แพ้ ข้าแพ้! ข้ากลับแพ้เสียได้!
เจียงเทียนหัวมองหวงเสี่ยวหลงด้วยความไม่เต็มใจสุมเต็มอกรวมไปถึงตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ เขาเป็นถึงคนที่บ่มเพาะกายาปีศาจอมตะและดัชนีปีศาจแห่งความทุกข์ตรมแต่เขากลับพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นที่ 7 ซะงั้น!
ผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดเจียงเทียนหัวก็พูดออกมา “บอกให้ข้ารู้ถึงเคล็ดวิชาดาบที่เจ้าฝึกได้หรือไม่ว่ามันเป็นเคล็ดวิชาอะไรกันแน่?”เคล็ดวิชาดาบอันทรงพลังที่ชายหนุ่มคนนี้ได้แสดงออกมานั่นน่าลึกลับและมันยังเป็นเคล็ดวิชาที่มีระดับมากกว่าดัชนีปีศาจแห่งความทุกข์ตรม
“เคล็ดวิชาดาบเทพอสูร!”หวงเสี่ยวหลงก็ตอบไป
ทุกคนที่ยืนอยู่ในห้องโถง ตั่งแต่เฉินเสี่ยวเทียน เกิงเคนไปจนถึงที่เหลือต่างยอมจำนนแก่เขาหมด มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรถ้าหากพวกขเจะรู้ชื่อเคล็ดวิชาที่เขาใช้
“เคล็ดวิชาดาบเทพอสูร…”เจียงเทียนหัวก็พูดทบทวนชื่อวิชาแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อ เคล็ดวิชาดาบเทพอสูรนี้
“ดี ในเมื่อข้าแพ้ ข้าจะยอมจำนนแก่เจ้า”เจียงเทียนหัวก็มองท้องฟ้าและถอนหายใจในขณะที่พูดออกมา ในหัวใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและความไม่ยอมรับอันแรงกล้า อย่างไรก็ตาม ความจิรงก็คือความจริง แพ้คือแพ้ แพ้นั่นหมายถึงเขาควรจะรักษาสัญญา นี่แหละคือหลัการใช้ชีวิตของเขา
“แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยพวกมันไป”เจียงเทียนหัวก็ชี้ไปที่ฉุยหมิงและผู้อาวุโสสถาบันกลืนกินโลหิตที่เหลือ
“ตราบใดที่พวกมันยอมจำนนแก่ข้า ข้าจะไว้ชีวิตพวกมัน”หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้า เขาไม่มีความแค้นเคืองกับฉุยหมิงหรือคนอื่นๆ และนั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องฆ่าพวกนั้นทั้งหมด แต่มันก็คงจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ฉุยหมิงและผู้อาวุโสทั้ง5คนนั้นจะต้องยอมจำนนแก่เขา
ฉุยหมิงและผู้อาวุโสสถาบันกลืนกินโลหิตที่เหลือ 5 คนก็ลังเล แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมด 6คนก็พยักหน้าเลือกยอมจำนน เนื่องจากประมุขของพวกเขา เจียงเทียนหัวเลือกที่จะยอมจำนน แล้วเขาจะต่อต้านเพื่ออะไร?สำหรับพวกเขาการเลือกยอมจำนนแก่ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างหวงเสี่ยวหลงนั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร
ต่อมา หวงเสี่ยวหลงก็ได้บอกเจียงเทียนหัว ฉุยหมิง และผู้อาวุโส ทั้ง 5คนให้ปลดผนึกการป้องกันของทะเลปราณเพื่อให้เขาทำการประทับตราจิตวิญญาณ
“ตราประทับจิตวิญญาณ!”พอได้ยินหวงเสี่ยวหลงต้องการประทับตราจิตวิญญาณ เจียงเทียนหัวและที่เหลืออีก 6 คน ก็แสดงสีหน้าเหมือนที่เฉินเสี่ยวเทียนและผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาเคยทำ ซึ่งก็คือพวกเขาแสดงสีหน้าตกใจออกมานั่นเอง แต่แล้วก็เหมือนกับคนก่อนหน้า พวกเขาทั้ง 7 คนก็ได้เปิดทะเลปราณและให้หวงเสี่ยวหลงประทับตราจิตวิญญาณทีละคน
หวงเสี่ยวหลงก็ถอนหายใจอย่างลับๆเมื่อทำทุกอย่างได้เสร็จสิ้นลง ด้วยเจียงเทียนหัว ฉุยหมิงและคนที่เหลือยอมจำนนแก่เขา นั่นหมายความว่าว่าเขาทำสำเร็จตามแผนไปมากกว่าครึ่งแล้ว ตอนนี้เขาก็ได้สถาบันกลืนกินโลหิตมาไว้ในกำมือแล้ว
ด้วยนิกายพ่อมดนภาและสถาบันกลืนกินโลหิตภายใต้การควบคุมของเขา ขุมกำลังที่เหลือก็คงมีแค่นิกายเก้าอสูร พอมาถึงตรงนี้ นิกายเก้าอสูรนั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อแผนการยึดครองเมืองปีศาจทมิฬของเขาอีกแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หวงเสี่ยวหลงได้ควบคุมผู้อาวุโสนิกายเก้าอสูรไปครึ่งนึงแล้ว สรุปแล้ว เขานั้นมีพลังอำนาจและขุมกำลังภายต้ายการควบคุมของเขาในเมืองปีศาจทมิฬแห่งนี้เกินกว่าครึ่งแล้ว
หวงเสี่ยวหลงได้สั่งการเจียงเทียนหัวและเฉินเสี่ยวเทียนไปทำงานที่สำคัญที่สุดนั่นคือการเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของนิกายเก้าอสูร จากนั้นเขาก็ได้ไล่เจียงเทียนหัว เฉินเสี่ยวเทียนและคนที่เหลือออกไป
สำหรับนิกายเก้าอสูรนั้น เขาไม่รีบร้อนจะเข้าควบคุมทันที นอกจากนี้ หวงเสี่ยวหลงนั้นจำเป็นต้องควบคุมผู้อาวุโสกลืนกินโลหิตด้วย หลังจากเจียงเทียนหัว เฉินเสี่ยวเทียน และคนที่เหลืออกไป หวงเสี่ยวหลงก็ได้เข้าไปในวิหารซูมี่ เขาได้กลืนโอสถทิพย์จักวาล และได้เริ่มทำการบ่มเพาะเคล็ดวิชาซูมี่เทวะเพื่อฟื้นฟูพลังจิตของเขา
หนึ่งวันให้หลัง หวงเสี่ยวหลงก็ได้ฟื้นฟูกลับมาสู่ในสภาพที่ดีที่สุด หลังจากบรรลุเคล็ดวิชาเชิดหุ่นโบราณขั้นที่ 2 แล้ว การฟื้นฟูพลังจิตของหวงเสี่ยวหลงนั้นก็ลดลงกว่าเดิมหลายเท่า
เมื่อหวงเสี่ยวหลงสู่กับเจียงเทียนหัว ตั่งแต่เริ่มจนตบ เขานั้นไม่ได้ใช้การโมตีทางวิญญาณของเนตรนรกเลยสักนิด แม้กระทั่งเคล็ดวิชาซูมี่เทวะด้วย ที่จริงแล้วหวงเสี่ยวหลงได้ตัดสิอนใจว่าต่อหน้าคนอื่นนั้นเขาจะพยายามไม่ใช่เคล็ดวิชาซูมี่เทวะเท่าที่จะทำได้
เคล็ดวิชาซูมี่เทวะนั่นถูกนับว่าเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้อันดับหนึ่งในโลกจิตวิญญาณต่อสู้แห่งนี้ ถ้าหากเขารั่วไหลออกไปหล่ะก็ หวงเสี่ยวหลงคงไม่สามารถปกป้องแผ่นหลังของตัวเองได้แม้ว่าเขาจะทะลวงเข้าสู่ระดับเทวะได้ทันทีก็ตาม
5วันผ่านไปทุกอย่างก็ยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม
ในช่วง 5 วันนี้หวงเสี่ยวหลไงด้ประทับตราจิตวิญญาณลงในผู้อาวุโสแห่งสถาบันกลืนกินโลหิตที่เหลือทั้งหมด และในที่สุดเขาก็ไดนิกายพ่อมดนภาและสถาบันกลืนกินโลหิตมาอยู่ในมือ
นอกจากนั้น การบ่มเพาะของหวงเสี่ยวหลงนั้นก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆซึ่งเขาได้ทำรากฐานจากการทะลวงระดับเข้าสู่ขั้นที่ 7ให้มั่นคงและพลังโจมตีของเคล็ดวิชาดาบเทพอสูรกระบวนท่าที่ 7 โซ่ยมทูตก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ปัจจุบัน หวงเสี่ยวหลงนั้นสามารถสร้างโซ่ขึ้นได้ถึง 55 เส้นด้วยการฟาดดาบไปหนึ่งครั้ง โซ่แต่ละเส้นนั้นสามารถลอยไปไกลถึงหลายพันเมตร ภายในระยะหลายพันตารางเมตร หลังจากที่โซ่ยมทูตพุ่งผ่านก็มีเหลืออยู่เพียงความตายเท่านั้น
ในวันนี้ หลังจากออกมาจากวิหารซูมี่หวงเสี่ยวหลงก็ได้มายืนอยู่ในสวนหย่อมและมองดูพระอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าพร้อมกับหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“ข้าหวังว่าฝั่งพ่อแม่คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น”หวงเสี่ยวหลงก็ครุ่นคิดกับตัวเอง ตั้งแต่เขาออกจากจักรวรรดิต้วนเริ่นก็ผ่านไปมาเกือบปีแล้ว
แล้วก็ยังมีหลี่ลู่ พอคิดถึงหลี่ลู่ ภาพของเธอก็ลอยขึ้นมาในความคิดของหวงเสี่ยวหลง ตั้งแต่ที่หลี่ลู่ถูกอาจารย์ของเธอพาตัวไปครั้งนั้น หวงเสี่ยวหลงก็ได้สูญเสียข่าวคราวที่เกี่ยวกับเธอทั้งหมด เธออยู่ในนิกายนักรบแห่งพระเจ้าเป็นอย่างไรบ้างนั้น เขาไม่รู้เลยสักนิด
และยังมีเหยาเฟยอีกคน ดวงตาของหวงเสี่ยวหลงก็เปล่งประกายหนาวเหน็บออกมาในขณะที่คิดถึงเหยาเฟย หลังจากที่เขาทะลวงเข้าสู่ระดับเทวะ คนแรกสุดที่เขาจะฆ่านั้นก็คือเหยาเฟย
“บางทีข้าคงไม่จำเป็นต้องรอจนถึงระดับเทวะก็ได้” หวงเสี่ยวหลงก็คิดขึ้น ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ตราบใดที่ข้าบรรลุระดับเซียนเทียนขั้นที่ 10 ข้าก็มั่นใจว่าข้าจะสามารถฆ่าเหยาเฟยที่มีการบ่มเพาะอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นที่ 10 สูง-ปลายได้
ครู่ต่อมาหวงเสี่ยวหลงได้ออกจากสวนหย่อมนี้แล้วเดินทางไปที่ห้องโถงนิกายพ่อมดนภา จากนั้นเขาก็เรียกเฉินเสี่ยวเทียน และถามเรื่องการเคลื่อนไหวของนิกายเก้าอสูรในเร็วๆนี้ ซึ่งเฉินเสี่ยวเทียนก็ได้ตอบและรายงานทุกอย่างด้วยความเคารพ
“อืม เจ้าไปได้แล้ว ข้าจะไปเดินเล่นข้างนอกหน่อย”หวงเสี่ยวหลงก็พูดออกมาหลังจากเฉินเสี่ยวเทียนอธิบายสถานการณ์สุดท้ายจบ เขาได้อยู่เมืองปีศาจทมิฬมาหลายเดือนแล้ว แต่นอกจากศูนย์หลักนิกายพ่อมดนภา หวงเสี่ยวหลงก็ยังไม่เคยไปเดินในเมืองปีศาจทมิฬเลย ดังนั้น หวงเสี่ยวหลงจึงวางแผนจะไปเดินเล่นผ่อนคลายสักหน่อย
“นายน้อย ท่านต้องการจะออกไปเดินเล่นหรือขอรับ?”เฉินเสี่ยวเทียนก็ตกใจและรีบกลบเกลื่อนโดยพูดมาว่า “งั้นผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ร่วมทางไปกับนายน้อยด้วย”
หวงเสี่ยวหลงก็ส่ายหัว “ไม่จำเป็น ข้าไปคนเดียวดีแล้ว” ถ้าหากเฉินเสี่ยวเทียนตามเขาไป มันคงกลายเป็นการดึงดูดความสนใจจากนิกายเก้าอสูรแน่ ก่อนที่หวงเสี่ยวหลงจะตัดสินใจลงมือกับนิกายเก้าอสูร มันคงจะดีที่สุดหากเขาจะหลุดรอดจากการเฝ้าระวังของนิกายเก้าอสูร
ดูเหมือนว่าเฉินเสี่ยวถึงจะคิดได้ถึงจุดๆนี้ “งั้นข้าควรจะส่งศิษย์ทั้งสองร่วมทางไปกับนายน้อยดีหรือไม่?”
พอคิดได้ หวงเสี่ยวหลงก็พยักหน้าและเห็นด้วย “อืม งั้นเจ้าไปจัดการซะ”แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังนิกายพ่อมดนภาและสถาบันกลืนกินโลหิต ซึ่งนอกจากผู้อาวุโสแล้ว ไม่มีใครในศิษย์นิกายรู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว การมีศิษย์นิกายพ่อมดนภาร่วมทางไปกับเขาด้วยนั้นคงสามารถลดปัญหาไปได้หลายเรื่อง
ดังนั้น เฉินเสี่ยวเทียนจึงได้เลือกลูกศิษย์ติดตามหวงเสี่ยวหลงไปอย่างเศร้าสร้อย ก่อนที่จะออกไป เฉินเสี่ยวเทียนได้กระชับศิษย์ทั้งสองคนว่าคำพูดของหวงเสี่ยวหลงก็คือคำพูดของเขาและคำสั่งของหวงเสี่ยวหลงก็คือคำสั่งของเขา ไม่ว่าหวงเสี่ยวหลงจะพูดอะไร พวกเขาจะต้องทำตามต่อคำสั่งและเคารพต่อหวงเสี่ยวหลงด้วย
แม้ว่าศิษย์ทั้งสองจะสับสนและประหลาดใจเรื่องตัวตนของหวงเสี่ยวหลง ในพวกเขาไม่มีใครกล้าถามอะไรมากนัก ครู่ต่อมา หวงเสี่ยวหลงได้ออกจากศูนย์หลักนิกายพ่อมดนภาจากหน้าประตูและออกมาสู่ถนนของเมืองปีศาจทมิฬแล้วมองรอบๆ มันไม่แตกต่างอะไรมากนักจากครั้งแรกที่หวงเสี่ยวหลงมาถึงเมืองนี้ที่สามารถพบเห็นล่องรอยการต่อสู้ได้ทั่วทุกแห่ง
ท้องฟ้าเหนือเมืองปีศาจทมิฬนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ในขณะที่ทั้งสามคนเดินนั้น ก็ได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นตรงหน้าเขาซึ่งคนที่เดินอยู่บนถนนก็รีบๆหลบออกไปด้านข้าง พอมองดู ดวงตาของหวงเสี่ยวหลงก็หรี่แคบซึ่งเขามองศิษย์นิกายเก้าอสูรหลายคนกำลังเดินบนถนนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางเขา กลุ่มศิษย์นิกายเก้าอสูรนี้มีชายหนุ่มที่อยู่หน้าสุดเป็นคนเดินนำมาซึ่งเขานั้นมีดวงตาคมดังเหยี่ยวและเขานั้นกำลังใช้พัดเหล็กพัดให้ตัวเองอย่างช้าๆ
พอเห็นรูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้าของชายหนุ่ม หวงเสี่ยวหลงก็คาดเดาได้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้จะต้องเป็นลูกชายของฮูหาน ประมุขนิกายเก้า ซึ่งก็คือฮูเฉิง