนม
และหากพลังของสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งเกินไป โลกก็ย่อมไม่อาจทนรับได้ และจะทำให้เกิดผลอันน่าขมขื่นแห่งการเสื่อมของถอยโลก
เมื่อเป็นเช่นนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือเผ่าพันธุ์ที่สามารถอยู่รอดได้แม้จะไม่มีการฝึกบำเพ็ญก็ตาม ส่วนผู้ที่มีการฝึกบำเพ็ญ พวกเขาก็ยังสามารถกลายเป็นกลุ่มชนที่เป็นปรมาจารย์ผู้ปกป้องโลกได้
นี่มันสอดคล้อง เหมาะสมที่สุดกับโลกบรรพกาลอย่างแท้จริง
ศาสตร์การสร้างความสมดุลให้กับทุกสิ่งอาจจะอยู่ที่นี่
หลี่ฉางโซ่วหลับตาลง เขากำลังจะรู้แจ้งเข้าใจเต๋าโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องบางอย่างต้องพูดคุยกัน ดังนั้นเขาจึงต้องปิดผนึกการรู้แจ้งเอาไว้ชั่วคราวแล้วค่อยกลับไปลิ้มลองมันอย่างละเมียดละไมช้าๆ
………………………………………………………………..