ตอนที่ 418 คำพูดประมาณนี้
ความจริงอิ๋นจ้งไม่ถือว่าชอบอ่านตำรานัก แค่มีบิดากับพี่ชายซึ่งโดดเด่นอยู่ ตัวเขาเองไม่นับว่าโง่ ดังนั้นการอ่านตำราจึงถือว่าไม่เลวมาตลอด
แต่ภายในใจอิ๋นจ้งมีแรงกดดันอยู่เสมอ ส่วนใหญ่พยายามเล่าเรียนอ่านตำราเพื่อตอบรับความคาดหวังของครอบครัว รวมถึงไม่ทำให้คนนอกดูหมิ่นตระกูลอิ๋น
ปัจจุบันเมื่อเห็นตำราปกเหลืองเล่มนี้ อิ๋นจ้งรู้สึกชอบทันที สิ่งสำคัญอาจเป็นเพราะอักษรสองตัวบนปกตำราเล่มนี้งดงามเหลือเกินกระมัง
เขาหยิบตำราบนโต๊ะมาทันที พลิกอ่านสองสามหน้าตามสะดวก ก่อนพบตัวอักษรบนนั้น แต่เมื่อมองโดยละเอียดกลับไม่ใช่ตัวอักษรทั้งหมด อักษรมากมายรวมตัวกันเหมือนค่ายกล ภายในนั้นมีวงจรล่องหนนานัปการ
แน่นอนว่าตำรานี้มีความอัศจรรย์แฝงอยู่ภายใน อย่าเห็นว่าตอนนี้อิ๋นจ้งอ่านอย่างเพลิดเพลิน นั่นเป็นเพราะตัวเขาเองมีความไม่ธรรมดาซ่อนอยู่ กอปรกับเป็นตำราซึ่งจี้หยวนเจตนาทำให้อิ๋นจ้ง
หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปถือตำรานี้ อ่านมากหน่อยคงวิงเวียนศีรษะ ผู้ฝืนอ่านต่ออาจเป็นลมหมดสติ
อิ๋นจ้งพลิกอ่านอีกสองหน้าอย่างวางมือไม่ได้ รู้สึกเพียงว่าอักษรบางส่วนที่เหมือนค่ายกลในนั้น ซ้ายขวาหน้าหลังล้วนมีกฎเกณฑ์ร่วมกัน ถึงขั้นว่ามีภาพคมศาสตราตั้งกระบวนปรากฏในสมอง ทั้งสนุกและน่าอัศจรรย์
“ท่านจี้ ไม่รู้ว่าอักษรล้ำค่าของท่านพ่อข้ามีคนปรารถนาเท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่าอักษรของท่านกลับสวยกว่าเขามาก อ้อ จริงสิ ข้าเคยเห็นจดหมายเมื่อตอนนั้นของท่านด้วย เลือนรางแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าอักษรของท่านต้องดีกว่าแน่!”
จี้หยวนมองเขาเล็กน้อย
“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ใช่ว่าพูดเอาใจข้าเป็นพิเศษกระมัง!”
“ไม่ใช่ๆ! ข้าล้วนพูดจากใจจริง!”
อิ๋นจ้งเงยหน้าเผยรอยยิ้มจริงใจ ขณะเดียวกันยังไม่ลืมจุดประสงค์การมาแต่เดิม
“ท่านจี้ ครั้งก่อนท่านยังเล่าเรื่องภูตผีน่ากลัวตนนั้นไม่จบเลย เล่าต่อให้ข้าฟังหน่อย!”
“เอ๋? ไม่กลัวหรือ”
“ไม่กลัว! ข้าคือลูกผู้ชายอกสามศอก อนาคตจะเป็นแม่ทัพ!”
จี้หยวนเห็นเขาพูดเหมือนเรื่องจริง เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ คล้ายเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนไม่กล้านอนคนเดียว วิ่งไปถึงห้องพี่ชายด้วย?”
“เอ่อ…”
อิ๋นจ้งตัวแข็งทื่อ อักอ่วนจนแสร้งเกาหัวดื่มน้ำ แต่จี้หยวนหยอกล้อเพียงเท่านี้ ก่อนพูดเรื่องสมควรกล่าว
“หู่เอ๋อร์ เจ้าจำไว้ ไม่ว่าเป็นศพหรือผี รวมถึงปีศาจหรือมาร กลัวได้ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่อย่าเสียความอาจหาญ”
“คนธรรมดาต้านทานภูตผีปีศาจได้หรือ”
แม้ว่าอิ๋นจ้งอายุน้อย แต่การศึกษากับมุมมองที่ได้รับใช่ว่าคนทั่วไปเทียบได้ เทียบกับอิ๋นชิงเมื่อปีนั้นแล้วรอบรู้กว่ามาก บางครั้งพูดจาเหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็กคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินคำถามนี้ จี้หยวนกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“ใช่ว่าคนธรรมดาทุกคนต้านภูตผีปีศาจได้ แต่คนธรรมดามีโอกาสต้านมารปีศาจได้ มารปีศาจที่เจ้าคิดล้วนเป็นพวกค่อนข้างแข็งแกร่งในหมู่มารปีศาจ บนโลกมีภูตผีนับไม่ถ้วน บ้างอ่อนแอ ไม่แน่ว่าเจ้าดีดทีเดียวก็ตาย แม้แต่ปีศาจจิ้งจอกอย่างหูอวิ๋น เมื่อก่อนยังมีช่วงที่เกือบถูกสุนัขบ้านกัดตาย”
“หา? มัน? เกือบถูกสุนัขกัดตาย?”
อิ๋นจ้งฟังมาถึงตรงนี้แล้วความคิดสะดุด
“หึๆ ไม่ผิด ตอนอยู่อำเภอหนิงอัน มันจึงกลัวสุนัขจนถึงตอนนี้ จริงสิ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเจ้าแสร้งเป็นไม่รู้เรื่องนี้ดีกว่า”
จี้หยวนกล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่ง อิ๋นจ้งกดเสียงต่ำตามจิตใต้สำนึกเช่นกัน
“ทราบแล้วขอรับ!”
“อืม นอกจากนี้เจ้าอย่าดูถูกเผ่ามนุษย์นับหมื่นพัน การเกิดเป็นคนคือสิ่งที่เหล่าภูตไม่วายอิจฉา ไม่กล่าวถึงพวกฝีมือฉกาจซึ่งจัดการภูตผีบางส่วนได้ ผู้พิเศษบางคนถึงขั้นไม่กลัวผีร้ายซึ่งฝึกสำเร็จ กลับทำให้พวกมารนอกรีตหลบเลี่ยงเขา”
อิ๋นจ้งอึ้งงันอีกครั้ง
“ท่านพูดถึงเทพเซียนกระมัง ใช่คนธรรมดาด้วยหรือ…”
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ บุคคลเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นคนทั่วไปจริงๆ ถึงอย่างไรก็เหนือธรรมดา เทพผีย่อมเห็นแก่หน้าเขาเช่นกัน”
อิ๋นจ้งสงสัยไม่หยุด
“ท่านจี้เคยเจอคนเช่นนี้หรือ มีใครบ้าง”
จี้หยวนแสดงออกทางสีหน้าว่านึกสนุกและขบขัน
“ไม่ใช่แค่ข้าเคยเจอ เจ้าก็เคยเจอ”
“ข้าก็เคยเจอหรือ”
อิ๋นจ้งตกตะลึงอีกครั้ง
“ไม่ผิด ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือบิดาเจ้า ราชเลขาธิการแห่งราชสำนักต้าเจินใต้เท้าอิ๋นจ้าวเซียน บิดาเจ้าครอบครองปราณต้านทานยิ่งใหญ่ แสงแห่งความน่าเกรงขามสาดส่องทั่วทิศ สิ่งชั่วร้ายไม่กล้าเข้าใกล้ แยกแยะคนต่ำช้าในปราดเดียว ขอเพียงตัวฮ่องเต้ต้าเจินไม่แกล้งโง่ บิดาเจ้าก็คือเสาเทพค้ำสมุทรของราชวงศ์ต้าเจิน!”
อิ๋นจ้งมองจี้หยวนอย่างอึ้งงัน เห็นสีหน้าเขาเคร่งขรึม ส่วนลึกของดวงตาทั้งสองเหมือนจันทร์กระจ่างกลางบ่อน้ำ นอกจากเชื่อแล้วปากยังกล่าวพึมพำ
“ท่านพ่อข้าร้ายกาจขนาดนี้เชียว… จริงสิ ท่านจี้ เสาเทพค้ำสมุทรคืออะไรหรือ ฟังแล้วยิ่งรู้สึกว่าร้ายกาจ!”
หากเป็นพวกผู้ฝึกเซียนหรือเทพผีถามปัญหานี้ เขาอาจหัวเราะลั่นหรือตอบอย่างขอไปที แต่เมื่ออิ๋นจ้งเป็นคนเอ่ยถาม จี้หยวนจึงไม่ใส่ใจ เล่าเรื่องเป็นอย่างดี
“เสาเทพค้ำสมุทรคือสมบัติเซียนร้ายกาจชิ้นหนึ่ง ตั้งอยู่กลางสมุทรต้านคลื่นยักษ์ทะเลคำราม น้ำหนักมากนัก…”
เห็นชัดว่าเรื่องเสาเทพค้ำสมุทรดึงดูดอิ๋นจ้งยิ่งกว่าเรื่องภูตผีก่อนหน้านี้ ฟังจนเพลินโดยไม่รู้ตัว
คืนนั้นอิ๋นจ้งซึ่งเมื่อวานยังทำหน้าด้านเตรียมไปแทรกตัวอยู่ห้องพี่ชาย เปลี่ยนใจกลับมาอยู่ห้องของตนทั้งอย่างนั้น เขาจุดตะเกียงน้ำมันอ่านกระบวนอักษรที่เพิ่งได้รับมาตลอดทั้งคืนจนรุ่งสาง
เขาคิดว่าตำราเล่มนี้ร้ายกาจตรงอ่านแล้วกลับน่าสนใจยิ่งกว่านิทานอัศจรรย์พวกนั้น การรวมตัวของค่ายกลนานัปการ ถึงขั้นรับรู้ความละเอียดอ่อนของทั้งสองฝ่าย บ้างรุกรานดั่งเพลิง บ้างแน่วนิ่งดุจภูผา บ้างฉลาดเฉียบแหลม บ้างเจ้าเล่ห์ชอบวางแผน ทิศทางของตัวอักษรรวมถึงการสอดประสานความหมาย กอปรกับระยะห่างและลักษณะการรวมตัวบางส่วน ทุกอย่างทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้
…
ทางเหนือห่างจากต้าเจินไปราวหมื่นลี้ วัดต้าเหลียงตรงจังหวัดถงชิวแห่งอาณาจักรถิงเหลียง ด้วยเป็นช่วงปีใหม่จึงยิ่งคึกคักกว่าที่ผ่านมา
เนื่องจากการมีอยู่ของวัดต้าเหลียง โดยส่วนใหญ่ชาวบ้านจังหวัดถงชิวเคยชินกับประเพณีท้องถิ่นอย่างหนึ่งทีละน้อย นั่นก็คือช่วงเทศกาลสำคัญอย่างวันปีใหม่ พวกเขาล้วนไปวัดต้าเหลียงเพื่อจุดธูปขอพร เมื่อทางบ้านต้องทำพิธีทางศาสนา ส่วนมากย่อมเชิญภิกษุชั้นสูงแห่งวัดต้าเหลียงเป็นหลัก
ทั้งภายในและภายนอกวัดต้าเหลียงฝูงชนขวักไขว่คับคั่ง ภิกษุวัดต้าเหลียงแบ่งคนมาคอยจัดระเบียบเหมือนที่ผ่านมา รวมถึงนำทางผู้มากราบไหว้ซึ่งหลงทาง ถึงขั้นอนุญาตให้พ่อค้าเร่ซึ่งคุ้นเคยกับทางวัดบางส่วนตั้งแผงตรงลานกว้างของวัด เผื่อผู้มากราบไหว้ต้องการซื้ออาหารอะไรจะได้ซื้อกินทุกเมื่อ
วันนี้เถี่ยเฟิงที่เดิมกลับเมืองหลวงแห่งอาณาจักรถิงเหลียงแล้วมาวัดต้าเหลียงอีกครั้ง สาเหตุหลักคือมารดาต้องการมาจุดธูปไหว้ที่วัดต้าเหลียงช่วงปีใหม่ เขาจึงมาเป็นเพื่อน
ในฐานะตระกูลขุนนางซึ่งมีอำนาจอยู่บ้าง แน่นอนว่ายามมาย่อมมีรถม้าบ่าวประจำตระกูลเปิดทาง แม้ว่าเถี่ยเฟิงไม่ชอบนั่งรถม้า แต่ไม่อาจปล่อยให้มารดาอายุมากเดินเท้า เขาจึงนั่งรถมาวัดต้าเหลียงด้วยอย่างหายากยิ่ง
“หยุด…”
“ฮูหยินใหญ่ นายท่านรอง ถึงวัดต้าเหลียงแล้วขอรับ”
ไม่จำเป็นต้องให้ผู้คุมรถกล่าวเตือน ความคึกคักข้างนอกกับฝูงชนนอกหน้าต่างรถม้าแสดงให้เห็นแล้ว เถี่ยเฟิงรีบลงจากรถก่อน ประคองมารดาของตนลงมา
“ท่านแม่ ท่านระวังด้วย ช้าหน่อย! พวกเจ้ารีบนำเก้าอี้รองเท้ามาวาง!”
ฮูหยินชราบนรถม้าเดินลงมาโดยมีสาวใช้ประคอง มองเถี่ยเฟิงพลางกล่าวค่อนขอด
“ท่านแม่อย่างข้าไม่ได้แก่จนเดินไม่ไหว มีหวนหวนประคองข้าก็พอแล้ว เจ้าต้องช่วยด้วยหรือ”
“ใช่ๆๆ!”
เถี่ยเฟิงยิ้มอย่างจนปัญญา แต่ยังยื่นมือมา มารดาเขาส่งมือไปอย่างเป็นธรรมชาตินัก บุตรชายช่วยประคองลงจากรถ ผู้มากราบไหว้ด้านข้างมีคนมองมาอย่างสงสัยไม่น้อย คาดเดาว่าเป็นตระกูลมั่งคั่งบางแห่ง
“ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเมืองหลวงมีข่าวลืออะไร ชนชั้นสูงครอบครัวขุนนาง บางคนเมื่อก่อนไม่ค่อยสนใจวัดต้าเหลียงเท่าไหร่นัก ปีนี้แต่ละคนกลับมาร่วมสนุกที่วัดต้าเหลียง แม้แต่ท่านแม่ก็มาด้วย”
“ทำไม ข้ามาไม่ได้หรือ ข้าเองก็เป็นผู้กราบไหว้เทพนับถือพุทธ!”
เถี่ยเฟิงรีบกล่าวขออภัย
“ใช่ๆๆ ท่านแม่นับถือพุทธที่สุด ข้าบอกกล่าวทางวัดต้าเหลียงแล้ว นอกจากตำหนักพระวิทยาราชที่ต้องไปกราบไหว้ จากนั้นพวกเราค่อยไปโถงส่วนตัวด้านใน”
เถี่ยเฟิงพูดพลางโบกมือให้บ่าวโดยรอบถอยไป เขาพามารดาตนกับสาวใช้ข้างกายนางเดินไปตรงประตูหลักของวัดต้าเหลียงด้วยตัวเอง ตรงนั้นมีสามเณรรูปหนึ่งรออยู่แล้ว พวกเขามาจุดธูปไหว้ ทุกคนล้วนเป็นผู้มากราบไหว้ ทั้งเป็นสถานที่อย่างวัดต้าเหลียง ไม่อาจบอกให้บ่าวประจำตระกูลเปิดทางกีดกันคนอื่น
เวลานี้พลันมีเสียงทรงพลังหนึ่งดังขึ้น
“ฟังจากความนัยในคำพูดของเจ้า ก่อนหน้านี้พวกชนชั้นสูงจากเมืองหลวงแห่งอาณาจักรถิงเหลียงไม่ค่อยมาวัดต้าเหลียงช่วงฉลองปีใหม่หรอกหรือ”
เถี่ยเฟิงขมวดคิ้วมองไปตามเสียง เห็นผู้อาวุโสสวมชุดยาวคอกลม เสื้อนอกสาบตรงคนหนึ่ง เมื่อเห็นเถี่ยเฟิงมองมา เขาประสานมือมาทางนี้เล็กน้อย
เห็นเขาท่าทางนิ่งสงบ อายุมากแต่กลับไม่แก่ชรา แววตาราบเรียบแต่มีกำลังวังชา เถี่ยเฟิงวิเคราะห์ออกแทบจะทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นยอดบุคคล เขาประสานมือคารวะตอบเช่นกัน
“ไม่ผิด ความจริงไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงหรือรอบจังหวัดถงชิว ข่าวลือว่าภิกษุชั้นสูงแห่งวัดต้าเหลียงมีพระธรรมไร้ขอบเขตล้วนค่อนข้างแพร่สะพัด แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังตั้งใจเสด็จมาวัดต้าเหลียงเพื่อกราบไหว้ ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
ชายชราคนนั้นยิ้มเล็กน้อย
“ข้าผู้ชราแซ่อิง ได้ยินเรื่องน่าสนใจจากปากสหาย ดังนั้นจึงมาดูที่วัดต้าเหลียง”
มังกรเฒ่าพูดพลางนำหน้าไปก่อน สาวเท้าก้าวขึ้นบันไดวัดต้าเหลียง
บุคลิกและท่าทางของคนผู้นี้พิเศษเช่นนี้ กระทั่งเถี่ยเฟิงมองส่งเงาหลังอีกฝ่ายตลอด จากนั้นค่อยพามารดาเข้าอาราม
ผู้มากราบไหว้เมื่อวันวานมากเพียงพออยู่แล้ว วันนี้ยิ่งมากกว่าหลายเท่า ต่อให้มีภิกษุแห่งวัดต้าเหลียงคอยช่วยเหลือ ฮูหยินใหญ่ตระกูลเถี่ยยังใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะเข้าสู่ลานนอกตำหนักพระวิทยาราช
ฝูงชนที่นี่กลับน้อยลงบ้าง กอปรกับมีภิกษุหลายรูปจัดระเบียบมากขึ้น ไม่ถือว่าเบียดเสียดนัก
เถี่ยเฟิงมาด้วยตนเองคงไม่เป็นไร แต่พามารดามาด้วย ทั้งเป็นสถานที่ซึ่งการใช้อำนาจไม่ค่อยส่งผลอย่างวัดต้าเหลียง เขาเหงื่อเต็มศีรษะ เกรงว่ามารดาทนบรรยากาศผู้คนหนาแน่นไม่ไหว ยังดีว่าพอมาถึงลานด้านในแล้วดีขึ้นมาก
“ท่านแม่ จำเป็นต้องกราบพระวิทยาราช ที่นี่อย่างไร สถานที่ซึ่งองค์หญิงใหญ่ตรัสถึง!”
“ท่านแม่อย่างข้าไม่ได้มาเที่ยวเล่น แน่นอนว่าต้องกราบไหว้! หวนหวนพวกเราเข้าไปกันเถอะ!”
“เจ้าค่ะ!”
สาวใช้ประคองฮูหยินใหญ่ก้าวขึ้นบันไดตำหนักพระวิทยาราช ภิกษุหลายรูปมาช่วยเหลือบ้าง บอกว่าผู้ทรงอำนาจมาจุดธูปไหว้เหมือนชาวบ้าน แต่สุดท้ายผู้ทรงอำนาจก็คือผู้ทรงอำนาจ
เถี่ยเฟิงเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาปาดเหงื่อ ยามคิดจะก้าวเข้าไป เขาพลันเห็นชายชราคนเมื่อครู่ กำลังยืนอยู่หน้าบันไดนอกตำหนักพระวิทยาราช ผู้มากราบไหว้ด้านข้างสวนกันขวักไขว่แต่กลับไม่มีใครเดินชนเขาสักนิด ทั้งคนผู้นี้ยังไม่ขยับแม้แต่น้อย มองพุทธรูปร่างทองข้างในเงียบๆ
เถี่ยเฟิงสงสัยผู้มีบุคลิกไม่ธรรมดาอยู่บ้าง เดินเข้าไปใกล้สองสามก้าวตามจิตใต้สำนึก ก่อนกล่าวกับชายชรา
“ผู้อาวุโสมาตำหนักพระวิทยาราชเช่นกันหรือ ด้านในคนไม่หนาแน่น เข้าไปกราบไหว้พร้อมกันดีหรือไม่”
ชายชราหันมามองเถี่ยเฟิง บนหน้าเผยรอยยิ้ม
“กราบเขา? หึๆ ช่างเถอะ!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ ชายชราหันหลังจากไป เดินลงจากบันไดตำหนักใหญ่ สาวเท้าจากไปทางตะวันตก
เถี่ยเฟิงขมวดคิ้วยืนอยู่จุดเดิม มองชายชราจากไปแล้วในหัวนึกถึงอะไรบางอย่าง เหมือนเคยมีคนเอ่ยคำพูดประมาณนี้กับเขาตรงสถานที่คล้ายกัน