สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 1111 ตอนพิเศษ (14)

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 1111 ตอนพิเศษ (14)

บทที่ 1111 ตอนพิเศษ (14)

หยางชิงซือกับหลิวจิ่วจู๋วิ่งต่อไม่ไหวแล้ว

ในที่สุดบัณฑิตเหล่านั้นก็ตามพวกนางทัน

ขณะที่พวกเขากำลังสิ้นหวังก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น

“สหายหลี่ สหายฟาง พวกท่านกำลังทำอะไรน่ะ?”

“เฝิงหลานเซิง เจ้ามาอยู่นี่ได้อย่างไร?” พอ ‘สหายหลี่’ เห็นคนมา สีหน้าพลันดูไม่น่าชม “ข้าจะบอกอะไรให้นะ เจ้าอย่ามายุ่งเรื่องของผู้อื่นจะดีกว่า”

“เกรงว่าจะไม่ได้” เฝิงหลานเซิงเอ่ย “แม่นางสองท่านนี้เป็นคนหมู่บ้านเดียวกับข้า หากนิ่งดูดาย คงไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำ”

“ชิ! โชคไม่ดีจริง ๆ เหตุใดเจ้าถึงมาวุ่นวายอยู่ร่ำไป” ‘สหายฝาง’ กล่าว จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับสหายที่อยู่ข้าง ๆ “ไปเถอะ พวกเรากลับ”

บัณฑิตขี้เมาหลายคนจากไปแล้ว

หลิวจิ่วจู๋และหยางชิงซือมองหน้ากัน ทั้งสองคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หยางชิงซือหันกลับไปมองเฝิงหลานเซิง สายตาของนางหยุดอยู่ที่สตรีด้านหลังเฝิงหลานเซิงแล้วเอ่ยขึ้น “กล่าวกันตามหลักแล้วควรตอบแทนเจ้า เพียงแต่เห็นเจ้ายุ่งเช่นนี้ คิดว่าคงไม่ต้องการการตอบแทนจากเรา”

หลิวจิ่วจู๋กล่าว “อย่างไรก็ตาม ขอบคุณเฝิงซิ่วไฉจริง ๆ”

“เฝิงซิ่วไฉ นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าถอนหมั้นหรือ?” หยางชิงซือมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ดูจากการแต่งกายของนางแล้ว คงเป็นคุณหนูจากสกุลผู้ดีกระมัง?”

“อย่าได้เข้าใจผิด” เฝิงหลานเซิงเอ่ย “พวกเราเพิ่งพบกันที่นี่ เพิ่งรู้จักกันมาได้ระยะหนึ่ง ข้ากับแม่นางหยางไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันนัก ได้พบกันเพียงสองครั้งเท่านั้น”

“พวกเจ้าจะรู้จักกันหรือไม่ อย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา เจ้ายังไม่รู้กระมัง? จู๋จือของเราแต่งงานแล้ว” หยางชิงซือกล่าว

เฝิงหลานเซิงประหลาดใจ เขาหันกลับไปมองหลิวจิ่วจู๋ “จู๋เอ๋อร์ ที่นางกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือ?”

หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “เฝิงซิ่วไฉ ท่านเรียกชื่อข้าเถอะ ไม่เช่นนั้นสามีข้าจะเข้าใจผิด ชิงซือกล่าวไม่ผิด ข้าแต่งงานแล้ว เป็นเช่นนี้ก็ดี ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องการหมั้นหมายของเราแล้ว”

ในยามยากลำบากที่สุด เฝิงหลานเซิงสะพายย่ามใส่ตำราเข้าไปเรียนในเมือง ทั้งยังไม่ได้ทิ้งสิ่งใดไว้ ยามนั้นนางก็รู้แล้วว่า คนผู้นี้เห็นว่านางไม่มีคนคอยหนุนหลัง ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานกับนาง

ตอนนั้นเขาไม่ได้เล่าเรียนหนังสือ เป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ๆ ในหมู่บ้าน เขาได้รับความช่วยเหลือจากท่านย่าจึงได้มีสัญญาหมั้นหมายที่เป็นเหมือนเรื่องตลกนั้นขึ้นมา บัดนี้ท่านย่าจากไปแล้ว เขามีอนาคตยาวไกลย่อมไม่ยินดีจะแต่งงานตามสัญญาหมั้นหมาย

นางเข้าใจได้

เพียงแต่ อย่างน้อยเขาควรจะบอกนางสักคำ ไม่ใช่วิ่งหนีราวกับกังวลว่านางจะตามตอแยไม่เลิกราเช่นนี้

หลิวจิ่วจู๋ไม่ได้มีความรู้สึกใดต่อเขา เพียงแต่ท่านย่าของนางตกลงหมั้นหมายกันกับหัวหน้าหมู่บ้าน นางไม่อยากขัดความปรารถนาของผู้เฒ่าจึงจำต้องยอมรับการแต่งงานนี้

“พี่ใหญ่เฝิง มีอะไรหรือ?” เหมียวชุนจู๋เดินเข้ามา

เฝิงหลานเซิงส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

“ในเมื่อแม่นางทั้งสองไม่เป็นไรแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ!” สายตาของเหมียวชุนจู๋หยุดอยู่ที่หลิวจิ่วจู๋

ไม่อาจโทษนางที่นึกกังวล อย่างไรแม่นางผู้นี้ก็ดูสดใสมีชีวิตชีวายิ่ง โดยเฉพาะดวงตากลมโตคู่นั้นราวกับพูดได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงชายอื่น นางที่เป็นสตรียังอดมองซ้ำสองสามครั้งไม่ได้

“ได้” เฝิงหลานเซิงเหลือบมองหลิวจิ่วจู๋ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับเหมียวชุนจู๋

“จิ่วเอ๋อร์” ลู่ฉาวจิ่งปรากฏตัวขึ้นมา

เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฝิงหลานเซิงที่กำลังจะจากไปก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมอง

เห็นเพียงชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งทะยานมา

ใช่…

เขาทะยานมา

ก่อนหน้านี้ลู่ฉาวจิ่งอยู่ห่างออกไปราวสิบหมี่*[1] ทว่าก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกนางในชั่วพริบตา

ความประหลาดใจผุดขึ้นมาในแววตาเฝิงหลานเซิง

ด้วยฝีมือเช่นนั้น จักต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน

เฝิงหลานเซิงจ้องมองลู่ฉาวจิ่ง

หน้ากากผิวหนังมนุษย์ของลู่ฉาวจิ่งค่อย ๆ ร่อนลงเรื่อย ๆ แล้ว ยามนี้ใบหน้าที่งดงามของเขาค่อย ๆ เผยให้เห็นราง ๆ ถึงแม้เมื่อเทียบกับเฝิงซิ่วไฉแล้วจะด้อยกว่าอยู่บ้าง ทว่าหากมองใกล้ ๆ ก็จะพบว่าหน้าตาละเอียดประณีตยิ่งกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือบรรยากาศรอบกายซึ่งคนธรรมดาไม่มี ไม่ว่าจะเป็นสง่าราศีที่สวรรค์ให้มา หรือความมั่นใจในฝีมือทั้งบุ๋นและบู๊ของเขา ดวงตาของลู่ฉาวจิ่งเผยความเด็ดเดี่ยวเจือความสง่างามออกมา

“หากท่านยังไม่มาอีก พวกเราคงถูกรังแกตาย” หยางชิงซือกล่าว

“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่ฉาวจิ่งขมวดคิ้ว

“ไม่มี” หลิวจิ่วจู๋ส่งสายตาให้หยางชิงซือเป็นนัยไม่ให้นางกล่าวถึงอีก

เรื่องได้คลี่คลายลงแล้ว เอ่ยถึงอีกครั้งรังแต่จะทำให้เขากังวลเปล่า ๆ นั่นไม่ใช่การทำเรื่องเกินความจำเป็นหรือ?

“ภรรยาท่านไม่ให้ข้าพูด ข้าก็ไม่พูดแล้ว” หยางชิงซือเอ่ย “โอ้ ข้าจะแนะนำท่านสักหน่อย บุรุษผู้นี้คือเฝิงหลานเซิง อดีตคู่หมั้นของจู๋จือ ตอนนั้นครอบครัวเขาตกลงเรื่องการหมั้นหมายกับท่านย่าจู๋จือ ต่อมาท่านย่าจากไปแล้ว ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ยอมรับ แน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้าควรเอ่ยถึง ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้ท่านได้ยินคำนินทาเหล่านั้นในหมู่บ้านแล้วเข้าใจจู๋จือผิด”

“ชิงซือ…” หลิวจิ่วจู๋ดึงชายเสื้อของหยางชิงซือเบา ๆ “ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว”

หยางชิงซือปรายตามองเหมียวชุนจู๋แวบหนึ่ง

นางตั้งใจ

เหมียวชุนจู๋จ้องมองเฝิงหลานเซิงราวกับว่านางกำลังคาบเนื้อสามชั้นเอาไว้ในปาก กลัวว่าจะมีคนมาฉกชิงมันไป

ส่วนเรื่องที่กังวลว่าลู่ฉาวจิ่งจะเข้าใจผิดก็ไม่มีอะไรให้ต้องหนักใจแม้แต่น้อย ครั้งก่อนที่ชาวบ้านนินทา สามีของจู๋จือก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว ดังนั้นคำพูดของหยางชิงซือจึงเป็นเพียงการเย้ยหยันสตรีนางนั้น ไม่ได้มีความหมายอื่นใด

“นั่นเป็นคำสั่งของท่านย่า หลังจากท่านย่าจากไป ข้าก็ไม่อยากถ่วงเฝิงซิ่วไฉแล้ว” หลิวจิ่วจู๋อธิบาย

“ข้าเข้าใจ” ลู่ฉาวจิ่งลูบผมของหลิวจิ่วจู๋อย่างอ่อนโยน “ในเมื่อเป็นอดีตก็ไม่มีอะไรให้กล่าวถึง เพียงแต่เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านเป็นสามีของจู๋จือจริง ๆ หรือ?” เฝิงหลานเซิงร่ำเรียนอยู่ในเมือง ยังไม่ได้กลับไปที่ชนบทจึงไม่รู้ว่าหมู่นี้เกิดอะไรขึ้น

เมื่อครู่ที่หยางชิงซือบอกว่าหลิวจิ่วจู๋มีสามี เขาไม่ได้คิดจริงจังอะไร เพียงแค่คิดว่านางเอ่ยคำเหล่านี้ออกมาด้วยจงใจจะทำให้เขาโกรธ บัดนี้มีบุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจริง ๆ นี่ทำให้เฝิงหลานเซิงไม่พอใจเล็กน้อยแล้ว

เขายังไม่ได้ตกลงถอนหมั้นเลย!

ท่านย่าหลิ่วเพิ่งจากไป หลิวจิ่วจู๋คงไม่แต่งงานในยามนี้กระมัง? เขาเพียงแค่อยากให้นางได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น

“ไม่เช่นนั้นจะเป็นอะไรได้อีกเล่า? หรือคิดว่าข้าล้อเจ้าเล่น?” หยางชิงซือกล่าว “น้องเขย เมื่อครู่นี้เราถูกอันธพาลสองสามคนตามพัวพัน คนผู้นี้จึงช่วยเราไว้”

“ขอบคุณมาก” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว

“ถือเสียว่าเป็นการใช้คืนแล้วกัน!” หยางชิงซือกล่าว “ค่าธรรมเนียมเข้าศึกษาครั้งแรกของเจ้ายังเป็นท่านย่าจิ่วจู๋มอบให้ หลายปีมานี้เจ้ากับแม่ไปรักษาโรคซื้อยา ท่านย่าก็ไม่ได้เรียกเก็บเงินพวกเจ้าแม้แต่อีแปะเดียว ตอนนี้เจ้าช่วยพวกเราก็นับว่าไม่ได้ติดค้างอะไรกันแล้ว”

นับตั้งแต่ออกมาจากที่นั่น หยางชิงซือก็พร่ำบ่นเรื่องที่หลิวจิ่วจู๋ไม่ได้เอ่ยอะไร บุรุษนิสัยสุนัขผู้นั้นเอาแต่หมกตัวอยู่ในเมือง น้อยนักที่จะกลับไปที่หมู่บ้าน บัดนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบกัน เช่นนั้นก็พูดคุยกันให้ชัดเจน ภายหน้าพบหน้าจะได้ถือเสียว่าไม่รู้จักกัน

“ข้าคิดว่ายามเขาหันหลังจากข้ามาในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดโดยไม่ได้ทิ้งคำพูดใดไว้สักคำ นี่นับว่าชัดเจนแล้ว” หลิวจิ่วจู๋กล่าว “อย่างที่เจ้าบอก วันนี้เขาช่วยเราไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนหน้านี้ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน”

[1] หมี่ : เมตร

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท