บทที่ 668 ลู่หยวนกลายเป็นเทพ
บทที่ 668 ลู่หยวนกลายเป็นเทพ
เมื่อร่างแยกของมหาจักรพรรดินีเหยาจีได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะในใจ
ส่วนร่างจริงของมหาจักรพรรดินีเหยาจีซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปก็รู้สึกวางใจ
“หึ เทพธิดาไท่อีพูดมาก็มากมาย สุดท้ายก็ยังเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้สินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้ายิ่งไม่ต้องกังวลแล้ว”
นางรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าด้วยนิสัยของเทพธิดาไท่อีคงไม่สังหารผู้คนไปมากกว่านี้เป็นแน่
สิ่งที่นางต้องการก็คือให้เทพธิดาไท่อีปรากฏตัวขึ้นในสนามรบสุดท้ายก็พอ!
เพราะเพียงแค่การมีอยู่ของเทพธิดาไท่อีก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่ามหาจักรพรรดิทั้งหลายหวาดกลัว!
แค่เพียงนางยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ต้องลงมือก็เปรียบเสมือนอาวุธที่ทรงพลังแล้ว นางไม่จำเป็นต้องเลือกฝ่ายใด!
ท่าทีเช่นนี้ของเทพธิดาไท่อีก็ดีแล้ว ถึงแม้มหาจักรพรรดินีเหยาจีจะรู้ดีว่าเทพธิดาไท่อีเป็นคนเยือกเย็นไร้หัวใจ แต่นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หากเทพธิดาไท่อีลงมือแย่งชิงโอกาสอันน้อยนิดที่จะปรากฏขึ้นมา โอกาสที่นางจะคว้าชัยชนะก็ริบหรี่ลงไปมาก
แต่ดูเหมือนวันนี้ เทพธิดาไท่อีผู้นี้จะไม่มีใจสู้เพื่อแย่งชิงอีกต่อไปแล้ว
สีหน้าของมหาจักรพรรดิเหยาจีดูผ่อนคลายลงมาก เรื่องที่นางกังวลใจที่สุดได้คลี่คลายลงแล้ว
ร่างจำแลงนั้นก็หายวับไปในชั่วพริบตา
แสงจันทร์สาดส่องกว้างไกล ทอประกายขาวบริสุทธิ์ลงบนพื้นดิน สะท้อนแววตาอันเยือกเย็นของเทพธิดาไท่อี
ไม่นานหลังจากนั้น กระบี่ไท่อีที่อยู่ข้าง ๆ ก็พลันขยับ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตามมา
ร่างนั้นสวมปิ่นทองมงกุฎหยกระหว่างคิ้วแผ่ความเยือกเย็นดุจขุนเขาปกคลุมหิมะ
ความเยือกเย็นเช่นนี้แตกต่างจากที่แผ่ออกมาจากร่างของเทพธิดาไท่อี
ความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากร่างของเทพธิดาไท่อีนั้นคือความโดดเดี่ยวของการต่อสู้กับฟ้าดิน ส่วนบุคคลผู้นี้กลับเป็นความเย็นชาและทะนงตนที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้มากกว่า
นี่ก็คือกู้ชิงหรันนั่นเอง!
ยามนี้กู้ชิงหรันแตกต่างจากวันวานอย่างมาก แววตาเหม่อลอยสายตาเชื่องช้าราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว!
เทพธิดาไท่อีเห็นเช่นนี้ ดูเหมือนจะพอใจมากมุมปากยกขึ้นแล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ตอนนั้นข้าตั้งใจจะให้เจ้าปกป้องแผ่นดินหยวนหงรับภาระชะตาฟ้าที่ขาดหายไปเพียงลำพัง เพื่อแย่งชิงเวลาบ้างไม่คิดว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้”
เทพธิดาไท่อีลุกขึ้นเดินไปหน้ากู้ชิงหรันยกมือขาวงามขึ้นลูบใบหน้าของนางเบา ๆ “ท่านผู้สูงส่งหวั่นไหว ช่างน่าสนใจจริง ๆ ระหว่างลู่หยวนกับซ่งชิง เจ้าถึงกับเลือกเช่นนี้ เป็นความรักข้างเดียวหรือว่า…เจ้าสังเกตเห็นบางสิ่ง?”
กู้ชิงหรันยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่จ้องมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ไม่พูดอะไร
อย่างไรก็ตาม เทพธิดาไท่อีก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากกู้ชิงหรัน นางจึงปล่อยมือลง หมุนตัวกลับไปนอนตะแคงบนแท่นประทับของตน หลับตาพักผ่อนจิตใจ
กู้ชิงหรันยังคงยืนอยู่ห่าง ๆ ไม่ขยับเขยื้อนดวงตายังคงว่างเปล่า…
ณ สนามรบ
เมื่อสามสิบล้านพื้นที่ถูกทำลายล่มสลาย ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ในร่างของซ่งชิงก็พุ่งสูงถึงขีดสุดที่ไม่เคยมีมาก่อน!
เบื้องหลังของเขา เงาบัลลังก์ขนาดเท่าพระราชวังปรากฏขึ้นตามลมหายใจของซ่งชิงสลับระหว่างความจริงและมายา
แต่ซ่งชิงดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นเลย ขณะนี้เขาให้ความสนใจกับทุกพื้นที่ที่พลังเทพครอบคลุมอยู่แต่กลับไม่พบร่องรอยของลู่หยวนเลยแม้แต่น้อย!
ซ่งชิงครุ่นคิดชั่วขณะ ไม่รู้ว่าลู่หยวนผู้นี้ใช้วิธีใดในการหลบซ่อนหรือถูกทำลายไปแล้วในคราที่ปะทะกันเมื่อครู่!
ซ่งชิงตั้งสติเรียกพลังสังหารรอบกายกลับไปเล็กน้อย เขามองไปรอบ ๆ ไม่พบสิ่งใดที่เปิดออกจึงรู้แก่ใจว่าลู่หยวนผู้นี้คงยังไม่ตาย
เพราะในการต่อสู้กับลู่หยวนหนนี้ ยามที่พวกเขาต่อสู้กันจนถึงที่สุด พรมแดนระหว่างแผ่นดินหยวนหงและแดนเซียนก็พลันขาดสะบั้น ประตูเชื่อมต่อเปิดออกในพริบตา
ซ่งชิงใช้พลังเทพสอดส่องสายตาค้นหาต่อไป
บัดซบ! ข้าเกลียดที่สุดคือตอนที่หาตัวลู่หยวนไม่พบเช่นนี้ ความไม่แน่นอนนี้ ใครจะรู้ว่าลู่หยวนจะโผล่ออกมาเมื่อใด!
“ลู่หยวน เจ้ามีเพียงความสามารถในการหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้รึ? เหอะ ความสามารถเช่นนี้ ยังมีหน้ามาบอกว่าถึงตาเจ้างั้นรึ ถึงตาเจ้าอันใด? ถึงตาเจ้าหลบซ่อนราวกับหนูเช่นนี้รึ?!”
ซ่งชิงตะโกนก้องพลังเทพยังคงขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ!
“หึ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากที่ใดสักแห่ง
ซ่งชิงตกใจทันที รีบจับจ้องไปยังที่มาของเสียงเหนือหัวของเขานั่นเอง!
“ควรทำเช่นไรรึ? ย่อมถึงเวลาที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ขึ้นเป็นเทพแล้ว!”
น้ำเสียงเย้ยหยันของลู่หยวนดังก้องจากสรวงสวรรค์คล้ายกับโองการของเทพ
ทันใดนั้น พลังแห่งกฎเกณฑ์ของโลกก็เริ่มสั่นสะเทือนและสลายไปในห้วงจักรวาล
ความรู้สึกเช่นนี้ ซ่งชิงคุ้นเคยเป็นอย่างดีนี่คือความผันผวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาขึ้นเป็นเทพ!
ครืน!
แรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงแผ่ออกไปในพริบตา หลุมดำไร้ขอบเขตก็สั่นคลอนตามไปด้วย!
ซ่งชิงอยู่ในหลุมดำพลังเทพส่วนใหญ่อยู่ในหลุมดำจึงได้รับผลกระทบ และเริ่มสั่นสะเทือน!
ดวงตาของซ่งชิงหรี่ลงทันที เขาควบคุมพลังเทพของตนเองทั้งหมดจึงสามารถหยุดยั้งความผันผวนนี้ได้!
ในขณะนั้นเอง หลุมดำทั้งหมดก็พังทลายลง เผยให้เห็นโลกที่สว่างไสว ร่างของลู่หยวนปรากฏภายใต้แสงอันเจิดจ้า เบื้องหลังมีแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรองอักขระอาคมแห่งเทพส่องประกายไปทั่วสรวงสวรรค์
ณ เวลานั้น ลู่หยวนก็ปรากฏร่างราวกับเทพจุติลงมา!
“อย่างที่ข้าคาดไว้ สิ่งใดที่เทพเช่นข้ามี เจ้าล้วนมีเช่นกัน”
ซ่งชิงสะบัดกระบี่ครั้งหนึ่งเอ่ยว่า “วิถีสวรรค์ วิถีโบราณ งดงามยิ่งนัก!”
ลู่หยวนมองลงมายังซ่งชิงด้วยสีหน้านิ่งสงบน่าพรั่นพรึง แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจซ่งชิงมากนัก เพียงปรายตามองแวบเดียวก็หันไปทางเซียวเทียนและฮ่วนซิงไป๋ที่อยู่ห่างไกล
ฮ่วนซิงไป๋ยังคงนั่งคุกเข่าหลับตาทำสมาธิราวกับบรรลุถึงความรู้แจ้งบางอย่างแล้ว
เซียวเทียนยืนถือกระบี่ยักษ์คุ้มกันฮ่วนซิงไป๋อยู่เบื้องหน้า
“ลู่หยวน! กล้าหรือเจ้า กล้าหันเหความสนใจขณะต่อสู้กับข้า!”
ทันใดนั้น บัลลังก์เทพเบื้องหลังซ่งชิงก็ส่องสว่างเจิดจ้าราวกับจะปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมาในไม่ช้า
ซ่งชิงเองก็สัมผัสได้ถึงพลังของบัลลังก์เทพเบื้องหลังตน เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังนั้นเขาก็รู้สึกยินดีอย่างที่สุด
ตราบใดที่บัลลังก์เทพนี้คงอยู่ เขาก็จะเป็นอมตะเหนือกว่ากฎเกณฑ์ทั้งปวงในสามพันโลก!
ทว่าแท่นบัลลังก์เทพที่ก่อรูปขึ้นมาแทบจะสมบูรณ์แล้วกลับพร่าเลือนลงอีกครัง กะพริบไหววูบ
“โอ้ ดูท่าโชคของเจ้าคงจะไม่ดีนักกระมัง แท่นบัลลังก์เทพเช่นนี้ เจ้าอาจไม่สามารถได้มันไปครอบครองก็เป็นได้”
เสียงของลู่หยวนดังลอยลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน
ซ่งชิงหันขวับไป มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น “การเป็นเทพของเจ้าก็ไม่ใช่การสร้างเทพขึ้นมาลอกเลียนเท่านั้นหรือ? เหตุใดจึงยังมีแท่นบัลลังก์เทพอีกเล่า”
“ไม่ว่าข้าจะมีหรือไม่ วันนี้เจ้าล้วนไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้”
ลู่หยวนยื่นมือขวาออกมา แสงศักดิ์สิทธิ์ล่องลอยอยู่บนฝ่ามือ ใต้ฝ่ามือนั้นปรากฏอักขระอาคมซับซ้อนและเร้นลับ
ชั่วพริบตานั้น โลกใหม่ที่เพิ่งจะก่อตัวขึ้นรอบด้านก็พลันถูกกลืนกินด้วยหลุมดำอันไร้ที่สิ้นสุด
ในขณะนี้การพังทลายของมิติกลับไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อย!