บทที่ 256 วสันต์ฤดูและสารทฤดู-4
ฟ้ามืดแล้ว
ผู้คนในภูเขาต่างจุดตะเกียงจนสว่าง
แต่ตะเกียงเหล่านั้นไม่เพียงพอที่จะส่องสว่างถนนภูเขาที่ขรุขระ
เช่นเดียวกับค่ำคืนนี้
มืดจนน่าตกใจ
โชคดีที่เขาเดินผ่านถนนสายนี้นับครั้งไม่ถ้วน จำได้แม้กระทั่งมีหลุมอยู่ตรงที่ใด
ไม่เคยเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียว
มีเสียงหัวเราะดังมาจากตะเกียงบางดวง
ทว่าตะเกียงบางดวงทำได้เพียงหลั่งน้ำตา
แต่เถี่ยกวนอินไม่มีตะเกียง
ย่อมไม่มีเสียงหัวเราะเบิกบานและหลั่งน้ำตาเป็นธรรมดา
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับสัมผัสได้ถึงความสบายใจสุดจะพรรณนาจากตัวเขา
ความรู้สึกสบายใจ เขาก็เคยมีเช่นกัน
อีกทั้งมีเพียงในยามค่ำคืนเท่านั้น
เพียงยามค่ำคืนมืดสนิทไม่มีแม้กระทั่งเงา
เมฆและหิมะสะท้อนกันและกัน
เถี่ยกวนอินเดินบนหิมะ ราวกับเดินย่ำในชั้นเมฆ
ฟ้าดินกลับตาลปัตร
ไร้ความแตกต่างใดๆ
ผู้ที่เกิดฝั่งใต้ย่อมกลัวความหนาวเหน็บยามเหมันต์ฤดู
เพราะต่อให้รูปร่างสตรีจะงดงามอรชรเพียงใดก็ต้องสวมใส่ชุดคลุมผ้าฝ้ายหนาในเหมันต์ฤดู
ดูอวบอ้วนอย่างเห็นได้ชัด
ไร้ซึ่ง ‘ความงดงาม’ ใดๆ
รอยยิ้มในยามปกติที่อบอุ่นราวกับดวงอาทิตย์ก็จะกลายเป็นความเศร้าหมองเพราะความหนาวเหน็บเช่นกัน
ทำให้คนไม่อยากมองไปมากกว่านี้จริงๆ
สำหรับเถี่ยกวนอินแล้ว สิ่งนี้ช่วยเบาปัญหาไปได้มากโข
เพราะทุกคนเอาแต่เดินก้มศีรษะและหดคอ
ในทางกลับกัน ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าเขาเป็นคนประหลาดเช่นนี้
ไม่เพียงแต่ค่ำคืนมืดมิด
เหมันต์ฤดูยังเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของเขา เป็นสถานที่ที่เขาใฝ่ฝันทุกปี
แม้กระทั่งหลิวรุ่ยอิ่งยังสามารถเดาได้ว่าเหตุใดเขาจึงเลือกอาศัยอยู่ทางเหนือ
เพราะเหมันต์ฤดูในทางเหนือยาวนานที่สุด
เหมันต์ฤดูที่ยาวนาน ทำให้ความสุขและความสบายใจของเขาคงอยู่นานขึ้น
คนเดินเท้าบนถนนในเหมันต์ฤดูทางเหนือ
ล้วนมีความปรารถนาบางอย่างในใจไม่มากก็น้อย
บ้างก็ปรารถนาความอบอุ่นหลังจากได้พบเจอบิดามารดา ภรรยาและลูกๆ
บ้างก็นึกถึงน้ำแกงอุ่นๆ ที่ต้มอยู่บนเตา
บางทีเถี่ยกวนอินอาจเป็นคนเดินเท้าผู้เดียวที่ไร้ความปรารถนาใดกระมัง
เขาเพียงหลงใหลความรู้สึกของการอยู่บนถนนอย่างยิ่ง
วนไปเวียนมาอ้อมเป็นวงกว้าง
เหมันต์ฤดูยังทำให้หมู่บ้านนี้หลับลึกกันอีกด้วย
วันนี้ดวงอาทิตย์ส่องแสง
แต่ดวงอาทิตย์ในเหมันต์ฤดูเป็นของปลอม
แม้มันจะดูทั้งใหญ่ทั้งสว่างแต่ก็ไม่อาจทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่น
บ้านเรือนในหมู่บ้านตั้งกระจัดกระจายบนเนินเขา
หากอยู่ในพื้นที่ราบต่ำ
ยามวสันต์ฤดูน้ำแข็งจะละลาย บ้านเรือนทั้งหลังจะถูกซัดพังทลาย
พวกเขาไม่มีเงินสร้างบ้านเรือนที่แข็งแรงมั่นคง
ทำได้เพียงใช้เวลาและประสบการณ์ที่มากขึ้นไปสร้างบ้านให้อยู่บนที่สูงยิ่งขึ้น
สำหรับเขาหมู่บ้านนี้เป็นจุดสิ้นสุดของการทัศนาจรในช่วงเหมันต์ฤดูของทุกปี
หลังจากออกไปจากที่นี่
เขาจะกลับไปยังสวนผลไม้ของตนและขุดหลุมหิมะ
เข้าไปขดตัวข้างใน
ราวกับหมีดำตัวหนึ่งจะไม่ออกมาจนกว่าจะตื่น
เหตุผลที่เขามาหมู่บ้านแห่งนี้นั้นง่ายยิ่งนัก
เพราะในหมู่บ้านนี้มีผู้เฒ่าคนหนึ่ง
ผู้เฒ่าธรรมดาที่แก่หง่อมมากๆ คนหนึ่ง
ไม่มีความแตกต่างใดๆ ระหว่างชาวไร่แก่ประจำถิ่น เนื้อตัวก็ไม่ได้มีสิ่งใดโดดเด่น
สิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเขาชรากว่าผู้อื่น
บางครั้งความชราก็เป็นจุดเด่นเช่นกัน
หลังจากเดินมาถึงตรงนี้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นฝีเท้าของเถี่ยกวนอินก้าวเร็วขึ้นมากทีเดียว
จะเห็นได้ว่าอารมณ์ของเขารีบร้อนเพียงใด
สิ่งนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งพลันตื่นตัวขึ้นมาทันที
เขาอยากรู้ว่าเถี่ยกวนอินอารมณ์รีบร้อนเช่นนี้จะไปทำสิ่งใด
เมื่อเดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน
หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งเอนกายบนม้านั่งที่ทรุดโทรม
โยกไปมา หรี่ตา และอาบแดด
คล้ายกำลังงีบหลับ แต่หาได้นอนหลับสนิทไม่
เขาสัมผัสได้ถึงการมาของเถี่ยกวนอิน
เพราะเขาเอียงศีรษะหันไปยังทิศทางที่เถี่ยกวนอินอยู่เล็กน้อย
จากนั้นก็หรี่ตาและอาบแดดต่อไป
ทั้งหมู่บ้านมีเพียงผู้เฒ่าคนนี้นั่งอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง
ดูเหมือนภาพวาดอย่างยิ่ง
มองจากที่สูงลงมา
ไอสีขาวบริสุทธิ์ลอยขึ้นจากทุกหนแห่งในหมู่บ้าน
จากนั้นจุดสีดำเล็กๆ ถูกตรึงไว้กับที่
จุดสีดำเล็กๆ ก็คือผู้เฒ่าที่เอนกายอยู่บนม้านั่งผู้นี้
“วันนี้ตะวันดวงใหญ่ทีเดียว!”
เถี่ยกวนอินถูมือพลางกล่าว
“ไม่ใหญ่ ข้าก็ไม่ออกมา”
ผู้เฒ่ากล่าว
“ยังจำข้าได้หรือไม่”
เถี่ยกวนอินถาม
ในที่สุดผู้เฒ่าก็ลืมตาขึ้นและปรายตามองเถี่ยกวนอินอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่ายศีรษะ
เถี่ยกวนอินหัวเราะ ไม่ถือสาเอามาใส่ใจ
แท้จริงแล้วผู้เฒ่าผู้นี้ลืมทุกเรื่องราวในปีก่อนๆ ไปจนสิ้น
ไม่ว่าปีก่อนเขาจะสนิทสนมกับคนผู้นี้และทำสิ่งใดมาด้วยกันมากมาย เขาล้วนลืมไปหมดสิ้น
ปีก่อน เขาเคยดื่มสุราและอาบแสงแดดกับเถี่ยกวนอิน
นอกจากม้านั่งใต้ร่างของเขาตัวนี้
ในลานเล็กๆ ของผู้เฒ่ายังมีอีกหนึ่งตัว
เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วผุพังยิ่งกว่า
“ข้าก็ไม่รู้จักท่าน เพียงแต่อยากจะอาบแดดกับท่าน!”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“ในลานของเรือนบนเนินเขายังมีม้านั่งเอนหลังอยู่อีกตัว ไปเอามาใช้ได้”
ผู้เฒ่ายกมือขึ้นชี้อย่างเกียจคร้านพร้อมเอ่ย
“อย่าลืมคืนด้วย!”
ขณะที่เถี่ยกวนอินเดินเข้าไปในลานเล็กๆ
เสียงของผู้เฒ่าดังตามหลังมาแว่วๆ
ช่างเป็นม้านั่งเอนหลังที่ทรุดโทรมสิ้นดี
เกรงว่าหากส่งมอบให้ผู้อื่นจะถูกรังเกียจเอา
ไหนเลยจะถูกขโมยไปได้เล่า
แต่หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นจากแผ่นหลังของเถี่ยกวนอิน
เขาหยิบม้านั่งเอนหลังออกมาวางข้างกายผู้เฒ่า
จากนั้นหย่อนบั้นท้ายลงไป
ม้านั่งเอนหลังส่งเสียงดัง ‘แอ๊ด’
คล้ายกับจะพังทลายก็ไม่ปาน
ยังดีที่เถี่ยกวนอินไม่ใช่คนอ้วนฉุ
ครั้นทิ้งตัวลงบนม้านั่งเอนหลังยังเหลือพื้นที่อีกหนึ่งในสาม
ไม่เช่นนั้น ม้านั่งเอนหลังนี้จะรองรับได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เถี่ยกวนอินล้วงขวดสุราออกมาจากอก
หลิวรุ่ยอิ่งเบิกตากว้าง
สายตาของเขาตามติดเถี่ยกวนอินมาตลอดทาง
ไม่เคยเห็นเขาซื้อสุรา
เช่นนั้นสุราขวดนี้ได้มาจากที่ใด
คงไม่มีทางงอกออกมาจากอกของเขากระมัง…
เถี่ยกวนอินเปิดขวดสุราแล้วยื่นให้ผู้เฒ่า
“นี่คือสิ่งใด”
ผู้เฒ่าถาม
“สุรา!”
เถี่ยกวนอินกล่าว
บทสนทนาและการกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นเหมือนปีก่อนทุกประการ
แต่ว่าผู้เฒ่าจำไม่ได้แล้ว
อย่างน้อยๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็มองไม่เห็นร่องรอยความร้อนใจบนใบหน้าเขา
ผู้เฒ่านี้ดูเหมือนจะเก่าแก่ยิ่งกว่าหมู่บ้านนี้เสียอีก
ทว่าขวดสุราที่เถี่ยกวนอินหยิบออกมาเก่าแก่กว่าผู้เฒ่าผู้นี้เสียอีก
สิ่งของที่เก่าแก่มักจะเข้ากันได้ดีเสมอ
“ดื่มไม่ได้แล้ว…”
ผู้เฒ่ากล่าวพลางหันศีรษะไปอีกด้านหนึ่ง
“ไฉนจึงไม่ดื่ม นี่เป็นสุราดีเชียวนะ! ทั้งดีทั้งเก่าแก่”
เถี่ยกวนอินกล่าว
ขณะที่พูดก็นำขวดสุราเข้ามาใกล้ด้านหน้าของผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าฝืนกลั้นไม่ไหว จำต้องดมกลิ่น
“เป็นสุราดีจริงๆ”
จากนั้นพลันหยิบขวดสุรามาจิบ
“ดื่มเพียงอึกเดียวเองหรือ”
เถี่ยกวนอินถาม
“หากข้าดื่มหมด ก็จะดูหน้าหนาเกินไปไม่ใช่หรือ”
ผู้เฒ่าหัวเราะพลางเอ่ย
ดวงตายิ่งหรี่ลึกเข้าไปอีก
คล้ายพระจันทร์เสี้ยวสองดวง
ดวงอาทิตย์ลอยอยู่บนท้องนภา
พระจันทร์เสี้ยวกลับอยู่บนผืนดิน
อยู่บนใบหน้าของผู้เฒ่า
“คนแก่ชรา หน้าหนาไปหน่อยก็ไม่เป็นไร”
เถี่ยกวนอินกล่าว
ตนก็ดื่มหนึ่งอึก
ดูออกได้ว่าสุรานี้ฤทธิ์แรงอย่างยิ่ง
หลังจากเถี่ยกวนอินดื่มแล้วยังกระแอมไอไปสองที
สิ่งต้องห้ามในการดื่มสุราฤทธิ์แรงคือการไอ
ทันทีที่ไอ น้ำสุราที่ยังกลืนลงไปไม่หมดจะตีขึ้นมาอีกครั้งจนสำลัก
ทั้งเข้าตาและเข้าจมูก
รสชาติเช่นนี้ ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ไม่มีทางได้สัมผัสมัน
แม้จะทรมาน แต่ก็มีคนที่เสพติดมันอย่างยิ่งเช่นกัน
กระทั่งยามไม่ไอ ยังฝืน ‘กระแอม’ หลายที
หลิวรุ่ยอิ่งแยกไม่ออกว่าเถี่ยกวนอินเป็นแบบใด
แต่เขาก็ไอจริงๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งเดียวที่ข้าไม่เคยทำในชั่วชีวิตนี้คือสิ่งใด”
ผู้เฒ่าถามพร้อมเงยหน้ามอง
“ไม่รู้ ข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าท่านเคยทำสิ่งใดมาก่อนบ้าง”
เถี่ยกวนอินจิบสุราอีกครั้งพลางเอ่ย
หนนี้เขาไม่กระแอมไอ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ทันทีว่าการไอเมื่อครู่นั้นเขาไม่ได้ตั้งใจทำ
“ข้าอายุปูนนี้ เรื่องราวที่เคยทำย่อมมากกว่าเจ้า สิ่งเดียวที่ไม่เคยทำก็คือทำตัวอาวุโสเที่ยวข่มผู้อื่น”
“แต่ประโยคครึ่งแรกของท่าน ไม่ใช่ว่าอาศัยความอาวุโสข่มผู้อื่นหรอกหรือ”
เถี่ยกวนอินย้อนถาม
ผู้เฒ่าเบิกตากว้างและหันศีรษะจ้องเถี่ยกวนอินตาเขม็ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าแม้ผู้เฒ่าผู้นี้จะทนทุกข์กับความผันเปลี่ยนของวันเวลา แต่ดวงตายังคงชัดแจ่มอย่างยิ่ง
ไร้ความฝ้ามัว
“นับด้วยหรือ”
ผู้เฒ่าถาม
“นับสิ ตราบใดที่กล่าวว่าข้าเป็นอย่างไร เจ้าก็เป็นเช่นนั้น…หากกล่าวรูปประโยคเช่นนี้ออกมาล้วนนับทั้งสิ้น!”
เถี่ยกวนอินกล่าว
“อ้อ…”
ผู้เฒ่าลากเสียงยาวตอบรับ
“เจ้าอายุเท่านี้จะต้องไม่เคยทำสิ่งใดมามากแน่นอน”
ผู้เฒ่าคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวอีกครั้ง
“พูดเช่นนี้ก็ไม่นับว่าอาศัยความอาวุโสข่มผู้อื่นแล้วกระมัง”
ผู้เฒ่าถามแกมหยอกล้อ
แม้ว่ารอยยิ้มของเขารังแต่จะทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าลึกขึ้น
แต่เขาก็ยังหัวเราะ
“ก็ยังให้ความรู้สึกเช่นนั้นอยู่เล็กน้อย”
เถี่ยกวนอินเอนกายบนม้านั่งใหม่อีกครั้งแล้วกล่าว
“ไม่ ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นแม้แต่นิด ประโยคนี้ไม่มีความหมายอื่น”
“หมายความว่าอย่างไร”
เถี่ยกวนอินถามอย่างนึกสงสัย
“เพียงแค่หมายความว่าดูแคลนเจ้า”
ผู้เฒ่ากล่าว
จากนั้นจึงแย่งขวดสุราจากมือของเถี่ยกวนอินไป
กระดกเข้าปากแรงๆ ไปสองอึก
“เมื่อครู่ยังกล่าวว่าไม่อาจหน้าหนาอยู่เลยไม่ใช่หรือ”
เถี่ยกวนอินก็หัวเราะเช่นกัน
รอยยิ้มปรากฏขึ้นทั้งคนชราและคนหนุ่ม ทว่าสามารถมอบความอบอุ่นแก่โลกได้ยิ่งกว่าแสงแดดเจิดจ้านี้เสียอีก
“นี่ไม่นับว่าหน้าหนาสำหรับผู้ที่ตนเองดูแคลน”
ผู้เฒ่ากล่าว
ดื่ม ‘อึกๆ’ ไปกว่าครึ่งขวดถึงคืนให้เถี่ยกวนอินอีกครั้ง
เถี่ยกวนอินหยิบขวดสุรามาชั่งน้ำหนักในมือสองสามที
พบว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนแล้วสุราที่ผู้เฒ่าดื่มไม่มากและไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไร
“ไม่นับว่าหน้าหนาแล้วนับเป็นอันใดเล่า”
เถี่ยกวนอินถามต่อ
ยามนี้ผู้เฒ่าไม่เอ่ยคำใดแล้ว
วันนี้ในปีที่แล้ว
การสนทนาของพวกเขาทั้งสองก็จบลงเพียงเท่านี้
เดิมเถี่ยกวนอินคิดว่าปีนี้จะสามารถทำลายสถิติทั้งหมดและสนทนาต่อไปได้
แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ คำถามนี้ผู้เฒ่าใช้เวลาไปหนึ่งปียังก็คิดคำตอบไม่ออก
ดวงอาทิตย์มุ่งหน้าไปทิศตะวันตก
เถี่ยกวนอินดื่มสุราอึกสุดท้ายจนเกลี้ยง
จากนั้นซุกขวดสุรากลับเข้าไปในอ้อมแขนใหม่อีกครั้ง
“นับเป็นค่าเช่าที่นั่งบนม้านั่งของข้า รวมถึงค่าอาบแสงแดดกับข้าด้วย”
ขณะที่เถี่ยกวนอินกำลังจะจากไป
เสียงของผู้เฒ่าดังมาจากข้างหลังเขา
เถี่ยกวนอินไม่หันศีรษะกลับไป
ทว่ายิ้มกับตนเอง
แม้ว่าเหตุผลนี้จะค่อนข้างฝืนกลั้นก็ตาม
แต่อย่างน้อยในเหมันต์ฤดูปีหน้า ทั้งสองคนก็สามารถกล่าวได้มากขึ้นอีกประโยคหนึ่งแล้ว
…………………………………………………..