ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว – บทที่ 816 การบริหารเวลา (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 816 การบริหารเวลา (2)

ในขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “พี่ชาย ต่อให้ทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าจะทรงพลัง แต่เราก็ไม่อาจลดความระมัดระวังลงได้”

“ไม่ต้องห่วงหรอก” จ้าวกงหมิงโบกมือและกล่าวว่า“พี่ชาย เพียงแค่มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนศาลสวรรค์

ให้ความสำคัญกับความรัก แค่กๆ ปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าทั้งสาม

ไว้หากเกิดอะไรขึ้นกับสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ทันการณ์

ว่าแต่ว่า เจ้าจะไปเดินเที่ยวเล่นที่เกาะซานเซียนเมื่อใดกันเล่า?”

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “ทุกอย่างล้วนไม่อาจเร่งรีบได้ ข้าเพิ่งแยกกับเทพธิดามา หากข้าไปพบนางเร็วเกินไป มันจะรบกวนหัวใจเต๋าของเราได้ง่ายๆ พี่ชาย ท่านจะมีเวลาว่างในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้หรือไม่?”

จ้าวกงหมิงเอนร่างไปด้านข้างและกล่าวกระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าต้องการให้ข้าลงมือสังหารองค์ชายเผ่าปีศาจหรือไม่?”

“มันฟังไม่รื่นหูมากเกินไปที่จะตอบตกลงหรือ?” หลี่ฉางโซ่วเอนร่างไปด้านข้างเช่นกันพลางยิ้มและกล่าว

“ข้าเพียงรู้สึกว่า หากไม่กำจัดเขาออกไป เขาจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน

ข้าวางแผนที่จะรายงานองค์เง็กเซียนทันทีที่ฝ่าบาทกลับมาที่ศาลสวรรค์หลังจากข้ามผ่านภัยพิบัติแล้ว

นอกจากนี้ ข้ายังวางแผนที่จะใช้กองกำลังทั้งหมดเต็มที่เพื่อเข้าต่อสู้กับเผ่าปีศาจที่ชายแดนของดินเทวะอุดร

บัดนี้องค์ชายเผ่าปีศาจและสำนักบำเพ็ญประจิมได้ร่วมมือกันอีกครั้ง และอาจจะมีศิษย์ของจอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมเริ่มลอบดำเนินการบางอย่างอยู่ลับๆ

เมื่อถึงเวลานั้น จะต้องมีผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งมากพอจะสามารถยับยั้งสถานการณ์ต่อสู้และช่วยเหลือศาลสวรรค์ได้”

“เจ้าได้พูดไปแล้ว พี่ชายอย่างข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”

จ้าวกงหมิงกล่าวกระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าเกรงว่า บางทีการที่ข้าจะลงมือกระทำการเพียงลำพังคนเดียวอาจไม่ปลอดภัย เหตุใดเราไม่เรียกศิษย์พี่ใหญ่ตั๋วเป่าและจินหลิงไปด้วยเล่า?

จากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็จะลงมือร่วมกัน เว้นเสียแต่ว่าจะมีปรมาจารย์ใหญ่สำนักบำเพ็ญประจิมอยู่ ไม่เช่นนั้น พวกเราก็สามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ได้

ทว่า…”

“พี่ชาย ท่านต้องการอะไรก็บอกมาเลย อย่าได้ลังเลขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว

“ดูนะ เราจะสามารถเสกสรรปั้นตำรา “รวบรวมวาจาเสน่หา” หรืออะไรสักอย่างได้บ้างหรือไม่?

ท่านอาจารย์ขอให้เราสร้างคู่บำเพ็ญเต๋าในสำนักด้วย แม้ว่าศิษย์น้องของเราครึ่งหนึ่งจะค่อนข้างฉลาดก็ตาม แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็เก่งกาจในการฝึกบำเพ็ญ แต่ไม่เก่งในเรื่องเต๋านี้ ”

จ้าวกงหมิงลูบเคราของเขาพลางหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “หากเจ้าช่วยได้ ฉางเกิง เจ้าก็ทำเลย

พวกเราทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่ควรพูดว่าเจ้าสามารถช่วยได้หรือไม่ หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น ก็เพียงแค่ตะโกนบอกสักครั้งเท่านั้น”

หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที

ไฉนพี่ชายผู้นี้ถึงได้เป็นโจรก่อเรื่องชั่วร้ายมากขึ้นกว่าเดิมถึงเพียงนี้!?!

ความรักทำให้คนเราเติบโตขึ้นได้จริงๆ โดยเฉพาะพวกที่พ่ายรัก ล้มเหลว

“เรื่องนี้มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้?” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าจะหาเวลาเสกสรรเรียงเรียงตำรา และจะทุ่มเทแรงกำลัง ความสามารถทั้งหมดของข้าเพื่อขัดเกลามันให้ดีและละเอียดรอบคอบอย่างแน่นอน

พี่ชาย ข้าวางแผนที่จะแนะนำองค์เง็กเซียนให้จัดตั้งตำแหน่งของเสนาบดีรับเชิญแห่งศาลสวรรค์

จากนั้น ข้าก็จะเชิญท่าน ศิษย์พี่ตั๋วเป่าและศิษย์พี่หญิงจินหลิงให้ยืนหยัดเพื่อศาลสวรรค์อย่างเป็นทางการ แล้วท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร?”

จ้าวกงหมิงลูบเคราของเขาแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่า ข้าจะดำเนินการตามการจัดเตรียมการของเจ้า ส่วนพวกเขาทั้งสองคน ข้าจะช่วยลองสอบถามความคิดเห็นของพวกเขาให้เจ้าในภายหลัง

ศิษย์พี่ตั๋วเป่าจะไม่ปฏิเสธ ส่วนจินหลิงก็ไม่ชอบเรื่องเช่นนี้…

นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องแจ้งเตือนให้สำนักบำเพ็ญเต๋าฉานได้รับรู้ด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อพิพาทใดๆ เพิ่มเติมต่อไป”

“พี่ชายโปรดวางใจเถิด”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางเหลือบมองไปที่ด้านข้าง

มันเกิดขึ้นสองครั้งแล้ว เมื่ออาจารย์ลุงจ้าวพูดถึงเทพธิดาจินหลิง เขาจะเรียกขานนางตามชื่อของนางเสมอโดยไม่มีคำต่อท้ายใดๆ เลย!

บางที เรื่องนี้อาจมีบางอย่างผิดปกติ ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ไม่ได้ใส่ใจกับมัน

จากนั้น เขาก็ยังคงพูดคุยถึงเรื่องการต่อสู้ระหว่างศาลสวรรค์และเผ่าปีศาจในดินแดนเทวะอุดรกับอาจารย์ลุงจ้าวต่อไป

แสงอาทิตย์สาดส่องไปที่ขอบห้องโถงด้านใน และห้องก็ค่อยๆ สว่างขึ้น และเสียงหัวเราะที่ดังก้องสะท้อนอยู่ในค่ายกลหนาแน่นก็เริ่มครึกครื้นรื่นเริงมากขึ้นเรื่อยๆ

……

หลี่ฉางโซ่ววางแผนที่จะนำภาพวาดของจอมปราชญ์ที่อาจารย์ลุงจ้าวส่งมานั้น เก็บเอาไว้ในห้องลับของยอดเขาหยกน้อยเพื่อให้เป็นการเตือนตัวเอง

หลี่ฉางโซ่วไม่กล้าพูดว่า เขาสามารถเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งเบื้องหลังภาพวาดของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ ทงเทียน ได้อย่างถ่องแท้ แต่เขาก็มีความรู้สึก…

ความรู้สึกว่า เขากำลังถูกกระบี่สังหารเซียนทั้งสี่เล่มข่มขู่คุกคาม

“เฮ้อ ประสบการณ์ความรักแบบใดกันที่ดึงดูดความสนใจของจอมปราชญ์ในโลกบรรพกาล?”

หลังจากส่งอาจารย์ลุงจ้าวจากไปแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เพ่งจิตสนใจของเขากลับคืนไปที่ตำหนักที่พำนักของเทพวารีแห่งศาลสวรรค์เพื่อจัดการกับเรื่องต่างๆ มากมายที่ตามมาหลังสงครามใหญ่กับเผ่าปีศาจ

การเฉลิมฉลองความสำเร็จนั้นไม่ควรค่าที่จะเฉลิมฉลอง เพราะคราวนี้ มันเป็นเพียงการปะทะกันแบบเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจเท่านั้น และยังอาจมีความขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้นในอนาคต

บัดนี้ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ ทงเทียน ได้หยั่งรู้ถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ของสำนักบำเพ็ญเต๋าแล้ว และคาดว่าปรมาจารย์ใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมก็หยั่งรู้ได้เช่นกัน

และในเวลานี้ สำนักบำเพ็ญประจิมน่าจะยับยั้งขอบคมของตัวเอง และรอให้ภัยพิบัติครั้งใหญ่มาถึง

แน่นอนว่า หากพวกเขาหยั่งรู้ข้อมูลได้เพียงพอ พวกเขาก็อาจยังคงใช้เส้นทางเดิมและเพิ่มความขัดแย้งระหว่างทั้งสองสำนักให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น

หรานเติ้งและพวกเด็กสองห้า[1]คนอื่นๆ กลายเป็นตัวหมากที่สำคัญ…

แล้วตอนนี้ ข้าต้องทำอะไร?

หลี่ฉางโซ่วเคาะนิ้วของเขาลงบนโต๊ะและเปิดกางแผ่นบันทึกออกมา เขามองไปที่ “บาปมหันต์สิบสองประการของซากส่วนที่เหลือแห่งศาลปีศาจ” ที่เขียนอยู่บนนั้น และทบทวนมันอย่างละเอียดรอบคอบ

การสังหารนักพรตเต๋าลู่หยาเพื่อผดุงคุณธรรมก็เพียงพอแล้ว

ในฐานะหนึ่งในสาม ‘การทดลองสังเกตการณ์ที่สำคัญ’ หากนักพรตเต๋าลู่หยาถูกกำจัดออกไปจริงๆ ก่อนที่ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะมาถึง

บทมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพก็ย่อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน

เขากลัวว่าเต๋าสวรรค์จะเลือกใครอื่นอีกคนหรือสักสองสามคนมาเติมเต็มบทบาท ทำหน้าที่ของนักพรตเต๋าลู่หยา…

หลังจากเก็บบันทึกแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็กำลังจะเดินเล่นในลานบ้าน ทว่าสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาก็ตรวจจับเทพธิดาน้อยที่กำลังขี่เมฆอยู่นอกตำหนักที่พำนักของเทพวารีได้

นั่นคือ หลงจี๋ที่คอยเฝ้าปกป้องดูแลสระหยก

เมื่อดูจากรอยยิ้มบนใบหน้าของนางแล้ว เขาคิดว่า นางน่าจะมาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลอง

ในขณะนั้น ที่ลานบ้านของตำหนักที่พำนักของเทพวารี เหล่าแม่ทัพสวรรค์ได้ร้องตะโกนเรียกออกมาว่า หลิงจูจื่อ

ตามกฎที่หลี่ฉางโซ่ววางเอาไว้ พวกเขาจะประลองฝีมือกับหลิงจูจื่อในทุกๆ สองสามวัน

การเปลี่ยนแปลงของหลิงจูจื่อนั้น… อาจเรียกได้ว่าเล็กน้อยมาก

ในขณะนั้น เขาสวมเสื้อคลุมยาว และใบหน้าที่บอบบางละเอียดอ่อนของเขาก็ฉายแววแห่งความหวังเล็กน้อย ซึ่งอย่างน้อย ก็ไม่ได้เขินอายอีกต่อไป

เอ่อ…

บัดนั้นภาพของหลงจี๋และหลิงจูจื่อยืนอยู่ด้วยกันได้ปรากฏขึ้นในใจของหลี่ฉางโซ่ว เขาใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบแล้วก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง

มันไม่เข้ากันเลยจริงๆ

………………………………………………………………..

[1] คนทรยศ คนสอดแนม

 

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

Status: Ongoing
เพื่อให้มีอายุยืนยาวในยุคบรรพกาลอันโหดร้าย จงหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการ เก็บงำความสามารถ ขยันฝึกวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!หลี่ฉางโซ่วที่ไปเกิดใหม่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตัวน้อยๆ ในโลกบรรพกาลอันน่าสะพรึงกลัวเขาถูกอาจารย์ผู้นำยอดเขาสุดแสนอัตคัดในสำนักเซียนมนุษย์เล็กๆ พาตัวมาดูแล เพื่อฝึกฝนให้บรรลุวิถีเซียนตั้งแต่ยังเยาว์เป้าหมายของเขาคือ ‘อายุยืนยาว’ ในยุคบรรพกาลอันโหดร้ายนี้จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงผลกรรม หากฆ่าคนต้องป่นขี้เถ้า ทุกการเคลื่อนไหวต้องมีแผนการเก็บงำความสามารถ ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเคล็ดวิชา หลอมยาปรุงโอสถ นิ่งสงบมั่นคง!เดิมทีในแผนการของหลี่ฉางโซ่ว เขาตั้งใจว่าจะซ่อนตัวอยู่ในเขาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตจนกระทั่งปีหนึ่ง อาจารย์ของเขาคงมีชีวิตที่สงบเงียบเกินไปจนเบื่อขึ้นมา ถึงได้รับศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งมาให้เขา…เพื่อไม่ให้ศิษย์น้องนำผลกรรมมาแปดเปื้อนตน เขาจะต้องสอนหลักการการใช้ชีวิตให้ศิษย์น้องดีๆ เสียหน่อยแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท