หวงเสี่ยวหลงเข้าใจว่าตู่ซินต้องการจะพูดอะไรแต่เขาก็ส่ายหัวแล้วพูดไปว่า “ไม่จำเป็น”ยังไม่ถึงเวลาที่เขจะต้องลงมือ
ตู่ซินและเติงกวงเหลียงก็ตกใจและสับสันอยู่ภายใน แต่ไม่นานพวกเขาก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไป
“นายน้อยเฉินเสี่ยวเทียนเริ่มสงสัยแล้วขอรับ ถ้าหากพวกเราไม่รีบลงมือตอนนี้ เมื่อเขาค้นพบความจริง ข้าเกรงว่า..”เติงกวงเหลียงก็เดินเข้ามาใกล้และถามขึ้น
“มันยังมีเวลาก่อนที่มันจะสามารถค้นพบเรื่องต่างๆ”หวงเสี่ยวหลงก็โบกมือและพูดอย่างเย็นชาไปว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวล เจ้าเพียงแค่เฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของเฉินเสี่ยวเทียนและรอคอคำสั่งจากข้า งั้นพวกเจ้าทั้งสองออกไปได้แล้ว”
ได้ขอรับ นายน้อย!”พวกเขาทั้งสองก็ตอบรับพร้อมกับทำความเคารพและถอยตัวออกไป
หลังจากทั้งสองคนออกไปแล้ว หวงเสี่ยวหลกง็ได้ทำการบ่มเพาะต่อไป
เฉินเสี่ยวเทียนนั้นต้องใช้เวลาตรวจสอบความจริงและก่อนหน้านั้นหวงเสี่ยวหลงก็จะทำการทะลวงการบ่มเพาะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นที่ 6 ปลาย
หลังจากนั้นมันก็ไม่สายเกินไปที่จะลงมือ!
แน่นอนว่า ความมั่นใจของงหวงเสี่ยวหลงส่วนใหญ่นั้นมาจากผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาที่อยู่ใต้อาณัติของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เร่งรีบไปเผชิญหน้ากับเฉินเสี่ยวเทียนในตอนนี้
พอกลืนโอสถพุทธจักวาลลงไป หวงเสี่ยวหลงก็นั่งขัดสมาธิลงในข่ายอาคมพระพุทธ 1 0องค์ ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยพลังปราณจากโลกใต้พิภพ ปราณพุทธโบราณ รวมไปถึงปราณมังกรที่แท้จริง
หลายวันก็ผ่านไปและทันที 15 วันได้ผ่านไป
หวงเสี่ยวหลงที่กำลังบ่มเพาะอยู่ในใจกลางข่ายอาคมพระพุทธ 10 องค์นั้นจู่ๆก็สั่นไหว จากนั้นได้มีแสงสว่างสดใสสามสีพุ่งออกมาจากร่างของเขาราวกับพายุทอนาโดยักษ์ที่ทำให้เกิดลมพัดไปทั่วห้องอย่างรุนแรง
ในเส้นลมปราณและทะเลปราณของหวงเสี่ยวหลงนั้น ปราณฉีโลกใต้พิภพ ปราณมังกรที่แท้จริงและปราณพุทธโบราณได้วิ่งพล่านไปทั่วร่างของเขา
เซียนเทียนขั้นที่ 6 ปลาย ในที่สุดเขาก็ทะลวงผ่าน!
หวงเสี่ยวหลงก็ลุกขึ้นยืนอยู่ใจกลางข่ายอาคมจากนั้นก็ได้มีมือหลายร้อยมือที่มองเห็นได้งอกมาจากร่างของเขาในขณะที่ปราณพุทธะก่อตัวเป็นชั้นปราณป้องกันอันแข็งแกร่งซึ่งมันได้ปลดปล่อยแสงสีเหลืองทองราวกับว่าเขานั้นคือร่างจุติของพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ ด้วยความเข้าในของหวงเสี่ยวหลงในเคล็ดวิชาซูมี่เทวะในปัจจุบัน เขาก็สามารถสร้างแขนขึ้นมาได้ 160 แขนและเขายังสามารถแบ่งร่างของเขาออกเป็นพระพุทธอวตารได้หลายสิบร่าง
ครู่ต่อมาหวงเสี่ยวหลงจึงหยุดลง และได้ค่อยๆทำการสงบปราณฉีที่ไหลพุ่งพล่านอยู่ในร่างของเขาในขณะที่เขาหายใจเอาของเสียออกจากปาก
ในที่สุดเขาก็ได้ทะลวงเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นที่ 6ปลาย และมันก็ถึงเวลาทำการสยบเฉินเสี่ยวเทียนและเข้าควบคุมนิกายพ่อมดภาทั้งหมดมาไว้ในมือ
ร่างกายหวงเสี่ยวหลกง็กระพริบขึ้นแล้วเขาก็ออกไปจากวิหารเทวะซูมี่
…..
ที่ห้องโถงของอาคารหลักแห่งนิกายพ่อมดนภา
เฉินเสี่ยวนั้นกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่สูงที่สุดด้วยสีหน้าเศร้าศร้อย ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาส่งไปตรวจสอบเรื่องศิษย์คนที่ 3 หลินหยูของเขา นั้นได้กลับมารายงานว่าหลินหยูนั้นไม่ได้ถูกผู้รักษาการแทนของสถาบันกลืนกินโลหิต ฉุยหมิง
ลูกศิษย์ทั้งสองของเขาต่างหากที่กล้าหลอกลวงเขา!
ช่างปวดหัวอะไรขนาดนี้!
เขาได้สั่งการผ็ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างเขาว่า “ไปเรียกผู้อาวุโสเกาฉิงและหวูหงกังมาที่ห้องโถงหลัก ถ้าหากพวกมันกล้าต่อต้านก็ ฆ่ามันได้เลยไม่ต้องปราณี
“ได้ขอรับ ประมุขนิกาย!”ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นก็ทำความเคารพและออกไปจากห้องโถงหลัก
คนพวกนี้ก็คือนักรบเดนตายที่เฉินเสี่ยวเทียนฝึกฝนด้วยตนเองและแต่ละคนก็เป็นผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนด้วยกันทั้งสิ้น มีแค่พวกเขากลุ่มเดียวอาจจะไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเกาฉิงและหวูหงกังได้ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เกาฉิงและหวูหงกันจะหนีรอดจากการจับกุม
เมื่อทีมนักรบเดนตายออกไปแล้ว เฉินเสี่ยวเทียนก็ยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์และคุ่นคิดอย่างเศร้า ทั้งเกาฉิงและหวูหงกังนั้นเป็นศิษย์ของเขา เขาจึงรู้นิสัยของพวกนี้ดี อย่างน้อยจะต้องมีคนสั่งการพวกเขาเบื้องหลัง มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่กล้าหลอกหลวงเขาแน่
นอกจากนี้ ในช่วงนี้ เขาสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นในนิกายพ่อมดนภาของเขา แต่เขาก็หาไม่พบ ความรู้สึกนี้มันทำให้เขาไม่สบายใจ
บางทีการจับตัวเกาฉิงและหวูหงกันคงสามารถช่วยเขาค้นพบสิ่งนี้ได้ เฉินเสี่ยวเทียนก็สรุปเท่าที่เขาจะทำได้
อย่างไรก็ตาม ทันทีก็ได้เสียงร่ำร้องอย่างเศร้าสร้อยมาขัดจังหวะความคิดของเขา
เฉินเสี่ยวเทียนจึงเงยหน้าและมองดูอย่างโง่งม เสียงนี้เหมือนกับเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาได้สั่งการไปพาตัวเกาฉิงและหวูหงกังมา!
ในครู่ต่อมา ก็ได้มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นต่อเนื่องในห้องโถงนี้ เสียงสุดท้ายที่กรีดร้องนั้นดังขึ้นอย่างชัดเจนนั่นเพราะระยะห่างนั้นอยู่ใกล้กับห้องโถงหลักมากขึ้น
พอได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นต่อเนื่อง เฉินเสี่ยวเทียนก็หันเหความสนใจไปที่เสียง ใบหน้าของเขาก็ซีดขึ้นมาเล็กน้อยในขณะที่ในใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เสียงกรีดร้องพวกนี้นั้นมาจากกลุ่มนักรบเดนตายที่เขาส่งออกไปเมื่อครู่รวมไปถึงทหารยามที่อยู่รอบห้องโถงหลัก พวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและขุมกำลังที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขา
‘มีคนลงมือโจมตีนิกายพ่อมดนภางั้นหรือ?’เฉินเสี่ยวเทียนก็เกิดความสงสัยขึ้น
สถาบันกลืนกินโลหิต?! หรือว่าจะเป็นนิกายเก้าอสูร?!
ในเมืองปีศาจทมิฬแห่งนี้ มีเพียงสองขุมกำลังนี้เท่านั้นที่มีความสามารถพอจะทำแบบนั้น
ในขณะที่เฉินเสี่ยวเทียนกำลังจะก้าวออกจากห้องโถงหลักไปตรวจสอบดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก เขาก็ได้มองเห็นทหารยามวิ่งเข้ามในสภาพเต็มไปด้วยเลือด
“ท่านประมุข รีบหนีไปเร็วเข้า!”เมื่อคำพูดออกจากปากของเขา ยามคนนั้นก็ล้มลงกับพื้นและไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป
ใบหน้าของเฉินเสี่ยวเทียนก็ดูหน้าเกลียดขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะสามารถเคลื่อนไหวได้นั้น ก็ได้มีร่างของทหารยามหลายร่างถูกโยนเข้ามาในห้องโถงหลัก แต่ละร่างนั้นก็มีรอยฝ่ามือสีแดงเข้มอยู่ที่อก
“ฝ่ามือโลหิต!”ดวงตาของเฉินเสี่ยวเทียนก็เป็นประกาย
ฝ่ามือโลหิตนั้นเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้ของนิกายพ่อมด มีเพียงผู้ที่มีสถานะผู้อาวุโสดและที่สูงไปกว่านั้นเพียงแค่พวกนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเรียนเคล็ดวิชานี้ได้
ณ ตอนนี้ ก็ได้มีเคลื่อนฝูงชนพุ่งเข้ามาในห้องโถงหลัก เฉินเสี่ยวเทียนก้ได้หันหน้าไปดูและเห็นเกิงเคนเดินเข้ามาในชุดคลุมสีแดงพร้อมกับผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาติดตามเข้ามาด้วย ซึ่งรวมไปถึงศิษย์ของเขาทั้งสอง เกาฉิงและหวูหงกัง และผู้ใต้บังคับบัญชาคนที่เขาพึ่งสั่งการให้ไปจับกุมนั้นก็อยู่ในท่ามกลางผู้อาวุโศที่เข้ามาในห้องโถงพร้อมกับเกิงเคน
ไม่เพียงแค่นั้น แม้กระทั่งศิษ์คนแรกและคนที่สุดของเขา ตู่ซินและเติงกวงเหลียงก็เดินเข้ามาในห้องโถงซึ่งเดินตามหลังเกิงเคนครึ่งก้าว
สีหน้าของเฉินเสี่ยวเทียนก็มืดครึ้มราวกับท้องฟ้าแปรปรวน
“เกิงเคน เจ้าทำอะไรกัน?!”พอหายตกใจ เฉินเสี่ยวเทียนก็ใจเย็นลงและพูดเตือนเกิงเคน
พอหยุดอยู่ตรงหน้าห่างจากเฉินเสี่ยวเทียนประมาณ7เมตร เกิงเคนก็แสดงสีหน้าเย็นชาและเย้ยหยันจากนั้นเขาก็พูดว่า “เจ้าคิดว่าไงหล่ะ?”
ในขณะที่ดวงตาของเฉินเสี่ยวเทียนกวาดผ่าน หวุหงกัง ตู่ซิน เติงกวงเหลียง และผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาส่วนใหญ่ จากนั้นเขาก็เงยหน้าหัวเราะขึ้นมาทันที พอเขาหยุดหัวเราะเฉินเสี่ยวเทียนก็มองเกิงเคนอย่างเย็นชา “เจ้าแคระน้อย ดูเหมือนว่าข้าเฉินเสี่ยวเทียนจะดูถูกเจ้าไป แต่มันคงไม่ง่ายนาดนั้นถ้าหากเจ้าต้องการนั่งที่ประมุขนิกายพ่อมดนภา!”
เฉินเสี่ยวเทียนนั้นได้ครุ่นคิดอยู่ว่าใครกันที่สั่งการเกาฉิงและหวูหงกังอยู่เบื้องหลัง แต่พอเห็นเกิงเคน เขาก็ตัดสินใจเลยว่าคนวางแผนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเกิงเคน
ตั้งแต่เกิงเคนมีความทะเยอทะยานในที่นั่งประมุขนิกายพ่อมดนภานั้นมันไม่ใช่แค่หนึ่งถึงสองวัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเกิงเคนหรือผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาคนใหนจะพูดออกมาเลยสักคน พวกเขากลับหันตัวถอยหลบไปด้านข้างและเปิดทางไว้ตรงกลางโดยที่พวกขาก้มหน้าอย่างเคารพไปที่ทางเข้า
ก่อนที่เฉินเสี่ยวเทียนจะแสดงสีหน้าสับสน ก็ได้มีชายหนุ่มผมดำที่ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งผู้ปกครองเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยการก้าวเดินอย่างช้าๆ
“พวกเรายินดีที่ได้พบนายน้อย!”เกิงเคนและผู้อาวุโสนิกายพ่อมดนภาก็คุกเข่าทำความเคารพในขณะที่พวกเขาพูดออกมาเสียงดังก้องทำให้ห้องโถงนี้ถึงกับสั่นไหว
ดวงตาของเฉินเสี่ยวเทียนก็เบิกกว้างภายนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและตกตะลึงในขณะที่เขาลอบมองสังเกตชายหนุ่มผมดำ
หวงเสี่ยวหลงก็เดินเข้ามาในห้องโถงหลักของนิกายพ่อมดนภา ใบหน้าของเขาก็ยังคงแสดงความชินชาจากนั้นเขาก็มองเกิงเคนและผู้อาวุโสที่คุกเข่าอยู่ “ลุกขึ้นได้”
“พวกเราขอขอบคุณนายน้อย!”เกิงเคนและคนที่เหลือก็ยืนขึ้นหลังจากแสดงความขอบคุณ
หวงเสี่ยวหลงก็ก้าวเดินต่อไปจนกระทั่งเขามาถึงตรงหน้าเฉินเสี่ยวเที่ยน
ในขณะนั้น เฉินเสี่ยวเทียนก็ถูดึงกลับมาสู่ปัจจุบันจากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าข้อสรุปของเขาเมื่อกี้นั้นผิดพลาด คนที่อยู่เบื่องหลังของเกาฉิงและหวูหงกันนั้นไม่ใช่เกิงเคน!
และชายหนุ่มผมดำคนนี้เป็นใครกัน?!