บทที่ 1112 ตอนพิเศษ (15)
บทที่ 1112 ตอนพิเศษ (15)
ยามนี้คนที่มาตลาดนัดกลางคืนเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
ไม่นานนัก พวกเขาก็หาจงซู่เกินพบ
เมื่อพบจงซู่เกิน หยางชิงซือก็บอกจงซู่เกินถึงเรื่องน่าระทึกเมื่อครู่ ทั้งยังหยิกแขนเขา บอกว่าเขาเดินช้าไปจึงคลาดกัน
จงซู่เกินทนรับความเจ็บ เขากล่าวขอโทษขอโพยไม่หยุด
“กล่าวเช่นนี้แล้ว หลานเซิงก็ช่วยพวกเจ้าเอาไว้มาก” จงซู่เกินกล่าว “นับว่าเขายังมีมโนธรรม ไม่เช่นนั้นหากท่านย่าหลิ่วที่อยู่ปรโลกรู้คงจะไม่ปล่อยเขาไป”
“เขานับว่ามีมโนธรรมอะไรกัน หากเขามีมโนธรรมจริง ๆ คงไม่ทอดทิ้งจู๋จือไว้ตามลำพังในยามที่นางอับจนหนทางที่สุด เหตุการณ์ตอนนั้นเจ้าก็เห็นเต็มสองตา ทุกคนในหมู่บ้านแทบจะอดใจรอให้นางแต่งออกไปไม่ไหว เช่นนี้ที่ดินครึ่งหนึ่งก็จะกลับคืนสู่หมู่บ้าน เพื่อที่ดินผืนเล็ก ๆ นั่น พวกเขาแทบจะจับจู๋จือไปเผาไฟเชียวนะ! อย่างไรเสียเรื่องนี้ข้าก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้ หากข้าเป็นจู๋จือจักต้องไม่ยกโทษให้เขาอย่างแน่นอน”
หลิวจิ่วจู๋ยกมือลูบติ่งหูเบา ๆ
หยางชิงซือมีอารมณ์ฉุนเฉียว ด้วยเหตุนี้หลิวจิ่วจู๋จึงวุ่นกับการเกลี้ยกล่อมหยางชิงซือให้ใจเย็น ไม่มีเวลานึกโกรธใคร อันที่จริงตอนแรกนางก็โกรธเช่นกัน ทว่าต่อมาเมื่อเห็นหยางชิงซือเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้สึกโกรธแล้ว
ลู่ฉาวจิ่งถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นก็สวมมันลงบนร่างหลิวจิ่วจู๋
“ข้าไม่หนาว”
“ลมเริ่มเย็นแล้ว” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ใส่ไว้เถิด”
หยางชิงซือหันกลับมามองทั้งสองคน จากนั้นก็หันกลับไปมองจงซู่เกินที่อยู่ข้าง ๆ แววตาเต็มไปด้วยความคร่ำครวญ
ทั้งคู่ล้วนเป็นบุรุษเช่นกัน เหตุใดจึงต่างกันมากเพียงนี้?
จงซู่เกินหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ “เสื้อผ้าข้า… ดูไม่ดี”
ข้างบนเต็มไปด้วยรอยปะชุน
เขาบุรุษผู้หนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ไม่สำคัญอะไร แต่หากสวมให้กับหญิงสาวผู้หนึ่ง เกรงว่าจะทำให้นางดูซอมซ่อเกินไป
หยางชิงซือแค่นเสียงเย็น “เจ้าเป็นเช่นนี้ยังอยากแต่งงานกับข้าอยู่หรือไม่!”
“ข้าอยาก!” จงซู่เกินพลันกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว
“เช่นนั้นเจ้าลองคิดหาวิธีดูก่อนเถอะว่าจะใส่เสื้อผ้าที่ไม่ได้เย็บปะได้อย่างไร” หยางชิงซือกล่าวเสียงเย็น “ยังมีแม่เจ้าอีก นางไม่ชอบข้า ย่อมไม่อยากให้ข้าแต่งกับเจ้า ข้าจะบอกเจ้าให้ หากอยากให้ข้าแต่งด้วย เจ้าต้องจัดการกับนางเสียก่อน ข้าไม่อยากแต่งเข้าไปแล้วไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมหรอกนะ หากคิดจะให้ข้าแต่งเข้าไปทำงานเป็นวัวเป็นม้าให้ครอบครัวพวกเจ้าก็อย่าได้ฝัน ข้าอยู่ที่บ้านเป็นวัวเป็นม้า อย่างไรพ่อแม่ข้าก็เลี้ยงข้าให้อิ่มท้อง แต่ครอบครัวเจ้าจะทำเช่นนั้นหรือ?”
จงซู่เกินถูกนางน้อยใจอีกครั้งแล้ว
หยางชิงซือไม่ได้โกรธเขาจริง ๆ ไม่ช้าก็พาเขาติดสอยห้อยตามไปดูโคมไฟด้วยกัน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
จงซู่เกินมองรอยยิ้มบนหน้าหญิงสาว พลันรู้สึกว่ามันสุกสกาวยิ่งกว่าดาวดวงใดบนท้องฟ้า
เขาชอบนิสัยเช่นนี้ของนาง
แน่นอนว่า สิ่งที่เขาชอบที่สุดในตัวหยางชิงซือคือตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บตอนอายุสิบห้าปี นางกอดเขาไว้พลางร้องห่มร้องไห้
คราวนั้นที่ได้รับบาดเจ็บ แม้กระทั่งบิดามารดาเขาก็หาได้ใส่ใจ มีเพียงนางที่ใช้เงินเก็บแอบซื้อยามาให้ เขาถึงได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็สาบานกับตนว่า หากไม่ได้แต่งกับนาง ชั่วชีวิตนี้เขาก็จะไม่แต่งกับผู้อื่น
ทั้งสี่คนเดินเล่นที่ตลาดนัดกลางคืนอยู่สักพัก กินอาหารประจำถิ่นอร่อยราคาถูก จากนั้นจึงกลับไปพักผ่อนที่บ้านผู้เฒ่า
“คืนนี้พวกเราผลัดกันเฝ้ายามเถอะ” ลู่ฉาวจิ่งกล่าวกับจงซู่เกิน
“คนเลวแต่ไรมาก็ไม่ได้เขียนคำว่าเลวแปะไว้บนใบหน้า ข้าเพียงแค่ระมัดระวัง ไม่เกิดอะไรขึ้นย่อมดีกว่า ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกนางกลัว อย่างไรเสียเราก็เป็นบุรุษ ควรปกป้องพวกนางให้ดี อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ พวกเราไม่ได้ปกป้องพวกนางให้ดี พวกนางจึงต้องตระหนกตกใจ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิด ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นการตื่นตูมไปเอง แต่อย่างไรเรื่องเช่นนี้ป้องกันไว้ย่อมดีที่สุด อย่าได้เสี่ยงเลย”
“เช่นนั้นหากพักในโรงเตี๊ยมเล่า?” จงซู่เกินเอ่ยถาม “เจ้าจะระวังถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“ใช่” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว “ตราบใดที่อยู่ข้างนอก พวกเราต้องระวัง”
“มิน่าเล่า ชิงซือถึงได้มักจะชมเจ้า นางบอกว่าหากข้าใส่ใจได้เพียงครึ่งหนึ่งของเจ้า นางคงไม่ต้องโกรธเพียงนั้น” จงซู่เกินเกาหัวอย่างหงุดหงิด “เพียงแต่ข้าโง่เขลา ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ท่านแม่ไม่ชอบชิงซือ แต่ข้าชอบนี่! นางไม่ได้กินอยู่กับแม่ข้า เหตุใดต้องใส่ใจว่าท่านแม่จะชอบนางหรือไม่?”
“หากพวกเจ้าแต่งงานแล้ว พวกเจ้าจะแยกบ้านหรือ?”
“พ่อแม่ยังอยู่ พี่น้องย่อมไม่อาจแยกบ้าน” จงซู่เกินไม่เข้าใจว่าเหตุใดลู่ฉาวจิ่งจึงถามคำถามนี้ คิดว่าเขาคงไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมในท้องถิ่นจึงอธิบายอย่างละเอียด “พี่ชายข้ากับพี่สะใภ้ข้าแต่งงานกันมาสามปีแล้ว ไม่เคยแยกออกไปอยู่เอง”
“ในเมื่อไม่สามารถแยกบ้านได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องอยู่กับมารดา แม่เจ้าไม่ชอบนาง ย่อมเอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวดเย็นชาใส่นาง เจ้าปกติต้องทำงาน ไม่อาจอยู่เฝ้าได้ตลอดเวลา ด้วยนิสัยของนาง ไม่มีทางทนถูกรังแกอย่างว่าง่าย เช่นนั้นแม่สามีกับลูกสะใภ้ก็จะระหองระแหงกันทุกวัน สิ่งที่เจ้าจะเห็นยามกลับถึงบ้านคือใบหน้าเย็นชาที่ทั้งสองปั้นปึ่งใส่กัน เช่นนั้นเจ้าจะเหนื่อยหรือไม่? นางต้องเผชิญหน้ากับแม่สามีที่คอยวิพากษ์วิจารณ์นางทุกวัน นางจะเหนื่อยหรือไม่?”
“ผู้รู้หนังสือแตกต่างออกไปจริง ๆ เรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ เจ้าพูดประโยคเดียวข้าก็เข้าใจแล้ว” จงซู่เกินที่นอนอยู่บนเตียงถอนหายใจ “แต่ว่าข้าชอบพอชิงซือจริง ๆ นี่”
“ชอบพอเป็นคำพูดที่ว่างเปล่าที่สุดในโลก พ่อข้ามักจะกล่าวว่า บุรุษผู้หนึ่งชอบพอสตรีนางหนึ่งหรือไม่ อย่าได้ดูว่าเขากล่าวสิ่งใด ต้องดูว่าเขาทำสิ่งใด”
“พ่อเจ้ามีเหตุผลยิ่ง”
ลู่ฉาวจิ่งมองไปบนขื่อคาน “คำพูดของพ่อข้า คนทั่วไปยังต้องฟัง”
“คราวก่อนเจ้าบอกว่าถูกศัตรูทำร้าย เช่นนั้นเจ้าจะคิดกลับไปหรือไม่? หากเจ้ากลับไปแล้ว จิ่วจู๋จะทำอย่างไร? เจ้าจะพานางกลับไปพบครอบครัวหรือไม่? ดูจากคำพูดคำจาเจ้าแล้ว เจ้าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ครอบครัวเจ้าคงไม่ขาดเงินกระมัง?”
ในความคิดของเขา มีเพียงคนร่ำรวยเท่านั้นที่ส่งลูกชายไปเล่าเรียนได้ ลู่ฉาวจิ่งไม่เพียงแต่รู้หนังสืออ่านออกเขียนได้ ยังมีวรยุทธ์ ด้วยพื้นเพเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นสกุลผู้ทำการค้า
ครอบครัวพวกเขาเป็นเพียงชาวนาธรรมดา มารดาเขายังจู้จี้จุกจิกเรื่องหยางชิงซือซึ่งเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ ด้วยพื้นเพของลู่ฉาวจิ่ง หลิวจิ่วจู๋ที่เป็นเด็กกำพร้าผู้หนึ่งจะแต่งเข้าสกุลอีกฝ่ายได้จริงหรือ?
“คนในครอบครัวข้าดีมาก พวกเขาจะต้องชอบจิ่วเอ๋อร์”
ลู่ฉาวจิ่งตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
คราวก่อนเขายังคิดเพียงว่าจะจัดการหลักแหล่งให้หลิวจิ่วจู๋อย่างไร ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วัน เขากลับคิดว่าหากพานางกลับไปสกุลลู่คงไม่เลว สกุลลู่ไม่ได้ตัดสินพื้นเพของคน สนใจเพียงตนชอบหรือไม่เท่านั้น
จงซู่เกินรู้สึกอิจฉาขึ้นมาแล้ว
เด็กหนุ่มทั้งสองผลัดกันเฝ้ายาม คอยปกป้องความปลอดภัยของแม่นางน้อยทั้งสองที่อยู่ห้องข้าง ๆ
แม้จะกล่าวว่าผลัดกันเฝ้ายาม ทว่าอันที่จริง ส่วนใหญ่ลู่ฉาวจิ่งเป็นคนเฝ้า จงซู่เกินเผลอหลับไปกลางดึก ไม่ตื่นขึ้นมากระทั่งรุ่งสาง เขาจึงรีบให้ลู่ฉาวจิ่งไปงีบหลับสักประเดี๋ยว ขณะที่ตนเองยืนเฝ้าอยู่นอกประตู
“กองคาราวานหรือ?” ชายชราที่ให้ที่พักพวกเขาได้ยินลู่ฉาวจิ่งถามจึงชี้ไปทางถนนฝั่งตะวันออก “ที่นั่นมีกิจการของสกุลจางอยู่ ได้ยินว่าทำการค้าไปทุกแห่ง เจ้าลองไปถามดูเถอะ ข้าเพียงเคยได้ยินมาแต่ไม่เคยสอบถาม”
“ขอบคุณขอรับ”
ลู่ฉาวจิ่งซื้อซาลาเปามาแล้วให้ซาลาเปาสี่ลูกกับชายชราและท่านป้า
ผู้เฒ่าทั้งสองตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง บอกพวกเขาว่าหากคราวหน้าเข้ามาในเมืองก็สามารถมาพักที่นี่ได้ ถึงตอนนั้นพวกเขาจะลดให้สิบอีแปะ
“ซาลาเปาสี่ลูกสี่อีแปะ คราวหน้าพวกเรามาพักก็จะได้พักในราคาที่ถูกลงสิบอีแปะ กล่าวอย่างนี้แล้ว การให้ซาลาเปาคุ้มค่ายิ่งนัก” หยางชิงซือคิดคำนวณ “จู๋จือ สามีเจ้าเจ้าเล่ห์มาก!”
หลิวจิ่วจู๋ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง “นี่เรียกว่าเฉลียวฉลาดต่างหาก!”