ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 317 สถานที่ต้องห้าม

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 317 สถานที่ต้องห้าม

เสียงขลุ่ยลอยล่อง

จากนั้นไม่กี่วัน พันธมิตรแปดสำนักก็ค่อยๆ สะท้อนเข้ามาในดวงตาสวี่ชิง

แสงโพล้เพล้สาดส่องพันธมิตรแปดสำนักที่บอบช้ำ แม้น้ำในแม่น้ำจะไม่ใช่สีดำสนิท กลับมาแผ่กลิ่นอายวิญญาณเซียนใหม่อีกครั้ง แต่รอยแผลบนผืนดินไม่ใช่สิ่งที่เวลาไม่กี่วันจะขจัดออกได้

มองไกลๆ สิ่งปลูกสร้างหลายแห่งที่กำลังซ่อมแซม เหมือนกับบาดแผลที่ค่อยๆ สมานตัวช้าๆ

กลิ่นอายประหลาดที่ลอยคละคลุ้งขึ้นฟ้าเป็นสาย ราวกับหยาดน้ำตาท้องนภา

ทั้งหมดนี้ กลายเป็นความเจ็บปวดที่ซ่านกำจายไปทั่วทั้งเมือง บรรยายหายนะในวันนั้นได้เป็นอย่างดี

แม้ไอพลังประหลาดจะน้อยลงกว่าตอนที่สายตาเทพเจ้าสาดส่องออกมาจากกล่องไม้วันก่อนพอสมควร แต่ก็ยังคงฟุ้งกระจาย ยังดีที่การโจมตีที่รุนแรงกะทันหันจะหยุดไปแล้ว เพียงแต่การบาดเจ็บทางจิตวิญญาณยังยากที่จะสลายไปในเวลาอันสั้น

หายนะนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบถึงเจ็ดเนตรโลหิต แต่เป็นทั่วทั้งพันธมิตรแปดสำนัก แม้จำนวนคนที่ตายจะไม่มาก แต่ผลกระทบมหาศาล

เรือเวทของสวี่ชิง ร่อนลงมาจากฟากฟ้า

มองทั้งหมดตรงหน้า มองกลุ่มคนที่ดวงตาไร้ซึ่งประกายเหล่านั้น เขาหลุบสายตาลง

จนหลังกลับมาถึงเจ็ดเนตรโลหิต เขาก็มองเห็นเหล่าองค์หญิงองค์ชายยอดเขาลำดับหกที่กำลังเศร้าโศก เห็นผู้บำเพ็ญยอดเขาต่างๆ ที่เงียบนิ่ง มองเห็นภูเขาที่ยุ่งเหยิงไปหมด

เห็นคนเหล่านี้ สวี่ชิงก็เงียบนิ่ง

เขาเดินเงียบๆ เข้าร่วมกับขบวนช่วยเหลือ

เวลาไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้ เพียงพริบตาก็ผ่านไปสิบกว่าวัน

ตอนนี้ สวี่ชิงไม่เห็นเสี่ยเลี่ยนจื่อกับนายท่านเจ็ด เขาเห็นนายกอง เห็นศิษย์พี่หญิงสอง เห็นศิษย์พี่สาม ในสีหน้าของพวกเขาแฝงความซับซ้อนเอาไว้

โดยเฉพาะนายกอง เขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชิงกับนายท่านหก ตบลงบนบ่าเขาเงียบๆ ถอนใจเบาๆ

สวี่ชิงยังคงเงียบนิ่ง

เมื่อผ่านการฟื้นฟูไปเดือนกว่า ไอพลังประหลาดในพันธมิตรแปดสำนักก็สลายไปแล้วแปดถึงเก้าส่วน ที่เหลือเหล่านั้นต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่านี้ถึงขจัดได้อย่างหมดจด

สำนักต่างๆ ที่ผ่านความเจ็บปวด จิตวิญญาณก็ฟื้นฟูกลับมาเช่นกัน และสำหรับการจัดการเรื่องครั้งนี้ พันธมิตรแปดสำนักก็มีบทสรุปร่วมกันออกมา

พันธมิตรแปดสำนักรายงานขึ้นไปที่โถงครองกระบี่ ขอให้โถงครองกระบี่ยกระดับความอันตรายของเทียนประทีปเพิ่มขึ้นไประดับแรกสุด และขอให้โถงครองกระบี่ลงมือ เพิ่มความเข้มงวดในการจับกุมเทียนประทีป

นอกจากนี้ พันธมิตรแปดสำนักก็ประกาศออกไปภายนอก นับจากนี้…จะไม่ตายไม่เลิกรากับเทียนประทีป

แม้จะประจักษ์ถึงความน่ากลัวของสายตาในกล่องไม้แล้ว แต่หากแม้แต้ความแค้นก็ยังไม่กล้าแสดงออกมา พันธมิตรแปดสำนักไม่จำเป็นต้องให้เทียนประทีปลงมือ แต่ภายในก็คงย่อยยับไปก่อนแล้วเรียบร้อย

เรื่องภายนอกทำเช่นนี้ ส่วนเรื่องภายใน…บรรพจารย์หลิงอวิ๋นถูกตัดคุณสมบัติเรือนอาวุโส แม้สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าจะยังเป็นหนึ่งในพันธมิตรแปดสำนัก แต่ทรัพยากรทั้งหมดหลังจากนี้หนึ่งร้อยปีก็ตกต่ำที่สุด

นี่เป็นการลงโทษสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าสถานหนัก ในนี้เจ้าสำนักก็เช่นกัน ล้วนถูกลงโทษ จนกว่าพวกเขาจะสังหารพ่อลูกเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องได้ จึงจะกลับมาเป็นดังเดิม

ส่วนของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า พลานุภาพของมันก็ลดต่ำลงมาครึ่งหนึ่ง เพราะนายท่านเจ็ดกับเสี่ยเลี่ยนจื่อสะกดต้นไม้ของวิเศษต้องห้ามที่มาปรากฏที่เจ็ดเนตรโลหิตไว้ได้สำเร็จ จนกลายเป็นของวิเศษเวทต้องห้ามของเจ็ดเนตรโลหิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง

จากนั้นคือการระดมพลังเผยแพร่ข่าวสุดกำลังของสำนักทั้งหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดในพันธมิตรแปดสำนัก เริ่มสืบค้นเกี่ยวกับสมาชิกของเทียนประทีปและกล่องไม้นั่น ก็ทำให้ทั่วทั้งมณฑลรับเสด็จราชันให้ความสำคัญมาก

การวิเคราะห์หลังเหตุการณ์ สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้ใบนั้น…บางทีอาจไม่ใช่สายตาของเสี้ยวหน้าเทพเจ้า เพียงแค่คล้ายคลึงเท่านั้น

แต่รายละเอียดเป็นเช่นไร ยังผ่านไปไม่นาน เบาะแสยังน้อยเกิน จึงไม่อาจเข้าใจได้ชัดเจน

แต่สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ แม้พลานุภาพของมันจะมาก แต่ก็ไม่ได้มากจนถึงขนาดกับไม่อาจต้านทานได้ เพียงแต่เบื้องหลังของเรื่องนี้ ความลึกลับที่ซ่อนอยู่ ยังคงเป็นจุดที่ทำให้คนพรั่นพรึงได้มากที่สุด

เทียนประทีป…ครอบครองพลังแห่งเทพเจ้าบางส่วนแล้วจริงๆ

ในตอนนี้สวี่ชิง เลือกจะออกจากเจ็ดเนตรโลหิต เขาจะไปที่แผ่นดินของเผ่าสิงซากสมุทรเสียรอบหนึ่ง หรือก็คือสถานที่ที่ของวิเศษเวทต้องห้ามของเจ็ดเนตรโลหิตตั้งอยู่นั่นเอง

จะไปที่นั่นเพื่อเปิดช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดของตนเอง

ก่อนหน้านี้ สวี่ชิงไม่ได้ใส่ใจพยายามว่าจะเปิดช่องเวทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดได้หรือไม่เท่าไรนัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

เขาคิดจะทำตามความคิดตอนกลับมาของตนเองให้สำเร็จ เช่นนั้นเขาก็ต้องทำให้ตัวเองแกร่งขึ้น เขาต้องทำให้ถึงที่สุด

ก่อนจะไป สวี่ชิงเจอนายท่านจเจ็ดที่ด้านหน้าหลุมศพนายท่านหก

หน้าหลุมศพ นายท่านเจ็ดนั่งอยู่ตรงนั้น ในมือหิ้วกาสุราอยู่

นายท่านเจ็ดในความทรงจำสวี่ชิง เป็นคนที่ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดเลย ดวงตามีวิสัยทัศน์ ราวกับว่าควบคุมทุกอย่างไว้ในมือได้ แต่นายท่านเจ็ดในสายตาสวี่ชิงตอนนี้แตกต่างกับก่อนหน้านี้

ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ในดวงตาเขามีเส้นเลือด ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกโทษตัวเอง และมีระลอกคลื่นวุ่นวายแผ่ออกมาจากเขาเป็นระยะ ราวกับว่า…เขากำลังเลือกทะลวงขั้น

แต่เห็นได้ชัดว่าทะลวงขั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากที่ได้ยินว่าสวี่ชิงจะออกไปด้านนอก นายท่านเจ็ดก็หันมามองสวี่ชิง เมื่อโบกมือก็มีกวานสวรรค์ม่วงสูงสุดปรากฏขึ้นในมือเขา หลังจากส่งให้สวี่ชิง เขาก็ล้วงหยกดำออกมา

หยกดำนี้ราวกับเป็นก้อนเลือดที่แห้งกรัง แผ่กลิ่นอายประหลาด ประโยชน์ของมันใกล้เคียงกับตุ๊กตาตัวตายตัวแทน มอบให้สวี่ชิงด้วยเช่นกัน

“เจ้าสี่ อาจารย์ไม่ได้คาดหวังสิ่งอื่นใด แค่หวังว่าเจ้ากับศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงของเจ้า ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข นายท่านหกของเจ้าจากไปแล้ว ข้าอาลัยอาวรณ์เหลือเกิน ข้าไม่อยากเห็นวันนึงที่พวกเจ้าต้องจากไปต่อหน้าข้า

“โลกนี้ไม่เที่ยง โลกนี้ไม่เที่ยงเลย อาจารย์คำนวณเอาไว้แล้ว แต่ไม่อาจคำนวณเรื่องนี้ได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…”

พูดพลาง นายท่านเจ็ดก็ถอนหายใจ ส่งแผ่นหยกให้สวี่ชิง นี่คือสิ่งยืนยันเพื่อเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามของเจ็ดเนตรโลหิต และรวมไปถึงพวกความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับของวิเศษเวทต้องห้าม

สวี่ชิงรับไปเงียบๆ หลังจากคารวะสุดตัว ก็หันหน้ามองไปยังหลุมศพของนายท่านหก

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็โขกศีรษะคารวะไปทางหลุมศพแรงๆ จากนั้นก็มองท่านอาจารย์ มองความรู้สึกโทษตัวเองที่ใบหน้าของอาจารย์ เอ่ยเสียงแผ่วว่า

“ท่านอาจารย์ พวกเราล้างแค้นให้นายท่านหกก็พอ”

สายตานายท่านเจ็ดเปลี่ยนเป็นล้ำลึก เงยหน้ามองออกไปไกลๆ ค่อยๆ เผยความดุดันถึงที่สุดออกมา

“แน่นอน!”

ระหว่างที่คุยกัน น้าของติงเสวี่ยก็เดินมา สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย สวี่ชิงประสานหมัดคารวะ ไม่รบกวน หันหลังทะยานเป็นสายรุ้งยาวไปทางทะเลต้องห้าม ตรงไปยังแผ่นดินเผ่าสิงซากสมุทร

และเพราะไอพลังประหลาด ค่ายกลพันธมิตรในช่วงนี้จึงไม่มั่นคง สวี่ชิงจึงเลือกเดินทางด้วยเรือเวท

เขาเห็นคนผู้หนึ่งที่ท้องฟ้าริมทะเล

ร่างเพรียวไร้ตำหนิในชุดกระโปรงยาวสีม่วง จอมเซียนจื่อเสวียนนั่นเอง

นางยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองสวี่ชิง

สวี่ชิงก้มหน้าคารวะ

“คารวะผู้อาวุโส”

จอมเซียนจื่อเสวียนไม่พูดอะไร สวี่ชิงรออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงประสานหมัดอีกครั้ง และแล่นผ่านนางไป จนเว้นระยะไปราวร้อยจั้ง จู่ๆ จอมเซียนจื่อเสวียนด้านหลังเขาก็ส่งเสียงมา

“เรื่องกะทันหันเกินไป ข้าลงมือไม่ทัน”

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับมามองจอมเซียนจื่อเสวียน เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา

“ขอบพระคุณขอรับ”

ประโยคนี้ สวี่ชิงไม่ได้เรียกว่าผู้อาวุโส

พูดจบ เขาก็หันตัวไหววูบ กลายเป็นรุ้งทอห่างออกไป มองแผ่นหลังของสวี่ชิง ในดวงตาจอมเซียนจื่อเสวียนเผยความเจ็บปวด ผ่านไปนานนางก็ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นในดวงตาก็เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ

“เทียนประทีป!”

หลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ความเร็วของสวี่ชิงพุ่งสูงสุด เรือเวทแล่นฝ่ากระแสลมในทะเลต้องห้าม ค่อยๆ มองเห็นแผ่นดินเผ่าสิงซากสมุทรรวมถึงรูปปั้นขนาดยักษ์หลายองค์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น

และยังมีกระจกโบราณทองสัมฤทธิ์ขนาดยักษ์ลอยอยู่ระหว่างฟ้าดินด้านบนรูปปั้นนั่นอีก

จากการหมุนวนช้าๆ ของกระจก จิตเทพที่น่าสะพรึงหลายสายก็แผ่ซ่านออกมา คนทั้งหมดที่เข้าใกล้ล้วนถูกกระจกบานนี้สัมผัสถึง

หลังจากนับตั้งแต่สถานที่นี้ตั้งของวิเศษเวทต้องห้ามเจ็ดเนตรโลหิตไว้ ทั่วทั้งเกาะก็ล้วนอยู่ในการควบคุมของของวิเศษเวทต้องห้าม ในฐานะที่เผ่าสิงซากสมุทรเป็นผู้อาศัย การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ล้วนถูกจับสังเกต ไม่มีโอกาสคิดไม่ซื่อเลย

ขณะเดียวกันเจ็ดเนตรโลหิตก็จัดศิษย์ยอดเขาต่างๆ บางส่วนหมุนเวียนสลับกันมาที่นี่ และยังมีเจ้ายอดเขาสลับกันมาคุ้มครองของวิเศษเวทต้องห้าม ปักหลักที่นี่ ซึ่งปัจจุบันตอนนี้คือเจ้ายอดเขาลำดับสาม

เวลานี้ เมื่อสวี่ชิงเข้าใกล้ กระจกบานนั้นยังแฝงวิญญาณศัสตราเอาไว้ด้วย ขณะที่จิตเทพเพ่งมาที่ร่างสวี่ชิง ความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั่วร่าง สวี่ชิงก็ล้วงป้ายออกมาด้วยสีหน้าเรียบสงบ

สถานที่ต้องห้าม ไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้ามาได้ตลอดเวลา ต่อให้เป็นเขามีสถานะเป็นองค์ชายของเจ็ดเนตรโลหิต ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาที่นี่ด้วยตนเอง มีเพียงการอนุญาตจากนายท่านเจ็ดหรือเสี่ยเลี่ยนจื่อ ถึงจะมีคุณสมบัตินี้

เมื่อจิตเทพเพ่งป้ายที่สวี่ชิงล้วงออกมา หลังจากที่สอดคล้องตรงกันก็ค่อยๆ สลายไป ผืนทะเลเบื้องหน้าเขาก็ตีเกลียวในพริบตา แหวกไปทั้งสองด้านอย่างแรง โหมสูงขึ้นจนกลายเป็นทะเลแหวก

เรือเวทของสวี่ชิงทะยานไปในทะเลแหวกนี้อย่างรวดเร็ว สองด้านเป็นกำแพงทะเลสูงหลายสิบจั้ง

เขาสัมผัสได้ทั้งหมด และสัมผัสได้ถึงจุดที่น่ากลัวของของวิเศษต้องห้ามเจ็ดเนตรโลหิตด้วย เพียงแต่เมื่อเทียบกับแสงสายนั้นที่ศิษย์ในสำนักบรรยายไว้ ก็ยังเทียบไม่ติดอย่างชัดเจน

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เข้าใกล้ริมฝั่ง เก็บเรือเวท ย่างก้าวลงไปบนแผ่นดินเผ่าสิงซากสมุทรในอดีต

พื้นดินสีม่วง มีพืชคลุมดินแปลกประหลาดเติบโตอยู่เต็มไปหมด ตัวตนที่ดูคล้ายเห็ดหลินจือยังคงมีอยู่ทุกหนแห่ง มีดอกผู่กงอิง[1]มากมายเปล่งแสงล่องลอยทั่วท้องฟ้า มองไกลๆ ดูสวยงามมาก

แมงกะพรุนมหึมาหลายตัวก็ลอยอยู่ระหว่างฟ้าดิน ในนี้มีตัวหนึ่งร่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว สะบัดหนวดเส้นหนึ่งมาต้อนรับสวี่ชิง

แมงกระพรุนตัวนั้น มีศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตอยู่นับสิบคน ล้วนเป็นระดับสร้างฐานทั้งหมด หลังจากเห็นสวี่ชิงเวลานี้ ก็พากันประสานหมัด

“เจ้ายอดเขาลำดับสามได้รับโองการจากสำนักแล้ว ส่งผู้คุมกฎหลายคนมารอที่สถานที่ต้องห้าม แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนนัก พวกข้าได้รับคำสั่งให้มารับตัวองค์ชายขอรับ”

เพราะนายท่านเจ็ดเป็นเจ้าสำนัก ดังนั้นสถานะของสวี่ชิงจึงเป็นองค์ชายของยอดเขาลำดับเจ็ด และเป็นองค์ชายของเจ็ดเนตรโลหิตด้วย กอปรกับชื่อเสียงในพันธมิตร การเคารพนบน้อมของเพื่อนร่วมสำนักเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่สมควร

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานมือตอบกลับ จากนั้นก็ย่างไปบนรยางค์ของแมงกะพรุนขึ้นไปบนตัวแมงกระพรุน และเดินทางไปยังสถานที่ที่ตั้งของวิเศษเวทต้องห้ามเจ็ดเนตรโลหิต

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่สวี่ชิงมายังแผ่นดินหลักของเผ่าสิงซากสมุทร ครั้งแรกคือมาก่อเรื่องใหญ่กับนายกอง ครั้งที่สองคือผ่านทาง และครั้งนี้คือเข้ามาโดยเฉพาะ

มองความแปลกประหลาดรอบๆ จู่ๆ สวี่ชิงก็นึกถึงองค์หญิงเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้นขึ้นมา เรื่องนี้เขาลืมไปแล้ว และไม่ได้ถามกับนายกองด้วย ตอนนี้พอคิดถึง สวี่ชิงจึงมองไปที่ที่เผ่าสิงซากสมุทรอยู่

“ตอนนี้เผ่าสิงซากสมุทรเป็นอย่างไรบ้าง”

“องค์ชาย เผ่าสิงซากสมุทรเข้าพึ่งพาเราทุกอย่างแล้ว บรรพจารย์ของเผ่ารวมถึงคนในเผ่าทั้งหมดถูกเจ็ดเนตรโลหิตลงตราประทับวิญญาณไว้ ขณะเดียวกันพวกวิชาสับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายก็ถูกสำนักเราถือสิทธิ์การเปิดใช้ไว้หมดแล้ว ขณะที่ชดเชยสายเลือดใหม่ให้เผ่านี้ ก็ลงตราประทับวิญญาณอย่างเข้มงวดด้วยเช่นกัน

“ส่วนเรื่องอื่น สำนักเราไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย พวกเขายังคงมีราชวงศ์และลำดับของตนเองอยู่ เพื่อรักษาอำนาจการปกครองของตนไว้

“แต่การเปลี่ยนของตำแหน่งจักรพรรดิ จำเป็นต้องให้สำนักเราเห็นชอบ จักรพรรดิรุ่นที่แล้วรวมถึงบรรพจารย์สำนัก ถูกบรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อพาไป ปัจจุบันที่อยู่ในตำแหน่งคือจักรพรรดิใหม่ที่เราประคับประคองไว้คอยควบคุมคนทั้งเผ่า”

สวี่ชิงไม่พูดอะไรอีก ไม่นานกลุ่มของพวกเขาก็มาถึงสถานที่ที่ของวิเศษเวทต้องห้ามเจ็ดเนตรโลหิตตั้งอยู่

รูปปั้นบรรพชนศพที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าสิบสี่องค์เบื้องหน้า แผ่กลิ่นอายที่สั่นฟ้าสะเทือนดินออกมา และแฝงความผ่านโลกมาอย่างโชกและการไหลผ่านของกาลเวลา

เทียบกับตัวตนของผู้บำเพ็ญอย่างพวกเขาแล้ว มองจากจุดนี้ก็ราวกับเป็นเพียงมดปลวก โดยเฉพาะด้านในที่มีรูปปั้นอยู่ห้าองค์ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็ยังไม่เห็นยอด สูงตระหง่านราวยอดเขายักษ์

ด้านล่างของเทวรูปทั้งสิบสี่องค์ คือสิ่งปลูกสร้างของเจ็ดเนตรโลหิตที่รวมกันเป็นกลุ่ม ศิษย์ส่วนใหญ่ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ คอยปกป้องของวิเศษเวทต้องห้ามเจ็ดเนตรโลหิต

การมาถึงของสวี่ชิง ทำให้เกิดการจับตามองของคนไม่น้อย พากันก้มหัวคารวะ

“องค์ชาย ท่านจะพักผ่อนก่อน หรือจะเข้าไปเลยขอรับ”

สวี่ชิงมองไปยังกระจกโบราณยักษ์ที่ลอยบนท้องฟ้าเหนือเทวรูป สูดลมหายใจลึก เอ่ยแช่มช้า

“รบกวนทุกท่านแล้ว ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้!”

[1] ดอกแดนดิไลออน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท