ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 320 ทะยานอย่างรวดเร็ว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 320 ทะยานอย่างรวดเร็ว

ไฟชีวิตสามดวงส่องหกวัง ไฟชีวิตสี่ดวงสะท้อนเจ็ดวัง ไฟชีวิตห้าดวงสว่างแปดวัง!

สวี่ชิงตอนนี้ ภาพมายาวังสวรรค์หกวังภายใต้หมอกแห่งชะตา แผ่แสงสลัวออกมา กลายเป็นพลังแห่งกายทิพย์ ทำให้พลังบำเพ็ญยกระดับขึ้นจากสร้างฐานอีกขั้น สร้างเสถียรภาพในระดับแก่นลมปราณ

และในหมอกแห่งชะตา ต่อให้ภาพมายาวังสวรรค์วังที่เจ็ดและวังที่แปดมีปราณหมอกปกคลุมไว้ แต่ยังคงเปล่งแสงเจิดจ้า ทว่าเทียบกับวังสวรรค์วังที่แปด วังสวรรค์วังที่เก้าที่อยู่เหนือสุดต่างหากถึงสุดยอดอย่างแท้จริง เจิดจ้าเหลือคณา

วังที่เก้านั่น คือสิ่งที่แปรมาจากตะเกียงลมครวญเจ็ดสี เจิดจ้าแยงตา ส่องผ่านหมอกแห่งชะตา สะท้อนไปทั่วทิศ

ด้านในมีตะเกียงลมครวญเจ็ดสีตั้งอยู่บนแท่น ก่อคลื่นพลังที่น่ากลัวออกมา กลายเป็นพลานุภาพที่น่าตกตะลึง เพียงแค่วังนี้วังเดียว ก็เท่ากับครอบครองพลังไฟชีวิตหกดวงแล้ว

ตอนนี้ เมื่อสวี่ชิงชูตะเกียงชีวิตดวงที่สอง ในทะเลความรู้สึกของเขามีเสียงอัสนีดังก้องครืนครัน ราวกับว่ามีเทพเจ้ากำลังแผดเสียงคำราม สรรพสิ่งกำลังกรีดร้อง โถมคลื่นสาดออกไปนอกร่างกายเขา พัดม้วนเมฆลมรอบด้านจนเปลี่ยนสี

ถัดจากนั้น ร่มดำก็ทะลวงทุกสรรพสิ่งมาปรากฏเหนือวังสวรรค์วังที่เก้ากลางหมอกแห่งชะตา เปล่งแสงเจิดจ้าฉับพลัน ครืนครันต่อเนื่อง แสงสว่างดุจมหาสมุทร ขณะที่กวาดม้วนทุกสรรพสิ่ง รอบด้านของตะเกียงชีวิตร่มดำนี้ก็ก่อตัววังสวรรค์ขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งตระหง่านอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ไม่ใช่ภาพมายา แต่เป็นวัตถุจริง

นี่คือ วังสวรรค์วังที่สิบ!

แตกต่างจากการโอบล้อมด้วยแสงเจ็ดสีของวังสวรรค์วังที่เก้า วังสวรรค์วังที่สิบนี้สีดำสนิท มีเพลิงดำนับไม่ถ้วนแผดเผาอยู่ภายใน ทำให้วังสวรรค์หลังนี้ราวกับเป็นวังในยมโลก

ขณะที่น่าขนพองสยองเกล้า พลังที่แข็งแกร่งก็แผ่ซ่านออกมาจากภายใน ทำให้พลังต่อสู้สวี่ชิงทะยานอย่างรวดเร็วในพริบตานี้ เหนือกว่าพลังในอดีตไปมากนัก!

เขาไม่เพียงแต่ยกระดับเป็นแก่นลมปราณ แต่แค่ก้าวเดียวยังก่อร่างวังสวรรค์ได้ถึงสองวัง!

แก่นลมปราณวังสวรรค์ ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ถือเป็นสันปันน้ำของผู้บำเพ็ญ ต่ำกว่าแก่นลมปราณ ล้วนเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญระดับล่าง ให้ความสำคัญกับสร้างฐาน จนกระทั่งจังหวะที่เหยียบเข้าสู่แก่นลมปราณ สร้างฐานสำเร็จ การฝึกบำเพ็ญในภายหลัง ก็จะมีคุณสมบัติในการเหาะเหินเดินทะยาน

โดยเฉพาะการยกระดับเช่นเขา ก็เหนือกว่าพวกผู้คุ้มกฎแก่นลมปราณของพันธมิตรมากมายไปแล้ว มีอยู่ในโลกน้อยถึงน้อยมาก

อย่างเช่นซือหม่าหรูในหลายปีนี้ ก็ยังสร้างวังสวรรค์วังที่สองไม่สำเร็จ

จากจุดนี้ จะเห็นได้ถึงความสำคัญของตะเกียงแห่งชีวิต

และพลังต่อสู้ของสวี่ชิงก็ไม่ใช่แค่เท่านี้ เขายังมีวิชาระดับจักรพรรดิที่กำลังปรับเปลี่ยนอยู่อีก

มองโดยรวม พลังต่อสู้ของสวี่ชิงก็เหนือกว่าพลังบำเพ็ญวังสวรรค์วังที่สองทั่วไปแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องลูกกลอนพิษของเขาเลย

ตอนนี้ที่วางอยู่ด้านหน้าสวี่ชิง ก็คือวังสวรรค์วังที่สามของตนเองที่ใกล้จะก่อตัวสำเร็จ โดยมีลูกกลอนพิษอยู่บนแท่นภายใน ทำให้พลังบำเพ็ญกับพลังต่อสู้ของร่างกายเขาระเบิดขึ้นอีกครั้ง

จากนี้ก็นำวังสวรรค์ที่เหลืออยู่ทั้งหมด เปลี่ยนจากภาพมายาเป็นวัตถุจริง ถึงเวลานั้น เขาที่มีวังสวรรรค์สิบวังว พลังต่อสู้ก็จะไปถึงระดับน่าสะพรึงที่ผู้บำเพ็ญระดับเดียวกันยังต้องหวาดหวั่น

ขั้นตอนนี้ไม่นานนัก เพราะวิชาแก่นลมปราณของเขา แตกต่างกับคนอื่น

ดวงตาสวี่ชิงเบิกโพลงฉับพลัน วิถีพรางมารยาชิงมรรคาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ ตราประทับในหัวของเขา แผ่ซ่านออกมาในวินาทีนี้ ขณะที่ผสานเข้าไปกับจิตวิญญาณ มือขวาของเขาก็ค่อยๆ โปร่งใส

ราวกับว่าอยู่ในมิติความว่างเปล่า

สวี่ชิงก้มหน้า มองมือขวาของตน เขาสัมผัสได้ว่ามือขวาแฝงกลิ่นอายที่น่ากลัววูบหนึ่งไว้ และยิ่งแฝงสิ่งประหลาดอีกนับไม่ถ้วนด้วย

มือข้างนี้ สามารถยื่นเข้าไปในทะเลความรู้สึกของศัตรูได้ แหวกวังสวรรค์ คว้าแก่นลมปราณด้านใน และแย่งชิงออกมาได้ ไม่ใช่แค่นี้ สวี่ชิงยังสัมผัสได้ว่ามือขวาข้างนี้ของตนเต็มไปด้วยพลานุภาพที่จะสยบสิ่งประหลาด

“ท่านอาจารย์เคยพูดว่าถ้าฝึกบำเพ็ญวิชานี้จนถึงที่สุด ร่างกายข้าจะอยู่ในสภาวะว่างเปล่า เช่นนี้ก็สามารถหลบเลี่ยงอันตรายมากมายนับไม่ถ้วนได้” สวี่ชิงพึมพำเสียงต่ำ ดวงตาเผยแววเด็ดขาดออกมา

เขาเร่งร้อนอยากจะยกระดับตนเอง อยากจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้

ครู่ต่อมา สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เขารู้ว่าตนเองต้องพยายามมากกว่าก่อนหน้า เวลานี้เมื่อกระตุ้นความคิดในใจ มือขวาของเขาก็กลับมาเป็นปกติ

สวี่ชิงลุกขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ประสานมือคารวะอย่างนอบน้อมไปยังเจ้ายอดเขาลำดับสามที่คอยคุ้มกันตนเองอยู่บนท้องฟ้า

“ลำบากนายท่านสามเสียแล้ว”

การเปิดช่องเวทและการยกระกับครั้งนี้ของเขา นายท่านสามคอยจับตาอยู่ตลอด ต่อให้สวี่ชิงรู้ว่าสาเหตุมาจากท่านอาจารย์ของเขา ทว่าเขาก็ยังรู้สึกขอบคุณมาก

เจ้ายอดเขาลำดับสามบนท้องฟ้าดวงตาเผยแววประหลาดใจ มองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ในดวงตาเขามีแววชื่นชมสวี่ชิงอย่างปิดไม่มิด จากที่เขาเห็น สามารถพูดได้ว่าสวี่ชิงเป็นหนึ่งในศิษย์ไม่กี่คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเจ็ดเนตรโลหิตในช่วงหลายปีนี้

“มีชีวิตต่อไป มณฑลรับเสด็จราชันในอนาคตคือที่ของเจ้า” เจ้ายอดเขาอันดับสามเอ่ยแช่มช้า

สวี่ชิงคารวะอีกครั้ง

เจ้ายอดเขาลำดับสามโบกมือ ค่ายกลรอบด้านสลายไป ร่างของเขาเองก็หายไปกลางอากาศเช่นกัน

สวี่ชิงมองจุดที่เจ้ายอดเขาลำดับสามหายไป จากนั้นมองกระจกโบราณทองสัมฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่บนท้องฟ้าบานนั้นผาดหนึ่ง สักพักก็ล้วงเอาเรือเวท พอย่างขึ้นไปก็กระตุ้นความคิด วิญญาณศัสตราในเรือเวทส่งเสียงคำราม แผ่พลังที่เทียบเท่ากับแก่นลมปราณออกมา พุ่งทะยานแล่นไปไกล

อย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็พาสวี่ชิงมาถึงท่าเรือ และไม่มีหยุดพัก ทะยานสู่ทะเลต้องห้าม

ขามา เขาคือสร้างฐานไฟชีวิตสี่ดวง ขากลับ เขาคือแก่นลมปราณวังสวรรค์สองวัง

ความต่างชั้นของพลังราวฟ้ากับเหว

ขณะพุ่งทะยานนี้ สวี่ชิงมองไปไกลๆ พักหนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น

“โหยวหลิงจื่อ”

“นายท่าน!” พริบตาต่อมา เหล็กแหลมสีดำก็มาปรากฏข้างกายสวี่ชิง บรรพจารย์สำนักวัชระจำแลงร่างออกมา ใบหน้าของเขายังคงเคารพนอบน้อม คุกเข่าลงเอ่ยด้วยใจเต้นระรัว

“พลังของเจ้าค่อนข้างอ่อนแล้ว หกไล่ตามข้าไม่ทันล่ะก็…” สวี่ชิงยังพูดไม่ทันจบ ก็มองไปทางบรรพจารย์สำนักวัชระ ดวงตาก็เผยประกายล้ำลึก

บรรพจารย์สำนักวัชระตัวสั่นสะท้าน รีบเงยหน้าขึ้นตบที่หน้าอกอย่างแรง เอ่ยเสียงดัง

“นายท่านโปรดวางใจ เรื่องนี้ข้าน้อยเตรียมการเอาไว้แล้ว กำลังจะรายงานนายท่านพอดี อย่างมากสุดคือหกเดือน ไม่สิ มากสุดสามเดือน!! กายวิญญาณอัสนีของข้าน้อย ก็จะยกระดับขึ้นอีกครั้ง แปรจากวิญญาณสู่จิตวิญญาณขอรับ!”

ดวงตาบรรพจารย์สำนักวัชระแดงรื้น เขาจะสู้สุดชีวิตแล้ว

อันที่จริงระยะห่างการทะลวงขั้น เขายังห่างอยู่อีกไกลโข ทว่าตอนนี้ไม่มีทางเลือกแล้ว เขารู้สึกว่าถ้าไม่พยายามให้มากขึ้นอีกหลายเท่า เช่นนั้นด้วยสภาพของสวี่ชิงเวลานี้ ตนเองคงได้กลายเป็นเป้าปืนใหญ่แน่

เมื่อคิดถึงว่าจะทะลวงขั้นในอีกสามเดือน เขาต้องการสิ่งบำรุงอีกมาก หลังจากที่ลังเล บรรพจารย์สำนักวัชระก็เอ่ยเสียงแผ่ว

“นายท่าน อันที่จริงข้ายังสูดรับวิญญาณได้อีก ก่อนหน้านี้ที่ยกระดับขึ้นเป็นวิญญาณอัสนี ข้าต้องสูดรับศัสตราวิญญาณ ตอนนี้ที่จะยกระดับขึ้นเป็นจิตวิญญาณอัสนี ข้าต้องการวิญญาณอีกมหาศาลขอรับ…”

“ได้”

สวี่ชิงมองบรรพจารย์สำนักวัชระผาดหนึ่ง เดิมทีสิ่งที่เขาคิดจะพูด คือถ้าหากอีกฝ่ายไล่ตามตนเองไม่ทัน ตนก็คิดจะปล่อยเขาไปแล้ว ถึงอย่างไรหลายปีมานี้เรื่องที่บรรพจารย์สำนักวัชระทำ ก็ทำให้เขาพึงพอใจมาก

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดเสียขนาดนี้ สวี่ชิงคิดๆ จึงไม่เอ่ยเรื่องนี้ต่อ

ขณะเดียวกัน เมื่อเจ้าเงาเห็นฉากนี้ก็ร้อนรนขึ้นมา แผ่คลื่นอารมณ์ออกมาว่า

“สาม…เช่นกัน!!”

“ชิ้นส่วน…ข้า…สาม…ทะลวง!”

ไม่จำเป็นต้องให้บรรพจารย์สำนักวัชระแปล สวี่ชิงก็ฟังเข้าใจ สิ่งที่เจ้าเงาพูดก็คือชิ้นส่วนของวิเศษเวทต้องห้ามที่ได้รับมาจากซือหม่าหลิงครั้งนั้น

ก่อนหน้านี้ สวี่ชิงไม่ยอมมอบให้มันง่ายๆ สัญชาตญาณการแว้งกัดของเจ้าเงา อาจจะทำให้เรื่องผิดพลาดได้ง่าย

ทว่าเขาตอนนี้ย่างสู่แก่นลมปราณวังสวรรค์แล้ว สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป สวี่ชิงจึงพยักหน้า โบกมือนำชิ้นส่วนนั่นออกมา โยนให้เจ้าเงาบนพื้น

พริบตาต่อมา เจ้าเงาก็ฮึกเหิม รีบร้อนแผ่ลามไปคลุมมันไว้ด้านใน ดูดซับอย่างละโมบ

หลายวันต่อมา สวี่ชิงก็เห็นท่าเรือพันธมิตรแปดสำนักอยู่ไกลๆ ครั้งนี้เขาใช้เวลาเดินทางทั้งหมดกว่าครึ่งเดือน ไม่ยาวนานนัก แต่การฟื้นฟูสำนักก็มองไม่เห็นถึงร่องรอยการมาเยือนของหายนะครั้งนั้นแล้วด้วยความพยายามของทั้งพันธมิตร

ไอพลังประหลาดถูกขจัดจนหมดสิ้น ที่เหลืออยู่ภายใต้การทอดแผ่ของปราณวิญญาณเซียนในแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ ก็แทบจะสังเกตไม่เห็น ขณะเดียวกันสำนักก็สร้างค่ายกลไว้ขจัดไอพลังประหลาดที่ทะลักเข้ามาโดยเฉพาะขึ้นอีกด้วย คอยเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา

สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดถูกบูรณะใหม่จนเสร็จสิ้น นอกจากความอึดอัดใจและความเงียบงันภายในเมืองที่ยังไม่อาจสลายหายในเวลาอันสั้น ส่วนอื่นทั้งหมดกลับเป็นปกติแล้ว

การกลับมาของสวี่ชิง แจ้งแค่ท่านอาจารย์เท่านั้น ไม่ได้บอกคนอื่นๆ

หลังจากกลับมา สวี่ชิงก็ขัดสมาธิฝึกฝนต่อที่ท่าจอดเรือของเขา ทำความคุ้นเคยกับสภาวะแก่นลมปราณวังสวรรค์พลางค้นคว้าวิถีพรางมารยาชิงมรรคาไปด้วย

ขณะเดียวกันเขายังกำลังปรับสภาพเนื่องจากทะลวงขั้นพลังบำเพ็ญ ล้วนเปลี่ยนแปลงวิชาเวทในด้านพลานุภาพไป

ไม่ว่าจะดัชนีโลกันต์ทมิฬ หรือว่าคลื่นสมุทรเก้าซ้อน หรือจะเป็นใต้ยมโลก สวี่ชิงกำลังคลำทางใหม่หมด

นอกเหนือจากนี้ แก่นวิญญาณอสูรสมุทรบรรพกาลของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยหลังจากทะลวงขั้น

อสูรสมุทรบรรพกาลนี้กลายเป็นวิญญาณของช่องเวทแก่นวิญญาณ อันที่จริงหากไม่มีลูกกลอนพิษกับวังสวรรค์ของตะเกียงแห่งชีวิตอยู่ มันก็จะกลายเป็นแก่นลมปราณอันดับหนึ่งที่สวี่ชิงต้องฝึก อยู่บนแท่นสะกดในวังสวรรค์วังที่หนึ่ง

สวี่ชิงเองก็ไม่ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ เขาเตรียมที่จะชุบเลี้ยงลูกกลอนพิษและแก่นลมปราณแก่นวิญญาณนี้ไปพร้อมกัน

“ส่วนเรื่องวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ ก็ยังต้องกลืนกินอีกครั้ง จึงจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นระดับสอง” สวี่ชิงหลับตาลง หลังจากสัมผัสวิชาระดับจักรพรรดิของตนเองก็ครุ่นคิด

เวลาก็ไหลผ่านไปแต่ละวันระหว่างที่สวี่ชิงปรับสภาวะระดับแก่นลมปราณ จากการฟื้นฟูของพันธมิตร เกี่ยวกับรายงานการค้นหาเทียนประทีป ก็ยิ่งเพิ่มระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะเจ็ดเนตรโลหิต นายท่านเจ็ดลงมาคุมเรื่องรายงานนี้เอง คอยค้นหาร่องรอยของเทียนประทีป

ไม่ว่าจะพันธมิตรแปดสำนัก หรือว่าเจ็ดเนตรโลหิต ก็ล้วนต้องการสังหารสักครั้งเพื่อระบายความอัดอั้นนี้ สวี่ชิงก็ต้องการเช่นกัน เขาจึงกำลังเฝ้ารอ

ทว่าการค้นหาข่าวกรองรวมถึงการยืนยันอย่างละเอียด ก็ต้องใช้เวลา ตอนนี้ไม่ประเมินเทียนประทีปต่ำอีกแล้ว และยิ่งต้องระมัดระวังป้องกันเรื่องการถูกครอบงำอีกด้วย

ดังนั้น ตอนที่ข่าวกรองยังไม่ยืนยัน เจ็ดเนตรโลหิตก็มีแขกมาเยี่ยม แขกเหล่านี้มาจากเกาะบูรพาสงัด มีผู้บำเพ็ญมาอย่างยิ่งใหญ่ จำนวนหลายร้อยคน

ผู้ที่นำมา คือจอมคนบูรพาสงัดรวมถึงหลานสาว เหยียนเหยียน

ในฐานะที่เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเจ็ดเนตรโลหิต เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ในเจ็ดเนตรโลหิต ย่อมทำให้เกาะบูรพาสงัดเกิดการจับตามองด้วย ครั้งนี้ที่มา พวกเขากับเจ็ดเนตรโลหิตจะทำการวางแผนและล้างแค้นเทียนประทีปร่วมกัน

แทบจะตอนที่มาถึง ระหว่างที่เสี่ยเลี่ยนจื่อกับนายท่านเจ็ดและจอมคนบูรพาสงัดประชุมกัน เหยียนเหยียนก็แอบหนีออกมา

นางเข้าใจและให้ความสำคัญต่อเจ็ดเนตรโลหิตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสวี่ชิง

ไม่ต้องสอบถามเลยว่าสวี่ชิงอยู่ที่ใด นางก็มาถึงท่าจอดเรือของสวี่ชิงแทบจะทันที

“พี่สวี่ชิง เหยียนเหยียนคิดถึงท่านพี่นะเจ้าคะ”

เหยียนเหยียนยืนอยู่นอกเรือเวท เอ่ยเสียงแผ่วเบา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท